ทิชา | ทิชาสาวน้อยผู้จะจีบผู้ชายจริงจัง(มั้ง)
“เหมือนคุณหมอเข้ามาอยู่ในหัวทิชาเลยนะคะ”
“ทำไมเหรอครับ บอกผมได้มั้ย?” เขาเอียงคอถามสุดน่ารัก เล่นเอาหัวใจที่เต้นแรงพาลเต้นหนักขึ้นไปอีก ยิ่งคุยภูมิต้านทานฉันยิ่งลด นี่เขาเป็นหมอที่ทำให้ฉันหายจากโรคประหม่า แต่มาทำให้โรคหัวใจฉันกำเริบแทนใช่มั้ย?
“คือ... พอสู้ใครไม่ได้ ทิชาก็ชอบคิดคำนั้นในหัวค่ะ”
“อ๋อครับ บางอย่างปล่อยมันออกมาบ้างก็ได้ ไม่ต้องกลัวที่จะเปิดเผยความรู้สึกตัวเองหรอก มันคือการป้องกันตัวนะครับ”
“...” ฉันมองหน้าเขานิ่ง หัวเปิดรับทุกสิ่งที่เขาพูดอย่างไม่มีข้อโต้แย้ง
“ที่คุณไม่กล้าพูดคำพวกนั้น ไม่กล้าทำในสิ่งที่ในหัวคุณคิดอยากจะทำ คุณกลัวอะไรเหรอครับ?”
“ทิชา ทิชา” ฉันอ้ำอึ้ง จนคุณหมอธันวาเอื้อมมือมาแตะหลังมือฉันเบา ๆ
“มองหน้าผมนะ ไม่ต้องกลัว บอกผมเถอะนะครับ ผมช่วยคุณได้”
ทุกคนมาทางนี้ มาฟังฉัน
เหมือนเมฆครึ้มที่ก่อตัวค่อย ๆ จางลง ดวงอาทิตย์ที่ลับฟ้าก็โผล่ขึ้นเหมือนเช้าวันใหม่ ฉันก้มมองมือนุ่มที่ยังแตะหลังมือฉันไว้ ไม่กล้าแม้จะขยับมันเลย
ฉันอยากให้เขาจับแบบนี้นาน ๆ ฉันรู้สึกอุ่นใจมาก
“คือ... ทิชากลัวไม่มีใครปกป้องทิชาน่ะค่ะ”
“ทุกคนพร้อมจะปกป้องคุณทิชานะครับ ผมก็ด้วย ขอแค่คุณเชื่อมั่นในตัวเอง กล้าพูด กล้าคิด กล้าที่จะเป็นคุณ”
แล้วมือนั้นก็ค่อย ๆ ถอยออกไป ขณะที่ฉันมองตามอย่างเสียดายสุดซึ้ง ขออีกหน่อยไม่ได้เหรอ? ถ้าไม่อยากจับมือ จับที่อื่นก็ได้
“ตอนนี้คุณทิชาคิดอะไรอยู่ครับ?”
“อยากให้คุณหมอจับมืออีกค่ะ เอ๊ย! ไม่ใช่ ๆ คือว่า ๆ คือ…”
“โอเคครับผมจะจับมือคุณ” แล้วเขาก็ยื่นมือมาจับมือฉันอีกครั้งโดยไม่ลังเล จนทำให้หัวใจที่เต้นไม่เป็นจังหวะ มันบ้าคลั่งขึ้นไปอีก
แต่รู้มั้ยว่าครั้งนี้ไม่เพียงแค่จับ คุณหมอเขายังบีบเบา ๆ เพื่อให้ฉันผ่อนคลายขึ้นอีก
ให้ตายเถอะ! ฉันตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ฉันผ่อนคลายไม่ได้จริง ๆ
ใจมันพองโตและความรู้สึกที่มีกับคุณหมอธันวาก็เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ
หนำซ้ำฉันกำลังคิดว่าตัวเองมีความหวัง หวังว่าสักวันนึง จะได้กุมมือเขาได้มั่นใจกว่านี้
“มือคุณเย็น ประหม่าเหรอครับ?” เขาถามเบา ๆ แล้วมองมาที่มือฉัน
“นะ หน่อยนิด เอ่อ... นิดหน่อยค่ะ”
“หายใจเข้าลึก ๆ นะ และตอนนี้รู้สึกยังไง ก็พูดออกมาได้เลย” ถามแบบนี้เลยเหรอคะ? ถ้าบอกว่ารู้สึกดีกับคุณหมอมากขึ้นคุณหมอจะว่ายังไง?
“...” ฉันยังไม่กล้าได้แต่มองตาแสนอ่อนโยนคู่นั้น ไม่คิดว่าตัวเองจะรู้สึกปลอดภัยเช่นนี้มาก่อน มันจริงอยู่ที่รอบกายมีคนคอยปกป้อง แต่หัวใจของฉัน
มัน... มัน... มันต้องการจะมีคุณหมอซะแล้ว
จนฉันสูดหายใจเข้าลึก ๆ และเงยขึ้นสบตาเขา
“ทิชาจะ จะพูดแล้วนะคะ”
“ครับ”
“ตอนนี้... ทิชาอยากอยู่แบบนี้นาน ๆ” หมอธันวาพยักหน้า เขาไม่ได้ปฏิเสธที่จะปล่อยมือฉันเลย จนฉันกล้าที่จะพูดต่อ พูด... โดยที่ไม่รู้สึกอึดอัดใจและประหม่าแม้แต่น้อย
“ตอนนี้ทิชารู้สึกปลอดภัยแล้วค่ะ แถมรู้สึกอบอุ่นด้วย”
“ครับ” เขายิ้มจนตาหยี จนฉันค่อย ๆ เผยยิ้มออกมาบ้าง
“ถ้าอยากให้คุณหมอจับมือแบบนี้นาน ๆ ได้มั้ยคะ?”
“นานแค่ไหนครับ? ผมต้องกลับไปทำงานนะ” เขาพูดติดตลก แต่ผู้หญิงที่ภูมิต้านทานผู้ชายต่ำอย่างฉันมันกลายเป็นประโยคหยอกล้อที่น่ารักน่าชัง
จนตอนนี้ฉันไม่เหลือเกราะกำบังให้หัวใจดวงน้อย ๆ แล้ว
ฉันต้องการเขา รู้ชัดแจ้งว่าตัวเองไม่ได้ใจสั่น หรือหลงละเมอไปกับใบหน้าและบทความในวารสารนั้นเพียงอย่างเดียว
แต่ฉันหลงชอบหมอธันวาที่เป็นหมอธันวา ชอบมือเขา ชอบคำพูดเขา ชอบทุก ๆ อย่างของเขา มันเป็นความรู้สึกที่ฉันไม่เคยรู้สึกกับใครเลย จะเรียกว่ารักแรกพบก็ได้ เพราะฉันรู้สึกทัชในใจมาก
“ถ้าอยากไปทำงานเมื่อไหร่บอกนะคะ” ฉันบอกเขาอย่างเขินอาย แก้มซ้ายแก้มขวาร้อนผ่าว ๆ
“ครับ ตอนนี้ยังไม่อยากไป คุณกำลังดีขึ้น” ดีขึ้น? ฉันเงยขึ้นมองหน้าจิตแพทย์หนุ่มอีกครั้ง จริงด้วย หลายประโยคเลยที่ฉันพูดไม่ติดขัด แถมยังรู้สึกดีที่ได้พูดมันออกมาด้วยซ้ำ
“แล้วฉันต้องทำยังไงต่อคะ ต้องหยุดรักษามั้ย?” คุณหมอธันวาส่ายหน้าเบา ๆ แต่เขาไม่หยุดยิ้มเลย เป็นคนที่ยิ้มเก่งมาก ๆ
“ไม่ครับ ให้รางวัลกับตัวเองก่อน คุณทิชาอยากทานอะไร หรือว่าอยากทำอะไรรึเปล่าครับ?”
ชีวิตฉันอยากทำอะไรก็ได้ทำ อยากซื้ออะไรก็ได้ซื้อ สมใจทุกอย่างแล้ว เหลือแต่เรื่องหัวใจนี่แหละ ที่ไม่เคยลองมีใครสักที
“คือ...”
“พูดออกมาเถอะครับคนเก่ง” กรี๊ด คนเก่ง!ด้วย
“ทิชาอยากเดทกับคุณหมอค่ะ!”
ฉันหลับหูหลับตาบอกเขา จนลืมไปว่าเสียงแหลม ๆ ของตัวเองมันดังลั่นร้าน และเมื่อทุกคนหันขวับมามองฉันเป็นตาเดียว คุณหมอธันวาก็รีบเปิดกระเป๋าวางเงินแบงก์พัน แล้วจับมือฉันวิ่งออกไปนอกร้านทันที
ใช่ค่ะ ตอนฉันหันไปเห็นทุกคนมองมา ฉันก็รู้สึกประหม่าขึ้นอีกแล้ว แต่คุณหมอธันวาทำดีมาก เขาเป็นคนจับมือฉันดึงออกมาจากความรู้สึกเหล่านั้นอย่างรวดเร็ว แถมตอนนี้ยังพาฉันวิ่งไปไหนไม่รู้
“เราจะไปไหนกันคะ”
ฉันถามตามหลัง และมองมือที่กุมมือสลับกับแผ่นหลังเขา
“ไปให้รางวัลคุณไง”
“ที่ไหนคะ?” คำถามนั้นทำให้จิตแพทย์หนุ่มหยุดฝีเท้าที่ก้าวเร็ว ๆ ทันที ก่อนที่เขาจะหันมายิ้มให้ฉัน
“ที่ไหน ที่เขานิยมเดทกันเหรอครับ?” เดท!
“มือคุณเย็นมาก คุณประหม่าอีกแล้ว ผมรักษาผิดขั้นตอนแน่ ๆ เลย”
ไม่ใช่ ฉันแค่รู้สึกว่าตัวเองร้อนรุ่มไปทั้งตัวแค่นั้น รู้จักคำว่าใจพองโตมั้ย? ฉันไม่เคยเดทกับใคร แต่วันนี้กำลังจะได้เดทกับผู้ชายที่ตัวเองรู้สึกด้วยมาก ๆ
“ไม่หรอกค่ะ คุณหมอรักษาถูกแล้ว แต่สถานที่เดทที่เขานิยมกัน น่าจะเป็นโรงหนังมั้งคะ”
“คุณพูดแบบนี้ แสดงว่าคุณไม่เคยเดทเหรอครับ?” ฉันพยักหน้าอาย ๆ แต่ดูแล้วคนถามคงไม่ต่าง เพราะมืออีกข้างของเขานั้นยกขึ้นลูบท้ายทอยตัวเองแล้ว
“ผมก็ไม่เคย แต่จะพยายามให้รางวัลคุณนะ”
เป็นรางวัลที่ฉันชอบมาก ฉันหันไปยิ้มตอบคุณหมอแล้วยอมให้เขาเดินจับมือไปที่โรงหนัง จะว่าไปการบำบัดนอกสถานที่ก็ดีเหมือนกันนะ ถ้าเป็นโรงพยาบาลเราทำแบบนี้ไม่ได้แน่ ๆ
“ดูเรื่องอะไรดี?” ดูเรื่องอะไรไม่รู้ รู้แต่ไม่ปล่อยมือฉันเลยค่ะ
“คุณหมอชอบหนังแนวไหนคะ?”
“ผมชอบแนวฆาตกรรมอำพราง คุณล่ะ” คุณพระ! จิตแพทย์เขาชอบดูอะไรแบบนี้กันเหรอ?!
“เอ่อ... รักใส ๆ พวกปิดเทอมใหญ่หัวใจว้าวุ่นค่ะ”
“อื้มผมพอรู้ แต่หนังเรื่องนี้มันนานมากแล้วนะ” ฉันพยักหน้ายิ้ม ๆ ใช่มันนาน นานพอ ๆ กับที่ฉันไม่ได้ดูหนังอีกเลย
“ทิชาไม่ได้ดูหนังนานแล้วค่ะ เอาเป็นว่าคุณหมอเลือกดีกว่านะคะ” หมอธันวาดูลำบากใจไม่น้อย เขาหันมองฉันสลับกับตารางหนังสามสี่ครั้ง ซึ่งมันไม่มีหรอกค่ะหนังรัก มีแต่หนังฆาตกรรมสืบสวน ไม่ก็หนังผีปีศาจไปเลย
“เอาเรื่องไหนดี ผมไม่กล้าชวนคุณดูหนังฆาตกรรมเลย”
“ทำไมเหรอคะ?” ฉันหันไปถามกลับ
“ก็คุณสดใสเกินกว่าจะดูหนังพวกนี้”
อืม ไม่ใช่เขาคนเดียวหรอกที่บอกว่าฉันสดใส คนอื่น ๆ ก็พูดกันทั้งนั้น บ้างก็หาว่าฉันไม่มีพิษภัย เป็นคนไม่คิดเล็กคิดน้อย ที่โรงเรียนเพื่อนก็เลยชอบแซวชอบแกล้งเป็นประจำ
ซึ่งมันไม่ใช่การแกล้งรุนแรงหรือใช้ถ้อยคำหยาบหรอกนะ แต่ก็มีหลายครั้งที่ฉันรู้สึกอายต่อหน้าคนมาก ๆ และกลายเป็นจุดสนใจจนอยากแทรกแผ่นดินหนี
“แล้วคุณหมอว่าความสดใสของทิชา มันทำให้ทิชาดูอ่อนแอมั้ยคะ?”
ฉันถามเขากลับ แล้วเงยขึ้นมองเขา ราวกับตัวเองเป็นเด็กน้อยที่ต้องการคำตอบจากพี่ชาย
“ไม่ครับ น่าทะนุถนอมมากกว่า”
“...” น่าทะนุถนอมงั้นเหรอ? เอ... ฉันควรดีใจใช่มั้ย ปกติเวลาผู้ชายรู้สึกดีกับผู้หญิงเขาพูดคำนี้กันรึเปล่า?
“อย่าคิดมากเลยนะ คุณไม่เคยอ่อนแอ เอาเป็นว่าผมดูหนังผีดีกว่า”
“หนังผีก็ได้ค่ะ” หลังจากนั้นคุณจิตแพทย์สุดหล่อก็เดินไปซื้อตั๋ว ซึ่งพอเขาคล้อยหลังฉันก็คิดในหัวเป็นฉาก ๆ ว่าจะทำอะไรในโรงหนังบ้าง
ใช่ ฉันต้องจับมือหมอธันวาให้ได้มากที่สุด ซบบ่อย ๆ ไม่ก็หันไปบอกเขาว่ากลัวผีขอกอดแขนหน่อยได้มั้ย หลังจากนั้นมันอาจจะมีสักฉากที่เราจ้องตากันก็ได้ มีเฟิร์สคิสส์เบา ๆ ก็ว่าไป หรือว่าหอมแก้มให้พอน่ารักกรุบกริบก็ฟินนะ
กรี๊ด มันเป็นความคิดที่ไร้ยางอายมาก แต่ทำไมฉันคิดแบบนั้นแล้วรู้สึกกระปรี้กระเปร่ายังไงไม่รู้...
