เด็กหญิงขวัญข้าว
เสียงฝนตกบางเบาเคาะหลังคากระเบื้องอย่างแผ่วเบา ลันตานั่งกอดเข่าอยู่บนโซฟาตัวเล็กในห้องนั่งเล่นของบ้านทาวน์เฮ้าส์เล็ก ๆ ขนาดสองห้องนอน หน้าต่างเปิดรับลม แต่ใจของเธอเหมือนมีบางอย่างปิดตายอยู่
ข้างตัวคือกองบิลค่าใช้จ่ายที่เธอเพิ่งไปรับจากตู้จดหมาย บิลค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าผ่อนรถ ค่าบ้านที่ยังเหลืออีกหลายปี และสำคัญที่สุด...คือค่ารักษาพยาบาลสำหรับลูกสาววัยสามขวบกว่าของเธอ ที่เพิ่งตรวจเจอภาวะภูมิแพ้ระบบทางเดินหายใจ
เธอถอนหายใจเบา ๆ เลขาเงินเดือนสองหมื่น กับภาระเหล่านี้ มันไม่มีทางพอ
เธอลองเปิดแฟ้มที่เขาให้มาอีกครั้ง กระดาษไม่กี่แผ่นที่แปะตราบริษัทของเขา กลับหนักอึ้งเสียจนเธอแทบถือไม่ไหว
"หนึ่งแสนบาทต่อเดือน สองปีเท่ากับสองล้านสี่แสนบาท"
มันมากกว่าที่เธอหาได้ในห้าปีที่ผ่านมา มากพอจะเปลี่ยนอนาคตของ “ขวัญข้าว” ลูกสาวตัวน้อยของเธอ ให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น แต่แลกกับอะไรล่ะ?
กับการใช้ชื่อร่วมกับผู้ชายคนนั้นในทะเบียนสมรส กับการตกเป็นเป้าสายตา กับการเดินเข้าไปในโลกที่ไม่ใช่ของเธอ ลันตาเอามือกุมขมับ รู้สึกมึนงง เหมือนหัวใจกับเหตุผลตีกันวุ่นวาย ทุกอย่างมันบ้าชัด ๆ
ไม่มีใครในโลกนี้จะมาขอแต่งงานกับผู้หญิงที่มีลูกแล้ว โดยไม่มีเงื่อนไขซ่อนอยู่ ไม่มีใครที่เอ่ยชื่อ “แต่งงาน” ออกมาได้ง่าย ๆ ราวกับแค่เซ็นสัญญาซื้อขาย แต่เขาก็พูดแบบนั้นจริง ๆ
“ฉันแค่ต้องการพันธมิตร ที่ฉันไว้ใจได้”
“หม่ามี้...”
เสียงเล็กแผ่วเบาดังขึ้นไม่ห่างนัก เด็กหญิงตัวน้อยในชุดนอนสีชมพู เดินถือกล่องนมในมือหนึ่ง ส่วนอีกข้างอุ้มตุ๊กตาม้ายูนิคอร์นที่เธอหวงนักหนาติดพื้นมาอย่างเงียบ ๆ
“ขวัญข้าวจะนอนแล้ว” เธอพูดเสียงเบา ดวงตาโตขยี้ด้วยความง่วงงุน
ก่อนจะเดินมาหยุดตรงหน้าแม่ แล้วเงยหน้ามองอย่างตั้งใจ
แต่แม่ของเธอยังนั่งนิ่งสายตายังจ้องที่แฟ้มเอกสารนั้นโดยไม่รู้ตัว
นิ้วเรียวกำขอบกระดาษแน่นขึ้นโดยไม่รู้ว่า ใครคนหนึ่งกำลังยืนรอความสนใจจากเธออยู่
“หม่ามี้...” เสียงเล็กเอ่ยเรียกอีกครั้ง คราวนี้แผ่วลงและสั่นกว่าเดิมนิดหน่อย
“อืม...” ลันตาสะดุ้งเล็กน้อยเหมือนเพิ่งรู้สึกตัว เธอรีบหันไปสบตากับลูกสาว ก่อนจะพยายามยิ้มให้อบอุ่นที่สุดเท่าที่จะทำได้
“ขวัญข้าวจะนอนแล้วเหรอลูก” เด็กน้อยพยักหน้าเบา ๆ แล้วก้าวเข้ามาใกล้ เธอยกแขนขึ้นโอบคอแม่อย่างออดอ้อน
“ขวัญข้าวง่วง...แต่หนูเห็นหม่ามี้นั่งเงียบ ๆ ...ไม่หันมาหาหนูเลย” คำพูดนั้นทำให้หัวใจลันตาเจ็บวูบ เธอกอดลูกไว้แน่นทันที ซบหน้าลงกับไหล่เล็ก ๆ ที่ส่งกลิ่นนมอ่อน ๆ จาง ๆ
กลิ่นที่เธอรักและกลัวจะเสียไปมากที่สุดในชีวิต
“ขอโทษนะคะลูก...หม่ามี้มัวแต่คิดเรื่องงานอยู่หน่อยนึง” เสียงเธอเบา ราวกับกำลังขอโทษจากใจจริง
“ไม่เป็นไรค่ะ หนูเข้าใจ” เด็กน้อยพึมพำเสียงงัวเงีย
“แต่หม่ามี้อย่าคิดมากน้า หนูไม่ชอบเวลาหม่ามี้หน้าเครียดเลย” ลันตากลั้นน้ำตาไว้แทบไม่อยู่
เธอเคยคิดว่าโลกใบนี้โหดร้ายกับเธอเหลือเกิน แต่ทุกครั้งที่เธอกำลังจะล้ม...เด็กคนนี้จะคอยดึงเธอกลับมาเสมอ
ลันตาพาเด็กน้อยเข้าห้องนอนของเธอ ที่มีสีสันแบบเด็กผู้หญิง เตียงเล็กขนาดสามฟุตลายเจ้าหญิง เธออุ้มลูกลงบนเตียงเล็ก ๆ ที่มุมห้อง ปรับหมอนให้เรียบร้อย ห่มผ้าให้เธอ พร้อมกับเปิดเครื่องปรับอากาศให้เธอก่อนจะโน้มตัวไปจูบหน้าผากเล็ก ๆ เบา ๆ อย่างที่ทำทุกคืน
“ฝันดีนะคะ คนเก่งของหม่ามี้” ขวัญข้าวพยักหน้าช้า ๆ แล้วหลับตาลงด้วยความวางใจ เพียงไม่กี่นาที เสียงหายใจของเด็กน้อยก็กลายเป็นจังหวะที่สม่ำเสมอ
เสียงเดียวที่ทำให้บ้านทั้งหลังอบอุ่นขึ้นทันตา
ลันตาเห็นว่าลูกสาวหลับสนิท เธอหันกลับมานั่งที่โซฟาอีกครั้ง
เธอยกแฟ้มเอกสารขึ้นมาอีกครั้ง สูดลมหายใจเข้าลึก แล้วหลับตาแน่น
“สองปี แลกกับอนาคตของลูก"
“เธอไม่ต้องกลัวอะไร ไม่มีข้อผูกมัด ไม่มีการเรียกร้อง มีแค่ชื่อของเธอเคียงกับชื่อเขาในทะเบียนสมรสสองปี”
“และเงินจำนวนหนึ่ง ที่มากพอจะเปลี่ยนชีวิตเธอกับลูกได้ทั้งชีวิต”
เธอเปิดตาขึ้นช้า ๆ แล้วเสียงในใจเธอก็ตอบกลับมานิ่งแน่และชัดเจนกว่าครั้งไหน
“ฉันจะทำ เพื่อขวัญข้าว” เช้าเร่งรีบในบ้านของสองแม่ลูก
เสียงนาฬิกาปลุกจากโทรศัพท์มือถือดังขึ้นเบา ๆ บนหัวเตียง
เวลาเพียงหกโมงตรง ลันตาก็ลืมตาตื่นขึ้นโดยอัตโนมัติ ราวกับร่างกายคุ้นเคยกับตารางชีวิตนี้อย่างแม่นยำ
เธอลุกขึ้นจากที่นอนเบา ๆ
แสงแดดอ่อน ๆ ยังไม่ทันส่องลอดผ่านหน้าต่าง แต่วันของเธอเริ่มขึ้นแล้ว
ในครัวเล็ก ๆ ที่ต่อเติมไว้หลังบ้านเสียงตะหลิวกระทบกระทะดังแผ่วเบา กลิ่นไข่ตุ๋นกับข้าวต้มปลาหอมลอยฟุ้งไปทั่วห้อง
ลันตาหยิบกล่องอาหารกลางวันเล็ก ๆ ที่มีชื่อตัวเองแปะไว้บนฝา กล่อง จัดเรียงอาหารอย่างประณีต เพราะเธอจะห่อข้าวไปทานด้วยทุกวัน
จากนั้น เธอกลับเข้าห้องน้ำ เตรียมตัวแต่งหน้า ทำผมสวมเสื้อเชิ้ตสีพาสเทลกับกระโปรงทรงสอบ เรียบแต่ดูดี
ภาพในกระจกสะท้อนผู้หญิงวัยยี่สิบเจ็ดที่ไม่เคยได้หยุดพัก
แม่เลี้ยงเดี่ยว ที่เรียนรู้วิธี “อดทน” ได้ตั้งแต่ยังไม่พร้อมจะโต
“หม่ามี้~” เสียงเล็ก ๆ ดังขึ้นพร้อมเสียงฝีเท้าเล็ก ๆ ที่วิ่งตึง ๆ มาจากห้องนอน
ลันตาหันกลับไปยิ้มให้เด็กหญิงผมสั้นประบ่าที่เพิ่งตื่นนอน ตายังเยิ้ม ๆ แต่ใบหน้ายิ้มแป้น เธอสวมชุดนอนลายหมีพูห์ เดินโซซัดโซเซเข้ามากอดแม่แน่น
“ตื่นแล้วเหรอลูก หืม” ลันตาก้มลงลูบผมเบา ๆ
“ขวัญข้าวได้กลิ่นข้าวต้ม หอมมากเลย” เด็กน้อยตอบเสียงใส แล้วหาวหวอดใหญ่
“ไปล้างหน้าอาบน้ำก่อน เดี๋ยวกินข้าวเสร็จจะทันรถโรงเรียนพอดีเลยค่ะ”
“ค่ะ”
เด็กน้อยพยักหน้าหงึก ๆ แล้วเดินแกมวิ่งเข้าห้องน้ำอย่างว่าง่าย
เธอเป็นเด็กเลี้ยงง่าย ไม่งอแง ไม่อาละวาด บางทีอาจเป็นเพราะเธอเห็นแม่ยิ้มให้เสมอ แม่ที่ไม่เคยตะคอก ไม่เคยถอดใจ แม้ในวันที่เหนื่อยจนแทบทรุด
...
ไม่นานนัก สองแม่ลูกก็นั่งอยู่ที่โต๊ะกินข้าวด้วยกัน ลันตาช่วยตักข้าวต้มให้ลูก ป้อนคำใหญ่ ๆ อย่างเอาใจ ขวัญข้าวเคี้ยวตุ้ย ๆ หัวเราะคิกเมื่อแม่ทำเสียงสัตว์ประกอบระหว่างป้อนอาหาร
ช่วงเวลาเล็ก ๆ ที่แสนธรรมดานี้...คือช่วงเวลาที่ลันตารักที่สุดในวัน
“หม่ามี้จะไปทำงานอีกแล้วใช่ไหมคะ” ขวัญข้าวถามเสียงเบา ขณะที่เธอวางช้อนลงหลังจากกินเสร็จ
“ใช่จ้ะ หม่ามี้ต้องไปประชุมกับเจ้านายค่ะ”
“เจ้านายคือคนที่ดุ ๆ ใส่สูทใช่ไหมคะ” เด็กน้อยเลิกคิ้ว ลันตาหัวเราะออกมาเบา ๆ
“ดุนิดเดียวเองค่ะ เขาไม่กัด”ขวัญข้าวยิ้มตาหยี
ก่อนจะเอื้อมมือเล็ก ๆ มากุมมือแม่ไว้แน่น
“ขวัญข้าวจะเป็นเด็กดี จะรอหม่ามี้กลับมานะคะ”
...
เสียงแตรรถตู้โรงเรียนดังหน้าบ้านลันตาลุกขึ้นไปหยิบกระเป๋าเป้สีเหลืองสดให้ลูก จัดระเบียบผมเล็ก ๆ ให้เรียบร้อยอีกครั้งก่อนจะก้มลงจูบหน้าผากลูกสาวอย่างที่เธอทำทุกวัน
“หนูเก่งที่สุดเลย ขวัญข้าวของหม่ามี้”
...
เมื่อประตูปิดลง และรถตู้ขับออกไปจากหน้าทาวน์เฮ้าส์ ความเงียบก็หวนกลับมาอีกครั้ง ลันตายืนอยู่ลำพัง ร่างเรียวในชุดสาวออฟฟิศสงบนิ่ง แต่ใจของเธอกำลังเต้นแรง
วันนี้...คือวันแรกที่เธอต้องกลับไปบอก “เจ้านาย” ว่าเธอจะยอมรับข้อเสนอที่ไม่เหมือนข้อเสนอไหนในชีวิต เธอหันกลับไปมองแฟ้มเอกสารบนโต๊ะ แล้วสูดลมหายใจเข้าลึก
ในฐานะผู้หญิงธรรมดา...เธออาจไม่รู้จักคำว่า ‘ความฝัน’แต่ในฐานะแม่...เธอจะทำทุกอย่าง เพื่อ ‘ความมั่นคง’ ให้ลูกได้อย่างไม่มีข้อแม้
...
เวลา 07:42 น. – PS GROUP
เสียงเครื่องยนต์ดับลงที่มุมจอดรถประจำของเธอ ลันตาปลดเข็มขัดนิรภัยอย่างรวดเร็ว ขยับกระเป๋าทำงานแนบตัวก่อนจะก้าวลงจากรถ
เช้านี้เธอตื่นตั้งแต่หกโมงเช้า
ทำอาหารให้ลูกสาว เตรียมข้าวกล่อง จัดกระเป๋านักเรียน
ดูแลอารมณ์เด็กหญิงตัวน้อยให้อารมณ์ดีในทุกเช้า และตอนนี้ เธอเปลี่ยนบทบาทจาก "แม่" กลับมาเป็น "เลขา" อย่างไร้รอยต่อ
ขาของเธอพาเดินผ่านล็อบบี้เงียบ ๆ อย่างมั่นคง แสงแดดส่องกระทบกระจกตึกสูงระยิบระยับ
อีกไม่ถึงสิบนาที ทีมงานแผนกอื่น ๆ จะทยอยมาถึง แต่ลันตา...จะต้องมาถึงก่อนเจ้านายเสมอ
โดยเฉพาะวันนี้ วันที่เธอจะต้องยื่นคำตอบเรื่องสัญญานั้นให้เขา
...
ชั้น 19 – ฝ่ายบริหาร
ห้องทำงานยังเงียบ
แอร์เย็น ๆ ทำให้ลันตาสะบัดไหล่เบา ๆ แล้ววางกระเป๋าลงบนโต๊ะของตัวเอง เธอเปิดคอมพิวเตอร์ทันที ตามด้วยวางกระดาษโน้ตสรุปงานที่จัดเตรียมไว้ตั้งแต่เมื่อคืน แฟ้มประชุม ทีมงบประมาณ งานอนุมัติพิเศษจากฝ่ายกฎหมาย รวมถึงแฟ้มอีกหนึ่งเล่ม แฟ้มปกสีดำเรียบ ที่มีหัวกระดาษเขียนไว้ว่า
“ข้อตกลงระยะเวลา 24 เดือน”
เธอไม่ได้แตะมันทันที ไม่ได้มองมันเหมือนวาระแห่งชีวิตมันคือข้อตกลงพิเศษที่เขาเสนอให้...ในฐานะหัวหน้า กับลูกน้องที่เขาไว้ใจ
...
มือของลันตาวางกาแฟไว้ข้างโต๊ะ ระหว่างที่จัดวางแฟ้มเรียงไว้ตามลำดับเวลาเธอหยิบสมุดเล่มเล็กของปารมีขึ้นมา พลิกไปยังหน้าวันที่ 5 เช็กตารางประชุมภายในช่วงเช้า และเตรียมจดสรุปไว้ให้เขาตรงหน้าโต๊ะ
ทุกอย่างเงียบและเป็นระบบ...เหมือนที่เคยเป็น
