บทที่ 11
คณะเดินทางก้าวเข้าสู่ประตูค่าย
เบื้องหน้าปะทะเข้ากับถนนสายหลักปูหินสีเขียวกว้างสามวา
สองข้างทางเต็มไปด้วยหอสังเกตการณ์สูงตระหง่าน
สายตาของทหารหน้าไม้บนหอกวาดมองผ่านกลุ่มคน
“อย่ามองซ้ายมองขวา!”
หัวหน้าหมู่หูดุเสียงเบา แล้วนำพวกเขาเลี้ยวเข้าทางแยกด้านซ้าย
หลังจากผ่านแผงกั้นม้าสองชั้น ทัศนียภาพเบื้องหน้าก็เปิดโล่ง
สิ่งที่เห็นเป็นอันดับแรกไม่ใช่ลานฝึก แต่เป็นโรงนอนที่เรียงรายเป็นทิวแถว
กำแพงดินอัด หลังคามุงจาก
เรือนพักทหารจัดเรียงอย่างเป็นระเบียบ หน้าประตูทุกห้องมีป้ายไม้แขวนอยู่
ทหารกองเสบียงที่กำลังตากเสื้อผ้าอยู่พอเห็นพวกเขา ก็รีบหลบเข้าข้างทางแล้วทำความเคารพ
รถลากส่งเสียงดังเอี๊ยดอ๊าดขณะผ่านโรงนอน
เบื้องหน้าคืออาคารก่ออิฐสีเขียวขนาดมหึมา
“นี่คือคลังอาวุธ”
หัวหน้าหมู่หูชี้ไปที่อาคารหลังนั้น
“เดี๋ยวจะมีการตรวจสอบอาวุธ ก็ต้องมาเบิกจากที่นี่”
หลินชวนพยักหน้า
ที่แท้นี่คือค่ายทหารในยุคโบราณ
หากเทียบกับวินัยเหล็กของกองทัพประชาชนในโลกอนาคตแล้ว……
ค่ายใหญ่ตรงหน้าแม้ภายนอกจะดูเป็นระเบียบ แต่ก็เผยให้เห็นความสกปรกอยู่หลายส่วน
โรงนอนจัดเรียงอย่างเป็นระเบียบดี
แต่กองข้าวของและกองขยะตามมุมกำแพง
ทำให้ภาพรวมดูแย่ลงมาก
มีทหารบางนายแอบหลบอยู่หลังโรงนอนเพื่อสูบยาเส้น
พอเห็นพวกเขาเดินผ่าน ทหารเหล่านั้นก็รีบซ่อนยาสูบไว้
ความเป็นระเบียบที่ฉาบฉวยเช่นนี้ ทำให้เขาอดส่ายหัวไม่ได้
ไกลออกไป เสียงตะโกนฝึกซ้อมที่ลานฝึกดังสนั่น
แต่หากตั้งใจฟัง ก็จะพบว่าจังหวะการเคลื่อนไหวไม่พร้อมเพรียงกัน
“ยังห่างไกลนัก......”
หลินชวนถอนหายใจเบาๆ
ต้องรู้ว่านี่คือหน่วยทหารหัวกะทิแห่งชายแดนเหนือของราชวงศ์ต้าเฉียน
หากค่ายทหารที่ถือว่าเก่งกาจที่สุดยังอยู่ในสภาพเช่นนี้
ก็พอจะจินตนาการได้ว่า กองทัพอื่น ๆ จะย่ำแย่เพียงใด
ในขณะที่กำลังครุ่นคิด คณะเดินทางก็มาถึงนอกลานฝึก
ก่อนถึงประตู ทหารยามสองนายยืนถือทวนขวางทางไว้
“ป้ายเอว!”
หัวหน้าหมู่หูรีบปลดป้ายเอวของตนเองยื่นให้
ทหารยามรับไปแล้วขมวดคิ้ว : “ปราสาทเถี่ยหลิน? มาถึงค่ายฝึกกองกลางทำไม?”
“พวกเรามารายงานความดีความชอบ ท่านแม่ทัพเคยกำชับไว้แล้ว......”
“รออยู่ตรงนี้!” ทหารยามหันหลังวิ่งเข้าประตูไป
ไม่นานนัก นายกองหน้าบากก็เดินออกมาอย่างรวดเร็ว
ซึ่งก็คือผางต้าเปียวผู้อยู่ในเหตุการณ์เมื่อวานนี้
“หลินชวน ท่านแม่ทัพกำลังรอเจ้าอยู่”
ผางต้าเปียวเห็นหัวหน้าหมู่หูก็ตกตะลึงไปชั่วครู่ “ต้าโถว เจ้ามาทำอะไรที่นี่?”
หัวหน้าหมู่หูรีบเดินเข้าไปกระซิบกระซาบสองสามคำ
แววตาของผางต้าเปียวเย็นชาลงทันที เขาเหลือบมองเชลยที่ถูกมัดเป็นพวง
“ตามข้ามา”
เมื่อเดินผ่านประตูค่ายที่เปิดกว้างเข้าไป ก็เห็นทหารนับร้อยกำลังฝึกซ้อมแบ่งเป็นสองกลุ่ม
ด้านตะวันออกมีรูปขบวนหอกเรียงรายแน่นหนา ด้านตะวันตกมีดาบและโล่กระทบกันเสียงดังกังวาน
ผางต้าเปียววิ่งขึ้นไปยังแท่นบัญชาการ แล้วกระซิบข้างหูแม่ทัพเฉินสองสามคำ
หัวหน้าหมู่หูคุกเข่าข้างเดียวลงตรงหน้าแท่นบัญชาการ :
“เรียนท่านแม่ทัพ! หูต้าหย่ง หน่วยลาดตระเวนปราสาทเถี่ยหลิน พานายทหารใหม่หลินชวนมารายงานตัวขอรับ!”
“หูต้าโถว เจ้าไม่ไปลาดตระเวนดี ๆ มารายงานอะไร?”
“เรียนท่านแม่ทัพ” หั
วหน้าหมู่หูตอบเสียงดัง
“หัวหน้าหมู่จางคิดยักยอกความดีความชอบและปองร้ายหลินชวน จึงถูกหลินชวนสวนกลับจนตายขอรับ”
แม่ทัพเฉินขมวดคิ้ว โบกมือครั้งหนึ่ง
ทหารที่กำลังฝึกซ้อมอยู่ทั้งหมดก็หยุดการเคลื่อนไหว
บรรยากาศในลานฝึกเงียบสงัด
“เพิ่งเข้าร่วมกองทัพก็ฆ่าผู้บังคับบัญชาแล้วหรือ? !”
แม่ทัพเฉินหัวเราะเยาะ “ หลินชวน เจ้าช่างกล้านัก!”
หลินชวนประสานมืออย่างไม่ตื่นตระหนก : “เรียนท่านแม่ทัพ หัวหน้าหมู่จางมีโทษมหันต์ สมควรตาย!”
“มีโทษ? เจ้าว่ามาให้ข้าฟังซิ”
“ประการแรก ยักยอกความดีความชอบ พยายามฮุบหัวชาวตาดหกหัวของหมู่บ้านหลิวซู่ ประการที่สอง สังหารเพื่อนร่วมกองทัพ สั่งให้ลูกน้องฟันข้าน้อยและสหาย ประการที่สาม ละเลยการรบ เมื่อวานได้รับสัญญาณเตือนควันไฟ แต่กลับนิ่งเฉยไม่เคลื่อนไหว”
เสียงของหลินชวนก้องกังวานไปทั่วลานฝึก ทุกถ้อยคำหนักแน่นดุจเหล็กกล้า
“แม้ข้าน้อยจะเป็นแค่นายทหารใหม่! แต่ก็ตระหนักดีว่า หากปล่อยให้คนสารเลวเช่นนี้มีอำนาจ ทหารชายแดนจะต่างอะไรกับโจร? ใครจะยังอยากปกป้องแผ่นดินให้ประชาชน? ใครจะยังยอมสละชีวิตเพื่อราชสำนัก?”
แม่ทัพเฉินหรี่ตาลง ใช้นิ้วเคาะที่ด้ามดาบเบาๆ
“ดี! พูดได้ดี!”
เขาตวาดเสียงดัง “ จางหน้ากระยักยอกความดีความชอบ ทำร้ายสหายร่วมรบ และประวิงโอกาสในการรบ สมควรตายอย่างยิ่ง!”
เขาหันไปชี้พวกเชลยที่ถูกมัดอยู่ “พวกเจ้ามีส่วนร่วมในเรื่องนี้ด้วยหรือไม่?”
พวกเชลยหน้าถอดสี คุกเข่าโขกศีรษะอ้อนวอนขอชีวิตทันที
แม่ทัพเฉินแค่นเสียงเย็นชา แล้วประกาศเสียงก้อง “ถ่ายทอดคำสั่งของข้าลงไป!”
ทหารทั้งหมดในลานฝึกยืนตัวตรงทันที
“จางหน้ากระให้ตัดศีรษะประจานสามวัน! ส่วนคนสนิททั้งหมดส่งไปค่ายแรงงานทาส!”
เสียงของแม่ทัพเฉินดุจสายฟ้าฟาด สายตาคมกริบกวาดมองไปทั่วลาน
ทหารนับร้อยในลานฝึกเงียบกริบราวกับเป่าสาก
ส่วนพวกเชลยทั้งสี่ก็ทรุดตัวลงกับพื้น ใบหน้าซีดเผือดราวกับศพ
เขาชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะยกมุมปากขึ้น เผยรอยยิ้มอย่างพึงพอใจ :
“ส่วนเจ้า, หลินชวน——”
เขาจงใจลากเสียงยาว จนทุกคนหัวใจหล่นไปอยู่ตาตุ่ม
“แต่งตั้งเจ้าเป็นนายกองธงใหญ่ประจำปราสาทเถี่ยหลิน!”
ทันทีที่คำนี้หลุดออกมา ลานฝึกก็ส่งเสียงฮือฮาดังลั่น
เหล่าทหารเก่าที่เป็นลูกน้องของหัวหน้าหมู่หูมองหน้ากันเองอย่างไม่เชื่อหู
แม่ทัพเฉินยกมือขึ้นปราม เสียงทั้งสนามเงียบสงบลงในพริบตา
เขาหรี่ตาลง แล้วกล่าวเสริม
“ปราสาทเถี่ยหลินยกระดับเป็นป้อมทหารป้องกันชายแดน รางวัลความดีความชอบทั้งหมดให้จ่ายตามธรรมเนียมเดิม! แต่ว่า......”
สายตาคมกริบดุจมีดของเขาพุ่งตรงไปยังหลินชวน : “กำลังพล......เจ้าต้องไปหามาเอง!”
หลินชวนสีหน้ายังคงไม่เปลี่ยนแปลง ประสานมือแล้วตอบเสียงหนักแน่น : “ข้าน้อยจะไม่ทำให้ท่านแม่ทัพผิดหวัง!”
ผางต้าเปียวอดไม่ได้ที่จะก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว แล้วกระซิบเบา ๆ
“ท่านแม่ทัพ หลินชวนเพิ่งเข้าร่วมกองทัพก็สังหารผู้บังคับบัญชา การให้รางวัลหนักขนาดนี้ เกรงว่า......”
แม่ทัพเฉินยกมือขึ้นขัดจังหวะ แต่สายตากลับเหลือบไปทางหัวหน้าหมู่หู
“หูต้าหย่ง!”
หัวหน้าหมู่หูสะดุ้งเฮือก รีบประสานมือ : “ข้าน้อยอยู่ขอรับ!”
“โทษของเจ้า......ครบกำหนดหรือยัง?”
หัวหน้าหมู่หูสีหน้าแข็งค้าง แล้วตอบตะกุกตะกัก “เรียนท่านแม่ทัพ! เหลืออีกครึ่งปี......”
“เช่นนั้นก็เป็นหัวหน้าหมู่หูต่อไปเถอะ”
แม่ทัพเฉินหัวเราะเยาะ “ถือเป็นการช่วยเหลือนายกองธงใหญ่หลินไปพลาง ๆ ก็แล้วกัน”
หัวหน้าหมู่หูมุมปากกระตุก แต่ไม่กล้าขัดคำสั่ง
ทำได้เพียงกัดฟันประสานมือ “รับทราบ!”
ทหารเก่าที่อยู่ด้านหลังกลั้นหัวเราะจนตัวสั่น
แม่ทัพเฉินพยักหน้าด้วยความพอใจ แล้วหันหลังเดินจากไป
ทิ้งไว้เพียงประโยคที่แฝงความหมายลึกซึ้ง :
“นายกองธงใหญ่หลิน ข้าจะรอดูไพร่พลของเจ้า!”
…...
ตะวันคล้อยต่ำ
หลินชวนยืนอยู่บนกำแพงดินของปราสาทเถี่ยหลิน มองดูทิวเขาสลับซับซ้อนที่อยู่ไกลออกไป ยังคงรู้สึกราวกับฝัน
เพียงสองวันสั้น ๆ เขาเปลี่ยนจากบัณฑิตกลายเป็นนายกองธงเล็ก และถูกเลื่อนขั้นเป็นนายกองธงใหญ่ในที่สุด
ส่วนปราสาทเถี่ยหลินก็ถูกยกระดับจากจุดลาดตระเวนกลายเป็นป้อมทหารป้องกันชายแดน
ทุกอย่างรวดเร็วจนไม่น่าเชื่อ
“นายกองธงใหญ่หลิน!”
หูต้าหย่งกอดกองเอกสารเดินเข้ามา
“นี่คือทะเบียนทหาร บัญชีเสบียง และบัญชีอาวุธของปราสาทเถี่ยหลิน ขอท่านโปรดตรวจสอบ”
หลินชวนรับเอกสารมา เปิดดูอย่างคร่าวๆ แล้วแววตาก็ฉายแววประหลาดใจ
ในทะเบียนทหาร มีชื่อ นามสกุล ภูมิลำเนา วันที่เข้าร่วมกองทัพ และประวัติความดีความชอบของทหารทุกคนอย่างชัดเจน
ในบัญชีเสบียง มีรายการเข้าออกของข้าวสารทุกถัง แป้งทุกถังอย่างละเอียด
ส่วนบัญชีอาวุธยิ่งละเอียดถึงขนาดบอกระดับความสึกหรอของดาบทุกเล่มและคันธนูทุกอัน
“หัวหน้าหมู่หู ท่านเป็นคนจัดทำทั้งหมดนี้เองหรือ?”
หูต้าหย่งเกาหัว แล้วยิ้มอย่างกระอักกระอ่วนเล็กน้อย
“แค่ก ๆ ข้าน้อยเคยเป็น......องครักษ์ประจำตัวของท่านแม่ทัพ......มาสองสามปีขอรับ”
หลินชวนตะลึงงัน : “องครักษ์ประจำตัว?”
หูต้าหย่งถอนหายใจ แล้วในที่สุดก็สารภาพ :
“เมื่อสองปีก่อน แม่ทัพเฉินนำทัพเข้าโจมตีค่ายใหญ่เฮยหลางในยามค่ำคืน แต่ข้าน้อยมัวแต่ดื่มเหล้าจนทำให้เสียการ ท่านแม่ทัพโกรธมากจึงลงโทษให้ข้าลดขั้นเป็นหัวหน้าหมู่สองปี ห้ามเลื่อนขั้น ตอนนี้ยังเหลืออีกครึ่งปี......”
หลินชวนเข้าใจในทันที
ไม่น่าแปลกใจเลยที่หูต้าหย่งมีความเชี่ยวชาญในกิจการทหาร และมีวิธีการทำงานที่เคร่งครัดเช่นนี้
“คำนวณเงินเรียบร้อยแล้วหรือไม่?” หลินชวนปิดเอกสารลง แล้วเอ่ยถาม
“เรียบร้อยแล้วขอรับ”
หูต้าหย่งล้วงกระดาษยับ ๆ แผ่นหนึ่งออกมา
“ตามอัตรากำหนดของป้อมทหารป้องกันชายแดน พวกเราจะได้รับเงินเดือนละสองร้อยตำลึง การรับคนห้าสิบคน ต้องจ่ายค่าตั้งตัวให้คนละสองตำลึง หากรวมค่าอาวุธ ชุดเกราะ และเสบียงแล้ว......ส่วนที่เหลือคงพอแค่ซื้อคันธนูเพิ่มได้อีกสิบคันเท่านั้น”
“อาวุธยุทโธปกรณ์ยังจัดหาไม่ครบเลยหรือ?” หลินชวนตกตะลึง
“เงินไม่พอขอรับ......”
หูต้าหย่งหัวเราะแหะ ๆ “ท่านแม่ทัพเชื่อมั่นในตัวนายกองธงใหญ่ จึงให้นายกองธงใหญ่หาทางจัดการเอาเอง...”
“หาทางจัดการเอง?” หลินชวนหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก
สายตาของเขาจับจ้องไปที่ตัวเลขต่าง ๆ
นี่มันยากจนข้นแค้นเสียจริงๆ!
