ตอนที่ 2
ในสายตาของคนในสังคม ที่รู้จักสิริวธูต่างพากันเห็นว่าลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนของวธัญ ปฤณศรออกจะเป็นเด็กเหลือขอ
สิริวธูสวย…..
สิริวธูน่ารัก และหล่อนก็ทำตัวน่ารักจริงๆ กับคนเพียงไม่กี่คน และไม่กี่เพลา คือเฉพาะเวลาอ้อนให้คนเหล่านั้นตามใจ เพื่อให้ได้มาในสิ่งที่ต้องการ
ในความสวย ความน่ารักของสาวน้อยสิบแปดย่างสิบเก้าผู้นี้ ต้องบอกว่า นอกจากไม่มีความหวานอย่างกุลสตรีจากครอบครัวไทยยุคเก่าแล้ว หล่อนยังทั้งเปรี้ยว ทั้งเผ็ด
ใครก็ตามที่ถูกหล่อนเฮี้ยวเข้าใส่ จะถึงกับปวดแสบปวดร้อนไปนานทีเดียว
แต่ถึงสิริวธูจะเกเร วธัญก็เชื่อใจบุตรสาวอย่างหนึ่ง ลูกสาวของเขาไม่มีนิสัยของหญิงสาวยุคใหม่ที่ล้ำสมัยจนเกินงามในเรื่องผู้ชาย
เขามั่นใจว่าบุตรสาววัยสาวแรกผลิของเขา ยังไม่เคย‘เสีย’กับไอ้หนุ่มหน้าไหน
สิริวธูอาจจะดูเปรี้ยว เปลี่ยนเพื่อนชายไม่ซ้ำหน้า ซึ่งอาจทำให้คนเข้าใจผิดคิดว่าเป็นพวกเด็กสาวใจแตก ไม่เห็นความสำคัญของพรหมจารีย์ และก็คงไม่เหลือความบริสุทธิ์ผุดผ่องไว้มอบให้เจ้าบ่าวในคืนแต่งงาน ทว่าวธัญไม่คิดเช่นนั้น
เขารู้จักลูกสาวของเขาดี รู้ว่าถึงแม้สิริวธูจะปรูดไปโน่นปราดมานี่ อีกทั้งยังเคยไปค้างอ้างแรมกับเพื่อนทั้งชายและหญิงเป็นโขยง แต่สิริวธูก็ไม่ใช่คนปล่อยเนื้อปล่อยตัว
แต่มาระยะหลังๆ วธัญเริ่มคิดว่าลูกสาวของเขาชักจะ ‘ออกนอกลู่’ และอาจกู่ไม่กลับถ้าเขาไม่รีบหามาตรการในการป้องกันเด็ดขาดมาจัดการ
เขาเรียกมาตักเตือนก่อน แต่สิริวธูก็เถียงคำไม่ตกฟาก อย่างคนมั่นใจและเชื่อมั่นว่าตนจะสามารถดูแล และคุ้มครองตัวเองให้รอดปลอดภัยได้ ซึ่งเขาเห็นว่าเป็นความทะนงและอวดดีที่จะนำพาไปสู่ภัยพิบัติ
เขาอาจจะคอยดูแลห่างๆ โดยไม่มีความคิดที่จะทำอะไรเป็นการหักหาญความรู้สึกของลูกสาวที่เป็นยิ่งกว่าแก้วตาดวงใจ ถ้าหากว่าสิริวธูจะไม่คบเพื่อนผู้ชายกลุ่มใหม่ ซึ่งบางคนนั้นมีชื่อในสารบบของตำรวจเกี่ยวกับยาเสพติด
เขาตัดสินใจเด็ดขาด เมื่อบุตรสาวเลิกเรียนพิเศษเพื่อติวเข้มเข้าเรียนในระดับมหาวิทยาลัย
แต่ไหนแต่ไรมา แม้จะเที่ยวเฮฮาประสาวัยรุ่นกับเพื่อนๆ สิริวธูไม่เคยทิ้งการเรียน
เขาจำเป็นต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อเป็นการตัดไฟแต่ต้นลม เพราะไม่อยากให้ลูกสาวต้องมาอนาคตดับวูบ หรือมีมลทินบาปติดตัวไปจนตาย เพียงเพราะความคะนองในการไม่รู้จักเลือกคบเพื่อนฝูง
หลังจากไตร่ตรองดีแล้ว เขาได้ข้อสรุปว่ามีอยู่ทางเดียว คือต้องพาบุตรสาวออกจากกรุงเทพฯ สักพัก
และที่ที่จะไปนั้น ก็ต้องมั่นใจว่ายากที่จะให้เพื่อนกลุ่มใหม่ของบุตรสาวที่เขาไม่ชอบเลยสักคน ไม่สามารถไปมาหาสู่ หรือแม้แต่จะติดต่อด้วยได้
คิดอยู่หลายวันว่าจะพาไปอยู่ที่ไหนดี ในช่วงที่เขาต้องการให้บุตรสาวได้มีเวลาคิดทบทวนบทบาท และพฤติกรรมเสี่ยงภัยสำหรับตัวเองที่ผ่านมา แล้วเขาก็นึกถึงเพื่อนเก่าที่เคยสนิทสนมเป็นเพื่อนรักกันมานานคนหนึ่งขึ้นมาได้
บุญทวี พรหมพิริยะ ได้ขาดการติดต่อกับเขาไปนานพอสมควร เพราะความไม่ลงตัวของเวลา และด้วยระยะทางการไปมาหาสู่ที่ไกลแสนไกล
บุญทวีเคยค้าขายเช่นเดียวกับเขาก่อนจะหันไปเป็นชาวไร่ และไร่ของบุญทวีนั้นก็เรียกว่าอยู่ไกลและห่างไกลความเจริญเอามากๆ ซึ่งก็เหมาะที่เขาจะให้บุตรสาวเก็บตัวสักพัก จนกว่าจะแน่ใจว่าเจ้าตัวมีสติคิดได้ และเริ่มประพฤติปฏิบัติตัวใหม่ให้ดีขึ้น
วทัญต้องใช้เวลาพอสมควรกว่าจะทำให้สิริวธูยอมทำตามความประสงค์ของเขา
แต่กว่าจะเกลี้ยกล่อม หลังจากปล่อยให้ ‘วีโต้’ จนอ่อนแรง ก็ทำเอาหืดขึ้นคอไปเหมือนกัน เพราะโดยนิสัยของสิริวธูเป็นที่รูอยู่ว่าทั้งดื้อและรั้น จนบางครั้งถึงขั้นที่เรียกว่าดันทุรัง ทั้งๆ ที่รู้ว่าตัวผิด
“พ่อไม่รักหนู!”
นั่นคือประโยคกล่าวหาโหมโรง เมื่อรู้ว่าผู้เป็นพ่อมีความคิดจะทำอะไรกับตน
ถัดมาคือ….. “พ่อเกลียดหนู !”
“พ่อรักลูก และไม่เคยเกลียดลูกเลย ขิงก็น่าจะรู้ดี”
เขาพูดเสียงเรื่อยเรียบ แต่หนักแน่นในที หากสีหน้าแววตาของผู้เป็นลูก ที่นับวันก็จะเป็นลูกบังเกิดเกล้าขึ้นทุกที หาได้ดีขึ้นแต่อย่างใดไม่
เขาพยายามทำเป็นไม่เห็นตาแดงๆ น้ำใสๆ คลอคลอง เมื่อยืนยันความตั้งใจ
ผลสุดท้าย ผู้เป็นพ่อก็ชนะ คือทำให้คนเป็นลูกยอมในสิ่งที่ตนต้องการได้สำเร็จ
“ตามใจเถอะ จะเอาหนูไปฆ่าแกงที่ไหนก็เอาไปเลย ชีวิตหนูคงไม่มีความหมายอะไรสำหรับพ่ออีกแล้วนี่”
ขนาดว่ายอม ก็ยังไม่สิ้นฤทธิ์สิ้นเดชง่ายๆ
วธัญสงสารลูกด้วยความรัก ระคนขันในอาการฟาดหัวฟาดหางเป็นการส่งท้าย ทว่าเขาต้องใจแข็ง หากยังรักและหวังดีกับลูก
การเดินทางไกลออกจากกรุงเทพฯ สู่บ้านนอก หรือจะเรียกว่าบ้านป่าเชิงดอยเป็นครั้งแรกของเด็กสาวที่เกิดและเติบโตในเมืองใหญ่ที่เต็มไปด้วยแสงสี และความเจริญด้านวัตถุของสิริวธู จึงเกิดขึ้นด้วยประการฉะนี้
