ตัดสินใจ
เสียงประตูห้องทำงานปิดเบา ๆ ลันตากลับมานั่งที่โต๊ะของตนอีกครั้งเธอสูดลมหายใจลึก ๆ ปล่อยไหล่ที่เกร็งตึงตั้งแต่เช้าให้คลายลงอย่างช้า ๆ มือเรียวหยิบแฟ้มประชุมอีกชุดหนึ่งขึ้นมา เหมือนจะพยายามดึงตัวเองกลับเข้าสู่โหมดงานตามปกติ เธอไม่คิดจะย้อนกลับไปมองความรู้สึกที่เกิดขึ้นตอนอยู่ในห้องนั้นอีก ทุกอย่างมันคือ "หน้าที่" และเธอก็ทำมันไปแล้วเหลือเพียงการเดินหน้าต่อไปแบบไม่คาดหวังอะไรนอกเหนือจากสิ่งที่ตกลงไว้แต่ไม่นาน เสียงเปิดประตูห้องประธานก็ดังขึ้นอีกครั้ง...
ลันตาเงยหน้าขึ้นปารมีเดินออกมา คราวนี้ไม่ได้ถือเอกสารไม่ได้ดูรีบเร่งหรือหงุดหงิดมีเพียงใบหน้าเรียบนิ่งแบบเดิม แต่แววตานั้นดูเหมือนกำลังคิดอะไรบางอย่าง
"คุณลันตา"
"คะ" เธอวางปากกาในมือทันที
เขาหยุดยืนที่หน้าห้องของเธอ มือข้างหนึ่งล้วงกระเป๋ากางเกง สูทยังเรียบร้อยไม่ผิดเส้น แต่ท่าทีของเขาไม่เหมือนตอนเช้า
"ผมคิดได้อีกเรื่อง" เขาพูดช้า ๆ มองสบตาเธอตรง ๆ
“ไหน ๆ เราก็จะใช้ชีวิตร่วมกันในนาม สองปีเต็ม ผมว่าผมควรจะได้รู้จักคนที่อยู่ในชีวิตคุณด้วย” ลันตาขมวดคิ้วเล็กน้อย
ไม่ใช่เพราะไม่เข้าใจ แต่เพราะเธอไม่ได้คิดว่าเขาจะพูดอะไรแบบนี้
“คุณหมายถึง”
"ลูกสาวของคุณ".
บรรยากาศเงียบลงทันที ลันตานิ่งไป ชั่วครู่ เธอไม่รู้จะตอบยังไงดีมันไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะให้ใครเข้ามาในโลกเล็ก ๆ ของขวัญข้าว โดยเฉพาะกับผู้ชายที่เป็นทั้งเจ้านาย และว่าที่คู่สมรสในนาม
"ผมไม่ได้หมายความว่าจะเข้าไปก้าวก่าย" ปารมีรีบพูดต่อ น้ำเสียงยังคงนิ่ง ไม่อ่อน ไม่แข็ง
"แต่ถ้าเราจะมีสถานะบนกระดาษที่ต้องใช้ร่วมกันหลายอย่าง
ผมคิดว่าอย่างน้อย ผมควรทำความรู้จักเธอบ้าง"
ลันตาหลุบตามองแฟ้มในมือตัวเอง ใจเธอสับสนเล็กน้อย ไม่ใช่เพราะกลัวเขาจะทำอะไร แต่เพราะเธอไม่เคยคิดว่าเขาจะ “สนใจ” เด็กหญิงตัวน้อยในบ้านของเธอ เขาพูดต่อน้ำเสียงมั่นคงแต่ไม่บีบบังคับ
“วันนี้หลังเลิกงาน ผมจะขอไปด้วยตอนคุณไปรับลูกสาวที่โรงเรียน”
“เอ่อ…” ลันตาอึ้งไม่รู้จะตอบยังไงทันที เธอไม่ชินกับการให้ใครเข้ามาในโลกส่วนตัว โดยเฉพาะคนที่เธอคิดว่าจะวางทุกอย่างไว้ในกรอบของสัญญาเท่านั้น
“เธอเลิกกี่โมง”
"บ่ายสามครึ่งค่ะ"
"งั้นผมจะเลื่อนประชุมช่วงบ่ายออก"เขาพูดเสร็จแล้วหันกลับเข้าห้องไปทันที โดยไม่รอให้เธอตอบตกลงหรือปฏิเสธ
ลันตายังนั่งนิ่งอยู่ตรงโต๊ะ มือเธอแตะเบา ๆ ที่หน้ากระดาษ แต่ใจกลับกำลังคิดไปไกลถึงสายตาของลูกสาว
ว่าขวัญข้าวจะรู้สึกยังไง ถ้าเห็นแม่เดินมาพร้อมผู้ชายแปลกหน้าคนหนึ่ง
เวลา 15:30 น.หน้าโรงเรียนอนุบาล
เสียงกระดิ่งเลิกเรียนดังขึ้น ประตูห้องเรียนเปิดออก เด็ก ๆ วิ่งออกมาเป็นสาย สีหน้าเต็มไปด้วยความสดใส ในจำนวนนั้น...มีเด็กหญิงตัวเล็กคนหนึ่งที่วิ่งนำมาก่อนใคร
เธอเห็นคนที่ยืนรออยู่ริมรั้ว และทันใดนั้นเสียงหวานใสก็ดังขึ้นจากปากเล็ก ๆ ของเธอ
“หม่ามี้ หม่ามี้มารับหนูเหรอ”
ขวัญข้าววิ่งเข้ามากอดลันตาเต็มแรง โบว์ผมสีชมพูปลิวไหวตามแรงวิ่ง แววตาเปล่งประกายสดใสกว่าทุกวัน ลันตาก้มลงรับกอดลูกสาวแน่น ริมฝีปากแตะหน้าผากกลมมนของเด็กหญิงอย่างแผ่วเบา
“จ้ะ หม่ามี้มารับเองเลยวันนี้ ไม่ต้องขึ้นรถโรงเรียนแล้วเนอะ”
“เย้ หนูไม่ต้องนั่งรถโรงเรียนแล้ววว” ขวัญข้าวกระโดดดึ๋ง ๆ ด้วยความดีใจ กระโปรงยูนิฟอร์มไหวไปตามแรงกระโดด
ใบหน้าเล็ก ๆ เต็มไปด้วยความสุขแบบเด็กที่ได้ของขวัญชิ้นใหญ่ที่สุดในวันศุกร์
“ขวัญข้าวอยากให้หม่ามี้มารับทุกวันเลย” ลันตาหัวเราะเบา ๆ พลางลูบผมนุ่มของลูก
“ไว้หม่ามี้จะพยายามเคลียร์งานมารับบ่อยขึ้นนะคะคนเก่ง” แล้วจู่ ๆ ขวัญข้าวก็หยุดกะทันหัน เธอหันไปเห็นผู้ชายแปลกหน้าในสูทสีเข้มยืนอยู่ข้างแม่ คิ้วเล็ก ๆ ขมวดนิด ๆ ก่อนจะเอียงคอ มองพิจารณาเต็มตา
“หม่ามี้...คนนี้ใครเหรอคะ”
ลันตาอึกอักเล็กน้อย แต่ปารมีก้าวเข้ามาแล้วย่อตัวลงในระดับเดียวกับขวัญข้าวยิ้มบาง ๆ อย่างไม่ขัดเขิน
“สวัสดีครับ หนูขวัญข้าวใช่ไหมครับ”
“ใช่ค่ะ” เด็กหญิงตอบทันที พร้อมพยักหน้าแรง ๆ
“ลุงชื่อปารมี เป็นเพื่อนของหม่ามี้” ขวัญข้าวทำตาโต ก่อนจะหรี่ตาเหมือนนักสืบ
“เพื่อนหม่ามี้เหรอแต่ลุงใส่สูทเหมือนคุณครูใหญ่เลย” ลันตาเผลอหัวเราะออกมาเบา ๆ ส่วนปารมีก็ยิ้มกลั้นหัวเราะไม่ทันเช่นกัน
“ลุงไม่ใช่ครูใหญ่หรอกครับ แต่ถ้าขวัญข้าวอยากให้ลุงแจกขนมลุงก็พอจะทำได้นะ”
“ขนม จริงเหรอคะ” ดวงตาเด็กน้อยเปล่งประกายทันที
น้ำเสียงตื่นเต้นไม่แพ้ตอนที่รู้ว่าแม่มา
ขวัญข้าวเริ่มหัวเราะคิกคัก ความระแวงในแววตาน้อย ๆ เริ่มคลายลง ก่อนจะเอื้อมมือไปแตะชายเสื้อสูทของเขาแล้วถามเบา ๆ
“จริงเหรอคะ ลุงมีขนมจริง ๆ เหรอ” เธอย้ำอีกทีด้วยความดีใจ
“ถ้าแม่หนูอนุญาตลุงจะเลี้ยงไอศกรีมหนึ่งถ้วยใหญ่เลย”
...
ลันตาถอนหายใจเบา ๆ ไม่คิดว่าผู้ชายสุขุม เย็นชาในห้องประชุมจะพูดกับลูกเธอด้วยน้ำเสียงแบบนี้ เหมือนเขาไม่ได้แกล้งทำแต่ตั้งใจ “เข้ามา” ในโลกของลูกเธอจริง ๆ เธอพยักหน้าเล็กน้อย
"ได้ค่ะ แต่ต้องไม่เย็นมากนะคะ เดี๋ยวจะเจ็บคอ" ขวัญข้าวเฮเสียงเล็ก ๆ ก่อนจะยื่นมือสองข้างไปจับมือทั้งแม่และลุงปารมีไว้คนละข้าง
"งั้นไปเลยค่า ลุง ป่ะ"
ปารมีมองมาที่ลันตา แววตาเขานิ่ง.แต่ไม่เย็นอีกต่อไป
ไม่มีคำพูดใด ๆ แค่เพียงแววตาคู่นั้นที่เหมือนจะบอกว่า เด็กคนนี้อาจไม่ใช่เพียง ลูกสาวของเธอ แต่เป็นสิ่งสำคัญที่เขาจะไม่เพิกเฉย
ร้านไอศกรีมเล็ก ๆ ข้างโรงเรียน บ่ายวันศุกร์ที่อากาศร้อนอบอ้าว กลับกลายเป็นช่วงเวลาแสนสดใสของขวัญข้าว
หลังนั่งเล่นกันอยู่ที่โต๊ะไม้นอกร้าน เด็กหญิงตัวเล็กก็ลุกขึ้นอย่างกระตือรือร้น
“หม่ามี้ หนูขอไปสั่งไอติมเองได้มั้ย” เธอถามเสียงใส ดวงตากลมโตเต็มไปด้วยความอยากลองทำอะไรด้วยตัวเอง ลันตายิ้ม
“ได้สิคะลูก เอาเมนูเดิมนะ”
“วานิลลากับเยลลี่สีชมพูใช่ไหมคะ” ขวัญข้าวทวนเสียงดังแล้ววิ่งปิ๊ดไปที่หน้าเคาน์เตอร์
ปารมีนั่งมองเธออยู่เงียบ ๆ สายตาเขาไม่ได้แค่เฝ้าดู แต่จับตามองทุกจังหวะก้าวของเด็กน้อยที่กำลังทำตัวโตขึ้นอย่างน่าเอ็นดู
ที่หน้าเคาน์เตอร์ ไอศกรีมรสต่าง ๆ เรียงเป็นตู้โชว์ตรงหน้า ขวัญข้าวยืนชะโงกดูพร้อมทบทวนคำสั่งในใจ แต่แล้วเสียงของเด็กชายอีกคนก็ดังขึ้นจากด้านข้าง
“หลบหน่อยดิ จะรีบสั่ง”
เด็กชายร่างสูงกว่าเล็กน้อย ดันตัวมายืนเบียดแซงหน้าเธอขวัญข้าวเบิกตาเล็กน้อย แต่ยังไม่ทันพูดอะไร ก็ถูกสวนกลับด้วยคำพูดที่ทำให้เธอชะงัก
“อ้าวลืมไป นี่มันเด็กไม่มีพ่อนี่นาจะกินไอติมหรอ ใครซื้อให้”
คำพูดนั้นเบา แต่ไม่เบาพอจะรอดสายตาของปารมีที่นั่งอยู่ไม่ไกล เขาเห็นทุกอย่าง เห็นตั้งแต่วินาทีที่เด็กชายเดินมาประชิด เห็นสายตาของขวัญข้าวที่สั่นไหว เห็นความเงียบที่เต็มไปด้วยคำถามในหัวเล็ก ๆ ของเธอ
ลันตาหยิบกระดาษทิชชู่อยู่ข้าง ๆ ยังไม่ทันได้หันไปดู
แต่ปารมีวางแก้วน้ำลงบนโต๊ะเบา ๆ ก่อนจะลุกขึ้นอย่างสุขุม และก้าวเดินตรงไปยังเคาน์เตอร์ทันที
“ขวัญข้าว” เสียงของเขานุ่มแต่หนักแน่น เด็กหญิงหันขวับ ดวงตาเริ่มคลอเบ้า เขาโน้มตัวลง อุ้มขวัญข้าวขึ้นมาแนบอกอย่างไม่ลังเล มือหนึ่งประคองแผ่นหลังเล็ก อีกมือแตะที่หัวของเธอเบา ๆ
“ไม่เป็นไรหนู ลุงอยู่ตรงนี้” จากนั้น เขาหันไปทางเด็กชายคนนั้น
“หนูชื่ออะไรครับ” เด็กชายชะงักใบหน้าเริ่มเกร็ง ไม่เหมือนเมื่อครู่
“บูมครับ”
“บูม” ปารมีทวนชื่ออย่างเรียบ ๆ
“เมื่อกี้หนูพูดว่าอะไรกับขวัญข้าวนะ” บูมไม่ตอบแววตาเริ่มหลบ ก่อนจะยกคิ้วขึ้นเหมือนไม่แยแส
“ก็หนูแค่พูดเล่น ไม่มีพ่อก็ไม่ใช่เรื่องผิดนี่”
แต่ก่อนที่เด็กชายจะพูดอะไรต่อ เสียงฝีเท้าของผู้หญิงคนหนึ่งก็ดังใกล้เข้ามา
“บูม ลูกแม่อยู่ไหน อ๊ะเกิดอะไรขึ้นคะ” หญิงสาวสวมชุดพนักงานออฟฟิศคนหนึ่ง รีบเดินเข้ามา ในมือยังถือโทรศัพท์ที่เพิ่งวางสาย เธอเห็นลูกชายยืนหน้าจ๋อยอยู่ข้างผู้ชายในสูท และเด็กหญิงอีกคนในอ้อมแขน ปารมีหันไปพูดกับเธอด้วยน้ำเสียงสุภาพแต่จริงจัง
“คุณแม่ครับ ลูกชายคุณเพิ่งพูดจาไม่เหมาะสมกับเด็กผู้หญิงคนนี้ ล้อเลียนเรื่องว่าเธอไม่มีพ่อ ต่อหน้าคนอื่น และยังแซงคิวอีก” หญิงคนนั้นเบิกตา รีบหันไปหาเด็กชายทันที
“บูม จริงเหรอลูก พูดแบบนั้นได้ยังไง” บูมหันหน้าไปอีกทาง ไม่ยอมสบตาแม่ ปารมียังคงพูดต่ออย่างมั่นคง เขาก้มลงเล็กน้อย แล้วพูดเสียงชัด
“จริง ๆ แล้วขวัญข้าวมีพ่อครับ และพ่อของเธอก็คือผมเอง”
ลันตาที่ยืนมองอยู่เงียบ ๆ ถึงกับสะอึกใจเธอเต้นแรงโดยไม่รู้ตัว เธอไม่คิดว่าเขาจะพูดออกมาตรง ๆ แบบนี้ต่อหน้าคนแปลกหน้าต่อหน้าลูกสาวของเธอ
แต่ขวัญข้าวกลับกอดคอเขาแน่นขึ้น ซบหน้าลงกับไหล่กว้าง พร้อมรอยยิ้มเล็ก ๆ เหมือนกับว่า...คำพูดนั้น ทำให้เธอรู้สึก “ปลอดภัย” แม่ของบูมหน้าเสียทันที
“ฉันขอโทษจริง ๆ ค่ะ เดี๋ยวจะให้ลูกชายขอโทษ” เธอรีบดันบูมออกมาข้างหน้า เด็กชายกัดปากแน่น ก่อนจะพูดเสียงเบา
“ขอโทษครับ ขอโทษที่พูดไม่ดีครับ” ปารมีพยักหน้ารับ ไม่พูดอะไรเพิ่ม หญิงคนนั้นหยิบกระเป๋าสตางค์ แล้วพยายามยื่นเงินให้ขวัญข้าว
“นี่ค่ะ ให้เด็กไปซื้อไอติมใหม่ หรืออะไรที่อยากได้” ปารมีรีบยกมือปฏิเสธทันที เสียงของเธอนุ่ม แต่ชัดเจน
“ไม่เป็นไรค่ะ ขวัญข้าวไม่ได้เสียอะไรไป แค่ได้เรียนรู้ว่าในโลกนี้ ยังมีคนปกป้องเธออยู่เสมอ”
เธอหันไปมองปารมีสายตานั้นเปลี่ยนไปแล้ว จากที่เคยระวังใจตอนนี้มีบางอย่างที่อ่อนลงและอบอุ่นขึ้นกว่าเดิม
