ความลับของทั้งสองคน
บนรถของลันตาระหว่างทางกลับบ้าน ลันตาหันไปมองกระจกหลังหลายครั้ง ลูกสาวของเธอนั่งยิ้มแก้มปริมองออกไปนอกหน้าต่างไม่หยุดตั้งแต่ออกจากร้านไอศกรีม เธออดถามไม่ได้
“ขวัญข้าว ยิ้มอะไรคะ หื้ม” เด็กหญิงหัวเราะคิกคัก แต่ส่ายหน้าแรง ๆ พร้อมเสียงอ้อมแอ้ม
“หม่ามี้ไม่ต้องรู้หรอกค่า”
“อ้าว แปลว่าแอบมีความลับแล้วเหรอคะ” ลันตาแกล้งทำเสียงงอน
“ก็...ก็...หนูแค่ดีใจนิดหน่อย”
ร
“ดีใจอะไรลูก”
“ก็มีป๊ะป๋ามารับ มาช่วยหนูไงคะ อุ้ย” เธอพูดเสียงเบา แต่ยังไม่กล้าเอ่ยเต็มปาก
ลันตายิ้มเงียบ ๆ ไม่ได้ตอบอะไรต่อ เพราะตอนนี้หัวใจของเธอก็เงียบไปเหมือนกัน
หน้าบ้านของลันตา บ้านทาวน์เฮ้าส์หลังเล็ก ๆ ลันตาขับรถมาจอดในรั้วบ้าน และไม่นานนัก รถของปารมีก็ตามมาจอดต่อท้ายแบบมีมารยาท เธอลงจากรถแล้วหันไปมองเขาผ่านกระจกหน้ารถ แม้อยากจะชวนให้เขาเข้ามานั่งพัก แต่ก็ลังเล...
บ้านของเธอไม่ได้ใหญ่โตอะไร แถมยังไม่สะดวกเหมือนคอนโดหรูของเขา แต่คำลังเลของเธอ ก็ไม่ทันเจอแรงต้านจากเด็กหญิงวัยสามขวบที่พูดทันที
“ลุงไปด้วยกันสิหม่ามี้ทำกับข้าว เดี๋ยวหนูเลี้ยงลุงเอง” ไม่ทันที่ลันตาจะได้ห้าม ขวัญข้าวลงจากรถก็วิ่งไปเคาะกระจกเรียกปารมีทันที เขาไม่ลังเลลงมาจากรถ เสียงเรียกของแเธอแล้วจับมือเขาเดินเข้าบ้านอย่างมั่นใจ ลันตารีบพูดทั้งที่เขากำลังเดินตามลูกสาวมา
“คุณไม่ต้องก็ได้นะคะ ฉันไม่ได้ตั้งใจจะรบกวนเลย” แต่ปารมีกลับยิ้มบาง ๆ แล้วตัดพ้อแบบไม่ทันตั้งตัว
“ถ้าไม่ใช่ขวัญข้าวคุณก็คงไม่เชิญผมสินะ”
“เปล่าเลยค่ะ ฉันแค่กลัวว่าบ้านจะไม่สะดวก”
“บ้านเล็กไม่ใช่ปัญหา แต่ความรู้สึกที่คุณกันผมไว้น่ะผมรู้สึกได้” ลันตาชะงัก ก่อนจะก้มหน้าลงอย่างไม่กล้าเถียง และเดินนำเขาเข้าบ้านเงียบ ๆ
ภายในบ้าน ครัวกับห้องนั่งเล่นเล็ก ลันตาเข้าครัว เริ่มจัดของ ทำกับข้าวง่าย ๆ ขณะที่ปารมีนั่งอยู่บนเสื่อปูในห้องนั่งเล่น กับเด็กหญิงวัยสามขวบที่เริ่มวางใจเขาเต็มที่ ขวัญข้าวหยิบตุ๊กตาหมีขึ้นมา แล้วพูดเสียงสดใส
“วันนี้ป๊ะป๋าช่วยหนูไว้ที่ร้านไอติมเลยเหมือนฮีโร่เลยค่ะ” ปารมีหัวเราะเบา ๆ
“จริงเหรอ ฮีโร่ใส่สูทแบบลุงนี่นะ”
“จริงสิลุงไม่เห็นตอนหนูจะร้องไห้เลย หนูเสียใจจริง ๆ ว่าไม่มีป๊ะป๋าเหมือนเพื่อน” น้ำเสียงนั้นแผ่วลง ดวงตากลมโตวาวน้ำตาขึ้นมาอีกครั้ง ปารมีนิ่งไปชั่วอึดใจ เขายกมือลูบหัวเธอเบา ๆ แล้วพูดช้า ๆ
“ถ้าหนูอยากมี ลุงก็ยินดีนะ” ขวัญข้าวเงยหน้าขึ้น ริมฝีปากเล็ก ๆ ขมุบขมิบ
“เรียกป๊ะป๋า ได้จริงเหรอคะ”
“ได้สิ...แต่เฉพาะเวลาที่เราสองคนอยู่กันนะ จะได้เป็นความลับของเราสองคน” ขวัญข้าวยิ้มกว้างทันทียกนิ้วก้อยขึ้นมาข้างหนึ่ง
“งั้นหนูจะเรียกป๊ะป๋าเฉพาะเวลาอยู่กับป๊ะป๋าเท่านั้นสัญญา”
เขาเกี่ยวก้อยเล็ก ๆ นั้นไว้แน่น หัวใจหนักแน่นที่เคยชินกับความเย็นชา...กลับอบอุ่นขึ้นอย่างช้า ๆ
และไม่ไกลนัก ในครัวลันตาเงียบไปครู่ มือยังหั่นผัก แต่หูเธอได้ยินทุกคำพูด ริมฝีปากสั่นน้อย ๆ แต่ไม่พูดอะไร
แค่กลืนบางอย่างลงคอไปเงียบ ๆ ก่อนจะยิ้มบางโดยไม่รู้ตัว
...
โต๊ะอาหารภายในบ้านลันตามื้อเย็น
เสียงช้อนกระทบจานเป็นเพียงเสียงเดียวที่ลอยอยู่ในอากาศ บรรยากาศโต๊ะอาหารที่มีผู้ใหญ่นั่งกันสองคน และเด็กเล็กอีกหนึ่งคน ในตอนแรกกลับเงียบเกินคาดไม่มีเสียงพูด ไม่มีเสียงหัวเราะ มีเพียงกลิ่นต้มจืดจาง ๆ ที่ลอยคลุ้งออกมาจากชามกลางโต๊ะ
ลันตาตักข้าวเงียบ ๆ ปารมีนั่งตรงข้ามอย่างสำรวม
ขวัญข้าวนั่งตรงกลางระหว่างสองคน แต่แล้วเด็กน้อยก็ขยับตัวเอียงไปกระซิบกระซาบกับเขาเบา ๆ
“ป๊ะป๋า บ้านหนูเล็กไปหน่อยใช่มั้ยคะ" ปารมีก้มลงใกล้ ๆ ยิ้มบาง ๆ แล้วตอบกลับเสียงเบาเช่นกัน
“ไม่เลยครับ ป๊ะป๋าชอบบ้านหลังนี้ มันน่ารักดีเหมือนเจ้าของบ้าน” ขวัญข้าวยิ้มกว้าง พยายามกลั้นเสียงหัวเราะ ก่อนจะหันมาอีกคำถาม
“แล้วคอนโดป๊ะป๋ามีลิฟต์มั้ยคะ สูงเท่าไหร่ มีแมวอยู่ด้วยหรือเปล่า”
“มีลิฟต์ครับ อยู่ชั้นยี่สิบห้า แต่ไม่มีแมวเพราะป๊ะป๋าเลี้ยงไม่เก่งเหมือนหม่ามี้หนูแน่ ๆ ”
“งั้นถ้าหนูไปที่นั่น หนูจะตกจากชั้นยี่สิบห้าไหมคะ" ปารมีหลุดหัวเราะเบา ๆ
“ไม่ตกครับ ป๊ะป๋าจะจับไว้แน่นเลย ไม่ให้ตกแน่นอน” เด็กน้อยยิ้มอาย ๆ ก่อนจะเอียงคอถามอีก
“ป๊ะป๋าเคยขี่ช้างมั้ยคะ”
“เคยตอนเด็ก ๆ แต่ตอนนี้ขี่รถมากกว่า”
“แล้วป๊ะป๋ากลัวแมลงสาบมั้ย”
“กลัวนิดหน่อยครับ โดยเฉพาะแมลงสาบบิน” ขวัญข้าวหัวเราะพรืดออกมาเธอยกมือป้องปาก มองไปรอบ ๆ ราวกับกลัวว่าหม่ามี้จะว่าเอา
และในจังหวะนั้นเอง ลันตาก็เงยหน้าขึ้นจากชามข้าว เธอจ้องมองทั้งคู่ด้วยแววตาแปลกใจ ไม่ใช่แค่ตกใจที่เขาคุยกับเด็กได้ แต่เธอรู้สึกเหมือน...ปารมีกับลูกสาวของเธอ เข้ากันได้ดีเกินไป จนเธอ...เผลอเงียบไปอีกครั้ง
...
เวลาต่อมาในครัว
เสียงน้ำไหลจากก๊อกดังก้องในห้องครัวเล็ก ๆ ลันตาใช้ฟองน้ำขัดจานอย่างใจเย็น หัวใจยังคงวนเวียนอยู่กับเสียงหัวเราะของลูกสาวเมื่อครู่
“ให้ช่วยไหมครับ” เสียงของเขาดังขึ้นจากด้านหลัง ทำให้เธอสะดุ้งเล็กน้อย เมื่อหันไปมอง ก็เห็นเขาถอดสูทไว้เรียบร้อย
พับแขนเสื้อเชิ้ตขึ้นครึ่งหนึ่งแล้วเดินมาหยิบจานวางข้างเธออย่างคล่องแคล่ว
“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันทำเองได้”
“ให้ผมยืนมองเฉย ๆ มันจะดูใจดำไปหน่อย” เขาหยิบผ้าเช็ดจาน แล้วเริ่มเช็ดไปทีละใบ ข้าง ๆ เธอความเงียบเกิดขึ้นชั่วครู่แต่ไม่อึดอัด กระทั่งเขาพูดขึ้นเบา ๆ
“ขวัญข้าวเป็นเด็กฉลาดนะครับ สดใสด้วย” ลันตายิ้มบาง ๆ
“ค่ะ เธอพูดเก่ง ยิ้มเก่งมากกว่าฉันตอนเด็ก ๆ เสียอีก” ปารมีมองสีหน้าของเธอสลับกับจานในมือ ก่อนจะถามตรง ๆ
“เธอไม่เคยถามถึงพ่อของเธอเลยเหรอครับ”
...
คำถามนั้น เหมือนทำให้มือของลันตาหยุดชั่วครู่ เธอไม่ได้ตอบในทันที เสียงน้ำจากก๊อกยังคงไหลเอื่อย ๆ ก่อนที่เธอจะพูดเบา ๆ
“เคยค่ะ...แต่ฉันไม่เคยมีคำตอบให้เธอ” ปารมีไม่พูดอะไร
รอเธอพูดต่อ แต่สิ่งที่ตามมาคือความเงียบ ลันตาวางจานลงในอ่าง แล้วหันไปยิ้มให้เขาแบบจบการสนทนา
“เรื่องบางเรื่องมันไม่มีคำอธิบายค่ะ และบางครั้งก็ไม่ควรย้อนกลับไปถามอีก” เขาไม่ซักแค่พยักหน้ารับเบา ๆ แล้วเช็ดจานใบนั้นอย่างเงียบ ๆ
แม้จะรู้ว่าเธอยังไม่พร้อมเปิดใจ แต่เขาก็รู้ว่าวันนี้ เขาก้าวข้าม “กำแพดชั้นแรก” มาได้แล้ว และมันเริ่มต้นจากรอยยิ้มของเด็กน้อยที่เรียกเขาว่า ป๊ะป๋า
ขวัญข้าวก็วิ่งเล่นอยู่หน้าทีวี กอดตุ๊กตาหมีคู่ใจในชุดเดรสสีชมพูที่เลอะจากโรงเรียน แต่ยังยิ้มแย้มราวกับโลกนี้ไม่มีเรื่องให้กังวล ปารมีนั่งอยู่บนโซฟามองภาพนั้นอย่างเงียบ ๆ ก่อนหันไปมองลันตาที่กำลังเดินกลับมานั่งลงข้างลูกสาว
“กินยาครบมั้ยคะวันนี้” เสียงของลันตานุ่มนวล เหมือนเคยพูดซ้ำประโยคนี้ทุกวัน
“ครบแล้วค่าหม่ามี้ดูได้เลย” เด็กหญิงยื่นข้อมือให้ดูสายรัดเล็ก ๆ ที่มีสติ๊กเกอร์ดอกไม้ติดเป็นรางวัล
“เก่งมากค่ะ เดี๋ยวคืนนี้หม่ามี้อ่านนิทานให้เพิ่มสองตอนเลย”
“จริงเหรอเย้” ปารมีมองภาพนั้น แม่ลูกที่พูดคุยกันด้วยภาษาพิเศษ ไม่มีความห่าง มีแต่ความเข้าใจที่คนอื่นไม่อาจแทรกกลางได้ เขาเผลอยิ้มออกมา แต่ในใจกลับเริ่มรู้สึกอะไรบางอย่างที่เงียบงัน
ขวัญข้าวไม่เหมือนลันตาเลยสักนิด ผิวของเธอขาวอมชมพู ดวงตากลมโตสีอ่อนแบบที่ไม่น่าจะมาจากพันธุกรรมฝั่งแม่คนเดียวได้ เขาเคยเห็นรูปถ่ายของลันตาตอนเด็ก ๆ
ไม่ใช่แบบนี้ไม่ใช่เลย
“หรือเธอจะเหมือนพ่อของเธอ” เขาได้แต่คิดอยู่ในใจ โดยที่ไม่มีคำตอบ และไม่มีสิทธิจะถามในตอนนี้ เพราะผู้หญิงตรงหน้าเขา ยังคงมีแววตาที่พร้อมจะปิดประตูทันที ถ้าเขารุกล้ำเกินไป ลันตาหันมาเจอเขาเผลอมองอยู่ เธอยิ้มบาง ๆ แล้วพูดเรียบ ๆ
“เหนื่อยมั้ยคะ”
“ไม่ครับ…แค่กำลังคิดว่า คุณเป็นแม่ที่เก่งมาก" เธอเงียบไป
แต่รอยยิ้มนั้นเริ่มอ่อนลง
“ฉันไม่ได้เก่งหรอกค่ะ แค่ต้องเป็นให้ได้”
“ไม่มีใครบอกวิธีเลี้ยงลูกไว้ให้ครบหรอก ฉันก็แค่พยายามไม่ร้องไห้ต่อหน้าเธอ แค่นั้นเอง”
...
ปารมีรู้สึกเหมือนมีบางอย่างจุกขึ้นที่คอ ความรู้สึกจากการนั่งอยู่ในห้องประชุมร่วมกับเธอในฐานะ ‘เลขา’ มันห่างไกลมากกับภาพในตอนนี้
หญิงสาวที่คอยเดินตามเขาในบริษัท กับแม่คนหนึ่งที่นั่งเก็บเส้นผมจากแผ่นหลังลูกสาวตอนนั่งเล่น คือคนเดียวกัน
“ขวัญข้าวโชคดีนะครับ ที่มีคุณเป็นแม่” เขาพูดเบา ๆ อย่างตั้งใจ ลันตาหันไปมองลูกสาว เธอยิ้ม แต่มองด้วยสายตาเหงาเล็กน้อย
“บางทีถ้าเธอมีพ่อที่สมบูรณ์กว่านี้ชีวิตอาจจะง่ายกว่านี้ก็ได้นะคะ” ปารมีอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่เลือกจะเงียบไว้แทน
เพราะในใจเขารู้ ว่าแม้ตอนนี้เขาจะอยู่ตรงนี้ แต่ยังไม่ได้รับอนุญาตให้เดินเข้าไปในพื้นที่ลึกกว่านี้ ขวัญข้าวเริ่มหาว มือเล็ก ๆ ดึงชายเสื้อแม่
“หม่ามี้ หนูง่วงแล้ว”
“ไปแปรงฟันนะคะ เดี๋ยวคืนนี้อ่านนิทานเรื่องเจ้าชายน้ำแข็งให้ด้วย” เด็กหญิงพยักหน้า ก่อนจะหันไปมองปารมี
“ป๊ะป๋า วันนี้หนูฝันดีแน่เลย” เธอยิ้มกว้างแล้ววิ่งเข้าห้องนอนไป
ลันตามองตามลูก ก่อนจะลุกขึ้นจัดผ้าห่มตามสัญชาตญาณของแม่ขณะที่ปารมีลุกขึ้นช้า ๆ หยิบสูทขึ้นมาถือไว้ในมือ ปารมีเองขอตัวกลับ ลันตาเดินมาส่งเขาที่ประตู
ไม่มีคำพูดมากมายในค่ำคืนนี้ แต่ก่อนจะจากกัน
เขาหันไปมองเธอ แล้วพูดเบา ๆ
“ถ้าสักวันคุณอยากเล่า ผมก็อยู่ตรงนี้นะครับ” เธอชะงัก
เงียบไปพักหนึ่งแล้วพยักหน้า แต่ในแววตานั้นยังเต็มไปด้วยความระแวดระวัง
ประตูบ้านเล็ก ๆ ปิดลงเบา ๆ ทิ้งให้ปารมีเดินกลับไปที่รถพร้อมกับบางสิ่งที่ไม่ชัดเจนในใจ ไม่ใช่แค่ความสงสัยเรื่องอดีตของเธอ แต่คือความรู้สึกบางอย่างที่ค่อย ๆ ก่อตัวขึ้นระหว่าง ‘เขา’ กับ ‘ครอบครัวที่ไม่สมบูรณ์นี้’
