
เล่ห์ปรารถนาซาตานเถื่อน
บทย่อ
แขนราวกับปลอกเหล็กไม่ใช่แค่โอบไว้หลวมๆ แต่มัดแน่นจนร่างบอบบางกว่าของหล่อนแทบกลืนเป็นเนื้อเดียวกับร่างสูงใหญ่แข็งกระด้างด้วยเนื้อหนังและมัดกล้าม “ปล่อยนะ! คนเฮงซวย” สิริวธูร้องกรี๊ด หล่อนดิ้นขลุกขลักอยู่ในวงแขนมัดแน่นภายใต้ความมืด มือที่ขยับได้น้อยนิดทั้งทุบทั้งข่วนในขณะเดียวกัน แต่ดูเหมือนเจ้าของอ้อมกอดจะไม่ใส่ใจ กลับซุกไซ้ใบหน้าลงที่ซอกคอหล่อนอย่างแกล้ง ๆ ลมหายใจกับริมฝีปากอุ่นๆ ปัดแผ่วๆ อยู่รอบๆ ลำคอบ้าง ข้างแก้มบ้าง จนคนถูกรุกรานขนลุกซู่ไปหมด
ตอนที่ 1
ถ้ามองจากที่สูงลงมาจะพบว่าบนถนนหลวงสายหลักจากจังหวัดหนึ่งสู่อีกจังหวัด ห่างเมืองหลวงมาไกลเกือบจรดชายแดน รถยนต์ส่วนตัวยี่ห้อหรูกำลังแล่นด้วยความเร็วสม่ำเสมอ
ภายในรถมีผู้นั่งมาเพียงสองคน ต่างกันทั้งเพศ วัย และสีหน้าที่บ่งบอกอารมณ์
เนื่องจากเป็นช่วงเวลาบ่ายมากแล้ว พระอาทิตย์โคจรคล้อยต่ำลงหาเนินเขาสูงเห็นอยู่ลิบๆ แสงแดดแผดกล้าแทบจะมองเห็นเปลวระยิบระยับเหนือถนนแอสฟัลต์จึงสาดเข้ามาทางตอนหน้าของรถที่มุ่งหน้าเข้าหาทิศตะวันตกเต็มที่
หลายต่อหลายครั้ง คนนั่งประจำที่คนขับซึ่งเป็นบุรุษสูงวัย ชำเลืองมองเสี้ยวหน้าบอกบุญไม่รับ แถมจะยังจะเตะส่งของสาวรุ่นที่นั่งข้างๆ ตรงที่นั่งผู้โดยสารด้านหน้าคู่คนขับ ด้วยสีขันๆ ระคนไว้ด้วยความรักใคร่เอ็นดู
“ทำหน้ายังกะใบพริกขาดน้ำ”
เสียงกระเซ้าเย้าหยอกดังขึ้นในความเงียบภายในรถ ส่งให้ใบหน้าเนียนใสเป็นยองใยด้วยเลือดฝาดแทบจะหักงอ
แต่แล้วใบหน้างอหงิกนั้นก็คลายออก เจ้าหล่อนหัวเราะเสียงคิกออกมาอย่างอดไม่ได้
“ค่อยยังชั่ว อากาศก็ร้อนพอแรงแล้วเห็นคนทำหน้างอมันเหมือนจะร้อนเพิ่มอีกเท่าตัวทีเดียว”
“สงสัยแอร์จะเสีย”
เสียงปรารมภ์แม้จะฟังอ่อนใสแต่ระคนอยู่ด้วยความหงุดหงิด ไม่สบอารมณ์อยู่นั่นเอง
“ไม่เสียหรอก แต่เครื่องทำความเย็นภายในรถคงจะสู้ความร้อนข้างนอกไม่ไหว”
มือเรียว ขาวบาง ยื่นไปข้างหน้า อังช่องลมที่เครื่องปรับอากาศปล่อยความเย็นออกมา
“หนูหมุนลดอุณหภูมิลงอีกสิ”
“จะลดหรือเพิ่มก็คงเท่านั้นแหละ ก็พ่อนินา อยู่ดีไม่ว่าดีหาเรื่องเดือดร้อน เหนื่อยก็เหนื่อย เพลียก็เพลีย ร้อนก็ร้อน”
หน้าที่เริ่มคลี่กระจายให้ความสดใสเบิกบานมาเยือนครู่หนึ่ง เริ่มส่อแววไม่สบอารมณ์ขึ้นมาอีก
“บ่นเข้า คงหายเหนื่อยหายเพลียคลายร้อนลงบ้างหรอกนะ”
เสียงห้าวกว่ายังเรียบเรื่อย
“จะว่าไป คนที่ควรบ่นน่ะพ่อนะไม่ใช่หนู พ่อขับรถส่วนหนูแค่นั่งมาด้วยเฉยๆ”
“ก็หนูอาสาจะช่วยขับพ่อก็ไม่ยอมให้ขับเองนี่ เพราะฉะนั้นห้ามบ่น”
“พ่อก็ไม่ได้บ่น”
ผู้เป็นพ่อหัวเราะอย่างอารมณ์ดี ไม่ถือสาในอารมณ์และน้ำเสียงที่อย่างไรก็ยังเง้างอนไม่สบใจ ที่ถูกบังคับให้ออกจากกรุงเทพฯ ในครั้งนี้
แถมยังเป็นการออกชั่วระยะหนึ่ง ซึ่งยังไม่มีกำหนดว่าจะได้กลับสู่ถิ่นแดนแสนศิวิไลซ์ เมื่อไหร่แน่
“แล้วที่พ่อไม่ให้เราขับ ก็เพราะอยากถึงจุดหมายปลายทาง ไม่ใช่ลงไปนอนแอ้งแม้งข้างทางรอหน่วยกู้ภัยมาช่วย”
“ฮื้อ! พ่อก็เป็นซะอย่างงี้”เสียงแหลมใสฟังตะแหง่แง่งอน “ดูถูกฝีมือลูกตัวเองชะมัด!”
“ดูถูกดีกว่าดูผิด”
วธัญหัวเราะหึๆ เมื่อนึกบางอย่างขึ้นมาได้
“แม่ยี่สุ่นยิ่งพูดๆ อยู่ ว่าคุณหนูเป็นพวกตีนผี พอขึ้นนั่งหลังพวงมาลัยปุ๊บเหมือนจะไปแข่งอัปรีย์”
สิริวธูพลอยหัวเราะขบขันเมื่อนึกถึงพี่เลี้ยงนางนม
แม่ยี่สุ่นเคยรับใช้มารดาของหล่อนมาก่อนหล่อนจะเกิด และเมื่อนายหญิงเสียชีวิต หญิงสูงวัยก็รับหน้าดูแลบุตรสาวคนเดียวของนายเก่า
“แม่ยี่สุ่นชอบว่าหนู แล้วก็พูดผิดๆ ให้แสลงหูพิลึก คนเขาฝีเท้าระดับแข่งกรังด์ปรีซ์ก็แกล้งเรียกเสียหมดรูปว่าแข่งอัปรีย์”
วธัญยังหัวเราะอย่างคนอารมณ์เย็น และอารมณ์ดี ซึ่งดูเหมือนบุตรสาวคนเดียวจะไม่ได้รับอุปนิสัยนี้มาแม้แต่น้อย
สิริวธูนั้น คนใกล้ตัวเคยเปรียบว่าเป็นมังกร ถึงจะมังกรตัวเล็กๆ แต่เวลาพ่นไฟขึ้นมาคนรอบข้างก็จำต้องระวังเหมือนกัน
หล่อนเป็นเด็กสาวยุคใหม่โดยแท้จริง โดยเฉพาะเรื่องความมั่นใจในตัวเอง เข้าขีดทะนงตนว่าสามารถดูแลตัวเองได้
หลายต่อหลายครั้ง ความเป็นเด็กยุคใหม่ บวกกับการได้รับการเลี้ยงดูอย่างตามใจจากบิดาและบริวารรอบข้าง ที่ยกให้หล่อนเป็นหนึ่งเสมอ ทำเอาคนเป็นพ่ออดที่จะใจหายใจคว่ำเสียมิได้ โดยเฉพาะเรื่องการคบหาเพื่อน ซึ่งมีทั้งเพื่อนหญิงและเพื่อนชาย
เพื่อนหญิงนั้น วธัญไม่ห่วงสักเท่าไหร่ แต่บรรดาเพื่อนเพศตรงข้าม ซึ่งแต่ละคนก็จัดว่า ไม่เบา ในพฤติกรรมที่คนในสังคมเห็นว่าเกเรเกตุง ไม่เอาถ่านเอาขี้เถ้า ล้วนแต่เป็นลูกคนมีเงินทั้งผู้ดีเก่าที่ยังมีฐานะเป็นปึกแผ่น และเศรษฐีใหม่ที่เพิ่งร่ำรวย
