หลอกมาดูตัว
ค่ำคืนที่เงียบงันรถยนต์สีเข้มแล่นเอื่อยบนถนนที่ผู้คนเริ่มเบาบาง ในใจของปารมี ยังเต็มไปด้วยภาพเล็ก ๆ จากบ้านหลังหนึ่ง รอยยิ้มของเด็กน้อย เสียงกระซิบว่า “ป๊ะป๋า” มือเล็ก ๆ ที่กอดแขนเขาแน่นระหว่างฟังนิทาน
เขาไม่ได้พูดอะไรออกมา แต่ในใจเหมือนกำลังพูดวนกับตัวเองหลายร้อยคำ
“แบบนี้...เรียกว่าครอบครัวได้รึยัง” เขาไม่อยากกลับคอนโดเย็นชานั้นเลยในคืนนี้ อยากจอดรถนอนแถวไหนสักแห่งหรืออาจแค่ขับไปเรื่อย ๆ แต่เสียงเรียกเข้าจากหน้าจอมือถือก็ทำลายความนิ่งนั้นทันที
[คุณหญิงแม่ โทรเข้า…] เขาถอนหายใจทันที ก่อนจะกดรับสายอย่างเสียไม่ได้
“ครับแม่…” เสียงปลายสายหวานเกินจริง แต่น้ำเสียงนั้น เขารู้ดีว่าซ่อนอะไรอยู่
“อยู่ไหนลูกจ๋า ขับรถอยู่เหรอ”
“กำลังจะกลับคอนโดครับ”
“ไม่ต้องกลับแล้ว! มาโรงแรมดารารัตน์เลย ห้องอาหารชั้นสิบห้าแม่อยู่ที่นี่กับเพื่อน แล้วก็...บังเอิญแพรไหมมากับแม่นิดพอดี” ปารมีขมวดคิ้วทันที ชื่อแพรไหมไม่ใช่ชื่อที่เขาอยากได้ยินในเวลานี้
“แม่ครับ ผมเหนื่อยมาก ให้คนรถไปรับกลับแทนได้มั้ย เดี๋ยวผมแวะไปรับแม่พรุ่งนี้เช้า”
“ปารมี" เสียงปลายสายเข้มขึ้นในทันที
“แม่อุตส่าห์ลงทุนแต่งตัวมานั่งให้ลูกเห็นว่าสวยยังไง นี่ยังจะให้คนรถมารับ ถ้าแกไม่มา แม่จะเขียนชื่อออกจากพินัยกรรมทันที"
“แม่…”
“ไม่ได้ขู่นะลูกแต่แม่เอาจริง นี่แม่กำลังช่วยแกนะ ไม่เห็นเหรอว่าชีวิตแกตอนนี้มันเหงาขนาดไหน”
ปารมีหลับตาแน่น ข้างหนึ่งมีบ้านหลังเล็กที่เขาไม่อยากออกมา อีกข้างคือห้องอาหารหรูที่เขาไม่อยากเข้าไปนั่ง แต่สุดท้าย เขาก็ยอมแพ้ให้กับความเป็นลูก และความกลัวคำขู่ที่แม่เอ่ยอย่างจริงจัง
“ครับแม่ ผมจะไป”
“ดีมากค่ะลูกชายคนเดียวของแม่ แม่จะนั่งโต๊ะริมกระจก
สั่งไวน์ไว้แล้วด้วย มานั่งข้างแพรไหมนะคะ”
ติ๊ด— เสียงวางสายที่เหมือนสรุปคำสั่ง ไม่ใช่คำขอร้อง
...
ปารมีวางโทรศัพท์ลงข้างเบรกมือ แล้วเหยียบคันเร่งเบา ๆ ให้รถแล่นกลับทิศ มุ่งตรงไปยังโรงแรมหรู แต่ในใจ เขาไม่รู้เลยว่าควรเรียก “ที่นั่น” ว่าบ้าน หรือแค่เวทีแสดงอีกเวทีหนึ่ง
เขารู้แค่อย่างเดียวคืนนี้ เขากำลังจะเจอกับ “แพรไหม”
และต้องแกล้งลืมเสียงเรียกคำว่า “ป๊ะป๋า” จากเด็กน้อยคนหนึ่ง
ห้องอาหารโรงแรมเสียงดนตรีเปียโนคลอเบา ๆ ใต้แชนเดอเลียร์แก้วระย้าโต๊ะมุมริมกระจกจัดไว้เรียบหรูด้วยผ้าปูโต๊ะสีขาวสะอาด แจกันกล้วยไม้ขนาดเล็กวางอยู่ตรงกลาง โต๊ะถูกจองไว้สำหรับ “สี่ที่นั่ง”
คุณหญิงทิพย์วรรณมารดาของปารมี นั่งอยู่ฝั่งหนึ่งอย่างสง่างาม ข้างเธอคือคุณหญิงนิดเพื่อนสนิทสมัยเรียนอังกฤษ และ แพรไหม ลูกสาววัยยี่สิบแปดที่ถูกบรรจงแต่งตัวด้วยเดรสผ้าซาตินเฉดน้ำเงินเข้ม เน้นความเรียบร้อยและหรูหราในเวลาเดียวกัน
เมื่อปารมีเดินเข้ามาในห้องอาหารทุกคนที่โต๊ะหันไปมองพร้อมกันเขาอยู่ในสูทสีเข้มที่ไม่มีรอยยับเส้นผมถูกเซ็ต อย่างเรียบร้อย แต่แววตานั้นไม่อาจปิดบังความเหนื่อยล้าได้เลย
“อ้าว ปารมีลูก แม่อยู่นี่จ้ะ” เสียงคุณหญิงทิพย์วรรณดังขึ้น พร้อมโบกมือเชิญเบา ๆ ปารมียกมือไหว้อย่างสุภาพ
“สวัสดีครับคุณแม่ สวัสดีครับคุณหญิงนิด และก็คุณแพรไหม” เขาเอ่ยชื่อคนสุดท้ายด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล แต่ยังเว้นช่องว่างที่เหมือนมีระยะ แพรไหมยิ้มรับอย่างมีมารยาท
“สวัสดีค่ะคุณปารมี ยินดีที่ได้เจอกันนะคะ คุณแม่ของคุณเล่าเรื่องคุณให้ฟังไว้เยอะเลยค่ะ”
“ครับ ยินดีที่ได้เจอเช่นกันครับ” เขายิ้มสุภาพ แต่แววตากลับไม่ได้แสดงความสนใจ คุณหญิงนิดหัวเราะเบา ๆ พลางเอ่ยขึ้นอย่างใจดี
“หลานแพรไหมเพิ่งกลับจากสวิสเมื่อกลางปีนี้เองค่ะ ตั้งใจมาช่วยงานที่บ้านเต็มตัว เลยถือโอกาสมาเจอหน้ากันไว้บ้าง
ไม่แน่อาจจะมีโอกาสร่วมทุนหรืออะไรในอนาคตก็ได้” คุณหญิงแม่เสริมทันที
“ใช่ลูก แม่ว่าคนรุ่นใหม่ถ้าได้ทำอะไรด้วยกัน จะเข้าใจกันง่าย
งานก็ขับเคลื่อนดี...ชีวิตก็ไม่ว่างเปล่าไงจ๊ะ” ปารมียิ้มรับไม่ขัดอะไร
“เห็นด้วยครับแม่” เสียงพนักงานเข้ามาเสิร์ฟไวน์และเรียกออเดิร์ฟ ก่อนที่ทุกคนจะนั่งลงและบทสนทนาเบื้องต้นจะเริ่มอย่างเป็นทางการ
แต่ในขณะที่ทุกคำพูดดูสุภาพ เรียบหรู และเต็มไปด้วยวัตถุประสงค์ ในใจของปารมีกลับยังจมอยู่กับเสียงหัวเราะของเด็กผู้หญิงตัวเล็ก ๆ ที่ไม่ได้นั่งอยู่ที่โต๊ะนี้เลย
เขานั่งอยู่ตรงข้าม แพรไหม หญิงสาวผิวพรรณดี ผมตรงยาวสลวยในชุดเดรสสีน้ำเงินเข้ม หน้าตาสวยคม ดูดีตามแบบลูกหลานนักธุรกิจใหญ่ ทุกอย่างในตัวเธอคือโปรไฟล์งามอย่างที่ใครก็ต้องเหลียวมอง ยกเว้นสายตาของเขา ที่มองไปนอกกระจกเสียมากกว่า
“คุณปารมีคะ ทานซุปก่อนมั้ยคะ เดี๋ยวจะเย็นหมดนะคะ” เสียงหวาน ๆ ของแพรไหมพยายามเรียกสติ
“อ้อ...ครับ ขอบคุณครับ” เขาหยิบช้อนขึ้นมา แต่ไม่ได้รู้สึกถึงรสชาติของอะไรเลย
ในหัวเขามีแต่ภาพของมือเล็ก ๆ ที่เคยยื่นไอศกรีมมาให้เขาชิม กับเสียงเล็ก ๆ ที่บอกว่า “ป๊ะป๋ากินก่อนก็ได้นะคะ”
“คุณแม่บอกว่าคุณชอบเล่นกอล์ฟเหรอคะ” แพรไหมถามต่อ พยายามชวนคุย
“ครับ...บ้างนิดหน่อย เวลาว่าง”
“ดีจังเลยค่ะ แพรเองก็พอเล่นได้อยู่บ้าง แต่ที่ชอบจริง ๆ ก็พวกกิจกรรมกลางแจ้ง ชอบวิ่งมาราธอน หรือปีนเขาก็สนุกดีค่ะ ได้เหงื่อ”
“อืม...ครับ" เขายิ้มให้แบบสุภาพ แต่ในใจรู้ว่าเขาไม่มีแรงวิ่งไปไหนเลยตอนนี้
“แล้วปกติคุณปารมีไปเที่ยวกับใครบ้างคะ" น้ำเสียงเจือความสนใจมากขึ้น
“กับเด็กน้อยคนนึงครับ” เขาเผลอพูดถึงลูกสาวลันตา คำตอบนั้นหลุดออกมาโดยไม่ทันคิด แพรไหมเลิกคิ้ว แต่ยังยิ้ม
“หลานสาวเหรอคะ" เขาหลบตาเล็กน้อย คุณหญิงแม่ชะงักการยกไวน์ขึ้นดื่มทันที
“เด็กผู้หญิงน่ารัก ๆ คนนึงครับ ผมเพิ่งรู้ว่าการมีใครให้เล่านิทานให้ฟัง มันอุ่นขนาดไหน” โต๊ะทั้งโต๊ะเงียบไปชั่ววินาที
“คุณหมายถึง...ลูกใครเหรอคะ" แพรไหมยังยิ้ม แต่เริ่มแปลกใจ ปารมีถอนหายใจเบา ๆ ไม่ได้ตั้งใจจะพูดแต่มันออกมาแล้ว
“ลูกของเลขาที่บริษัทครับ เธอชื่อขวัญข้าว อายุสามขวบ
น่ารักมาก เรียกผมว่าป๊ะป๋า” คราวนี้คุณหญิงแม่วางแก้วลงเสียงดัง ถึงจะพยายามเก็บอาการ แต่สายตาเริ่มไม่พอใจอย่างชัดเจน
“ปารมี...” เสียงกดต่ำลอดไรฟันของผู้เป็นแม่ เขาหันมามองท่านอย่างใจเย็น แววตาไม่ได้ท้าทาย แต่ก็ไม่ได้ยอม
“ผมไม่ได้หมายความว่าอะไรครับแม่ แค่พูดถึงเด็กคนนึงที่ทำให้ผมรู้สึกว่าบางที ครอบครัวอาจไม่ต้องใหญ่หรือสมบูรณ์แบบตามสูตร”
แพรไหมอมยิ้มเก้อ ๆ เธอรู้ทันทีว่าเธอถูกเชิญมาผิดเวลา
เพราะคนตรงหน้าเธอใจไม่ได้อยู่ในห้องอาหารนี้เลยแม้แต่นิด
หลังมื้ออาหารบริเวณลานจอดรถ คุณหญิงแม่เดินเร็วออกมาก่อน ปารมีเดินตามมาด้วยสีหน้านิ่ง
“ปารมี! แกอย่าบอกแม่นะ ว่าไปคลุกอยู่กับเด็กผู้หญิงที่ไหน”
“แม่ครับ เธอเป็นผู้หญิงดี ๆ คนหนึ่ง ที่ดูแลลูกสาวคนเดียวด้วยตัวเอง และไม่เคยขออะไรจากผมเลยสักคำ”
“แต่แกพูดถึงเขา...เหมือนจะไปจริงจัง"
“ผมไม่ได้พูดอะไรเลยแม่ ผมแค่รู้สึกว่าคนบางคนแค่ได้อยู่ใกล้ ก็รู้สึกว่าตัวเองเป็นคนที่ดีกว่าเดิม” คุณหญิงแม่เงียบ
สายตาผิดหวังอย่างเห็นได้ชัด
“แม่ให้เวลาแกสองปีนะปารมีอย่าทำให้แม่ต้องผิดหวังซ้ำอีก”
รถของเขาขับออกจากโรงแรมในเวลาต่อมา พร้อมกับเสียงของเด็กน้อยที่ยังลอยอยู่ในหัวว่า
"ปะป๋า...หนูชอบเวลาป๊ะป๋าอยู่ด้วยจังเลย”
และเขาก็เริ่มคิดขึ้นมาแล้วจริง ๆ ว่าบางที ข้อตกลงนั้น อาจไม่ใช่แค่ “ในนาม” อีกต่อไป เสียงเรียกของขวัญข้าวทำให้เขาอยากสร้างครอบครัว
