ตอนที่ 5
วธัญพักอยู่ที่ไร่พรพฤกษ์เพียงคืนเดียวเท่านั้น ก็เตรียมตัวกลับกรุงเทพฯ
“อยู่กับคุณลุงก็ทำตัวดีๆ ล่ะ อย่าซนให้มากนัก”
เขาสั่งเสียอย่างเป็นห่วง ไม่ใช่ห่วงลูกสาว แต่ห่วงเพื่อน
รู้ดีนี่นา ว่าฤทธิ์เดชลูกสาวของเขานั้นมีมากน้อยแค่ไหน
“หนูไม่ใช่ลิงนะ จะได้ถูกสั่งไม่ให้ซน”
“เอาะเถอะๆ ไม่ใช่ลิงก็ไม่ใช่ แต่พ่อพูดจริงๆ นะ ถ้าหนูไม่ยอมปรับปรุงตัวเอง เปลี่ยนนิสัยที่ไม่ค่อยดีบางอย่างพ่อจะให้อยู่ที่นี่ต่อไปเรื่อยๆ แทนที่จะอยู่แค่เดือนเดียวหรือสองเดือน”
“เดือนหรือสองเดือน!?” สิริวธูร้องลั่น“ไม่นะคะพ่อ พ่อต้องไม่ทำอย่างนี้กับหนู มีอย่างหรือจะให้หนูมาหมกตัวอยู่กลางป่าเป็นเดือนๆ แค่อาทิตย์เดียวหนูยังจะ…”
“เอาเป็นว่า ถ้าหนูตาย เพราะอยู่ที่นี่เกินอาทิตย์ พ่อจะจัดงานศพให้อย่างใหญ่โตเลยดีมั้ย”
“พ่อ !”
“ไม่ต้องเสียงดังไป เพื่อนฝูง ลิง ค่าง บ่าง ชะนี ของหนูแตกตื่นตกใจหมด”
ตั้งแต่เกิดมา สิริวธูก็ยังไม่เคยรู้สึกว่าจะมีครั้งไหนที่บิดาใจร้ายกับหล่อนเท่าครั้งนี้
“พ่อขา…”หล่อนแกล้งทำเสียงออดให้ฟังน่าสงสาร
“ไม่ต้องมาอ้อน ยังไงพ่อก็ไม่ใจอ่อนเด็ดขาด”
สิริวธูชักฮึด
“ก็ได้!”
ร่างโปร่งบางด้วยสรีระสาวรุ่นหยัดตรง คางมนเรียวเชิดสูง
“เมื่อพ่ออยากให้หนูอยู่หนูก็จะอยู่ แต่เกิดอะไรขึ้นหนูไม่รับรู้นะคะ”
“เฮ่ย! อย่าทำอะไรแผลงๆ นะยายหนู”
วธัญชักมองบุตรสาวอย่างไม่วางใจ
“ไม่แผลงสิคะ”
ยิ่งเห็นยิ้มมีเลศนัยพอกับโมนาลิซา ภาพเขียนบันลือโลกที่ถูกวิจารณ์ และเป็นที่สงสัยว่าเป็นยิ้มของคนบ้า หรือยิ้มเอมอิ่มของสตรีกำลังตั้งครรภ์กันแน่ วธัญก็ยิ่งไม่สบายใจ
“พ่อพูดเองนี่ว่าหนูเหมือนย่าทวด เพราะฉะนั้นสิ่งที่หนูจะทำย่อมไม่แผลง แต่เป็นปกติของคนมีนิสัย…ชอบเปลี่ยนผู้ชาย”
“นี่…นี่! ยายหนู….”
“พ่อไปเถอะค่ะ อีกเดือนหรือสองเดือน เมื่อพ่อมารับหนู พ่ออาจจะได้ลูกเขยโดยไม่ตั้งใจกลับกรุงเทพฯด้วย ทีนี้ก็สะใจพ่อละที่อยากกวัดไกวไสส่งหนูมาอยู่ไกลหูไกลตาดีนัก”
วธัญตั้งท่าจะพูด แต่พอมองหน้าเพื่อนรัก เห็นอีกฝ่ายขยิบตาเป็นสัญญาณเตือนให้เฉยไว้เขาก็เลยนิ่ง
สิบนาทีต่อมา หลังจากรถของบิดาลับสายตาไปจริงๆ สีหน้าสิริวธูก็สลดลง
ยิ้มซ่อนนัยอย่างอิ่มเอมเพื่อยั่วให้บิดาเปลี่ยนใจ พากลับไปด้วย ไม่เหลือค้างบนเรียวปากอิ่มได้รูปสีสด
“เข้าบ้านกันเถอะยายหนู”
บุญทวีเข้ามาโอบไหล่บางอย่างปรานี เมื่อเห็นว่าดวงตากลมโตสีน้ำตาลสดใส มีแต่แววหมอง
“ค่ะ คุณลุง”
พอบิดาไม่อยู่ฤทธิ์เดชก็ลดลง ทิ้งไว้แต่ความเงื่องหงอยน่าสงสาร กระทั่งผู้มากวัยกว่าอดเวทนาไม่ได้
เวลาแต่ละวันที่ผ่านไป สิริวธูมีแต่ความเซ็งและซึม
หล่อนรู้สึกว่าแม้แต่พระอาทิตย์ยังแกล้ง ด้วยการโคจรช้ากว่าปกติ จนรู้สึกว่ายี่สิบสี่ชั่วโมงในหนึ่งวันที่เคยผ่านไปรวดเร็วเป็นติดปีก ยาวนานนับกัปกัลป์ปานเต่าคลาน
ไร่พรพฤกษ์อาจกว้างใหญ่ไพศาล แต่หล่อนก็ไม่รู้ว่าจะไปไหนดี
ที่เที่ยวก็ไม่มีให้เที่ยว ตลาดที่พอจะได้เดินผ่อนคลายอารมณ์ก็ไม่ทราบว่าอยู่ทิศทางไหนไกลจากไร่สักเท่าไหร่
กระทั่งวันหนึ่งจึงค่อยแจ่มใสขึ้นเมื่อกิจกรรมใหม่ให้ทำ
หล่อนพบสกู้ดเตอร์เก่าๆ คันหนึ่งในโรงเก็บรถหลังบ้าน
นับจากนั้น ก็ตะรอนๆ ไปได้หัวไร่ท้ายไร่พอให้ได้เพลิดเพลินขึ้นมาบ้าง
อย่างน้อยก็ยังดีกว่ากอดเข่าเจ่าจุกอยู่แต่ในบ้าน เช่นสองสามวันแรก
พอไปทั่วไร่แล้ว ก็เริ่มจะออกนอกอาณาเขตไร่ เพื่อเที่ยวชมภูมิประเทศห่างจาก ไร่พรพฤกษฺออกมาไกลพอสมควร พบว่าว่ายังมีไร่เล็ก ไร่น้อย อยู่อีกหลายแห่ง ไร่ขนาดใหญ่พอๆ กับพรพฤกษ์ก็พอมี
“ระวังจะหลงทางนา ยายหนู”บุญทวีเป็นห่วง
“ไม่หลงหรอกค่ะ หนูจะไปเรื่อยๆ ตามถนน จะไม่ออกนอกเส้นทางเด็ดขาด หนูสัญญาคุณลุงอนุญาตนะคะ นะคะ”
นอกจากเสียงออด นะคะ นะคะ ดวงตาแจ่มแจ๋วบริสุทธิ์ยังมองอย่างอ้อนๆ
บุญทวีก็เหมือนเพื่อนของเขานั่นแหละ คืออดใจอ่อนไม่ได้
“งั้นก็ไปเถอะ แล้วก็อย่าหายไปนานนักล่ะ ลุงเป็นห่วง”
“ไม่ค่ะ ไม่นาน”บอกเสียงลิงโลด
กว่าผู้สูงวัยกว่าจะทันตั้งตัว สิ้นเสียงรับคำและยิ้มประจบประแจง ร่างบางๆ ก็กระโดดเข้าหอมฟอด แล้วก็หัวเราะคิก เมื่อเห็นสีหน้าของเพื่อนรักของบิดา
บุญทวีได้แต่ส่ายหน้า หากสีหน้าละมุนอ่อนโยนด้วยความเอ็นดู
ในใจเริ่มภาวนาให้บุคคลบุคคลหนึ่ง ที่เขานับวันรอให้กลับบ้าน มาถึงไวๆ เผื่ออะไรๆ ที่เขาคิดไว้จะได้สมประสงค์เร็วๆ
บุญทวีไม่รู้ว่า คำภาวนาแรกของเขากำลังจะสัมฤทธิ์ผล
