1 เลขาคนใหม่
ตอนที่ 1
เลขาคนใหม่
แสงอรุณยามเช้าทาบทาอาคารสูงเสียดฟ้าของบริษัทคิรินกรุ๊ป อาณาจักรธุรกิจที่แผ่ขยายอิทธิพลไปทั่วทุกวงการ ตึกระฟ้าแห่งนี้สะท้อนความหรูหราอลังการและบารมีของผู้เป็นเจ้าของ
คิริน วรโชติ ประธานหนุ่มผู้ได้รับฉายาจากสื่อมวลชนว่า ราชาแห่งโลกเย็นชาบุรุษผู้ครอบครองความสำเร็จสูงสุดบนยอดพีระมิดแห่งอำนาจ แต่ไร้ซึ่งร่องรอยของความรู้สึกใด ๆ บนใบหน้าอันหล่อเหลาราวเทพบุตร
เสียงส้นสูงกระทบพื้นหินอ่อนขัดมันดัง “ก๊อก...ก๊อก...ก๊อก” ก้องกังวานไปทั่วโถงต้อนรับอันโอ่อ่าของคิรินกรุ๊ป ทุกสายตาของพนักงานชายหญิงที่กำลังวุ่นวายกับการเริ่มต้นวันใหม่พลันหันขวับจับจ้องไปยังต้นเสียง แววตาของบางคนฉายแววอึ้งทึ่งในความงามที่ไม่คาดคิด ขณะที่บางคนถึงกับต้องกลืนน้ำลายเอื๊อกใหญ่ลงคออย่างไม่รู้ตัว
ร่างเพรียวระหงในชุดสูทกระโปรงสีเบจเข้ารูป รับกับทรวดทรงอรชรอย่างพอดิบพอดี เผยให้เห็นส่วนเว้าส่วนโค้งที่ชวนมอง หญิงสาวก้าวผ่านโถงต้อนรับอย่างสง่างามราวกับนางพญา แม้ใบหน้าหวานคมจะซ่อนอยู่ภายใต้กรอบแว่นสายตาทรงกลมใส แต่ก็มิอาจบดบังผิวพรรณที่เนียนละเอียดราวกลีบซากุระ แก้มทั้งสองข้างระเรื่อสีชมพูอ่อนๆ ราวกลีบกุหลาบแรกแย้ม และเรียวขายาวระหงที่ผุดผ่องไร้ที่ติ ยามก้าวย่างกลับยิ่งเผยความเย้ายวนได้อย่างน่าประหลาดใจโดยไม่ตั้งใจ
“ใครน่ะเลขาคนใหม่เหรอวะ?” เสียงซุบซิบกระซิบกระซาบดังตามหลังมาเป็นระลอก ความสนใจของพนักงานชายแทบทั้งหมดถูกดูดกลืนไปที่เธอ
“แม่เจ้า...โคตรน่ารักเลย!” เสียงชื่นชมปนหยาบคายดังแว่วมาอีกระลอก
หญิงสาวผู้นั้นยังคงก้าวเดินต่อไปอย่างมั่นใจ แม้ภายในอกจะเต้นระรัวจนแทบหลุดออกมานอกซี่โครง ไม่ใช่เพราะความประหม่า แต่เป็นเพราะ ความตื่นเต้นกับบทบาทใหม่ที่กำลังจะเริ่มต้นขึ้น
รินรดา... เด็กสาวบ้าน ๆ จากเมืองเหนืออย่างเชียงใหม่ ที่เพิ่งเรียนจบมาหมาด ๆ ด้วยเกียรตินิยมอันดับหนึ่ง และดันสมัครตำแหน่งเลขาส่วนตัวของประธานบริษัทไปแบบไม่รู้ประสีประสาว่านั่นคือตำแหน่งที่ต้องทำงานกับท่านประธานโดยตรง และเป็นตำแหน่งที่ไม่มีใครสามารถดำรงอยู่ได้นานเกินสามเดือน
“คุณรินรดาใช่ไหมคะ” เสียงนุ่มนวลของหัวหน้าแผนกบุคคลดังขึ้นตรงหน้า ดึงสติของหญิงสาวกลับมาสู่โลกแห่งความเป็นจริง เธอพยักหน้าตอบรับทันควัน แม้ฝ่ามือที่ประสานกันอยู่ด้านหน้าจะเริ่มชื้นเหงื่อเล็กน้อยจากความประหม่าที่ก่อตัวขึ้นอย่างควบคุมไม่ได้
“เชิญไปที่ชั้นบริหารเลยค่ะ ห้องทำงานของท่านประธานอยู่ชั้นนั้น เขารอพบคุณอยู่” หัวหน้าแผนกบุคคลยิ้มอย่างเป็นมิตร แต่รินรดาสัมผัสได้ถึงประกายบางอย่างในดวงตาของเธอ ประกายที่ดูเหมือนจะซ่อนความหมายอะไรบางอย่างเอาไว้
หัวใจของรินรดาเต้นโครมครามดังอื้ออึงในอก
“ชั้นห้าสิบ...” เธอพึมพำกับตัวเองอย่างตกตะลึงทำไมต้องสูงขนาดนั้นด้วยนะ...
ลิฟต์กระจกใสพุ่งทะยานขึ้นสู่เบื้องบนอย่างรวดเร็วราวกับจะฉีกผ่านชั้นบรรยากาศ บรรยากาศภายในลิฟต์ค่อยๆ เปลี่ยนจากเสียงจอแจของพนักงานที่ชั้นล่าง กลายเป็นความเงียบสงบที่น่าประหลาดใจ ทิวทัศน์เบื้องนอกกระจกเผยให้เห็นมหานครกรุงเทพฯ ที่แสนวุ่นวาย เบาบางลงไปเรื่อยๆ จนเหลือเพียงภาพตึกสูงเสียดฟ้าที่เรียงรายกันเป็นทิวแถว แต่ภายในใจของรินรดาในตอนนี้กลับวุ่นวายยิ่งกว่าภาพใดๆ ที่ปรากฏตรงหน้า
ติ๊ง!
เสียงสัญญาณดังขึ้นเบาๆ พร้อมกับประตูลิฟต์ที่เลื่อนเปิดออกอย่างเงียบงันและนุ่มนวล
เมื่อก้าวเท้าเข้าสู่ชั้นบนสุดของตึก รินรดารู้สึกได้ถึงความเงียบสงัดที่ปกคลุมไปทั่วบริเวณ ทุกสิ่งทุกอย่างดูเหมือนจะถูกปกคลุมด้วยม่านแห่งความสงบ แต่กลับแฝงไว้ด้วยแรงกดดันบางอย่างที่ไม่อาจอธิบายเป็นคำพูดได้ โต๊ะทำงานขนาดใหญ่ที่ทำจากไม้เนื้อดีตั้งตระหง่านอยู่กลางห้อง กระจกบานสูงรอบด้านเผยให้เห็นท้องฟ้าใสสว่างไร้ขอบเขตเบื้องนอก
...และ ณ จุดศูนย์กลางของความเงียบงันนั้น
มีผู้ชายคนหนึ่งในชุดสูทสีดำสนิทราวกับเงาของราตรี
ใบหน้าคมคายราวรูปสลัก ที่ดูเหมือนจะถูกหล่อหลอมขึ้นจากน้ำแข็งบริสุทธิ์
เขานั่งนิ่งอยู่หลังโต๊ะทำงานอย่างไร้ความรู้สึก ไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ มีเพียงสายตาคมกริบที่จับจ้องไปยังจอคอมพิวเตอร์เบื้องหน้า
“คุณคือรินรดา?”
เสียงแข็งกระด้างที่แสนราบเรียบปราศจากซึ่งอารมณ์ใดๆ แม้แต่หางเสียงแห่งความเป็นมิตร หรือความอบอุ่นเพียงน้อยนิด มันดึงสติที่ล่องลอยของเธอให้กลับคืนมาสู่ร่างอย่างฉับพลัน รินรดาผงะไปเล็กน้อย ก่อนจะรีบปรับท่าที
“คะ! ใช่ค่ะ ดิฉัน...เป็นเลขาคนใหม่ของคุณค่ะ” เธอรีบยกมือไหว้พลางก้มศีรษะลงเล็กน้อยอย่างเคารพ สายตาของเธอเหลือบมองเห็นแวบหนึ่งว่าเขากำลังจับจ้องมาที่เธอ
ชายหนุ่มเหลือบมองผ่านกรอบแว่นตาเพียงแวบเดียวเท่านั้น ดวงตาคมกริบราวนกเหยี่ยวตวัดสำรวจตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าของเธออย่างพินิจพิเคราะห์แล้ว...เขาก็นิ่งงันไปชั่วขณะ
“เปลี่ยนชุด”
“เอ๊ะ!” รินรดาอุทานออกมาด้วยความไม่เข้าใจ
“ฉันไม่ชอบเลขาที่แต่งตัวเหมือนจะไปประกวดนางงามกลางบริษัท”
คำพูดเย็นชาของเขาทำเอารินรดาหน้าแดงก่ำทันที เธอไม่เคยคิดเลยว่าชุดสูทกระโปรงสีเบจที่เลือกมาอย่างพิถีพิถันวันนี้จะดูยั่วยวนถึงขนาดนั้น...แต่ชุดนี้มันก็พอดีกับรูปร่างเธอแค่นิดเดียวเองนะ...
“แต่นี่เป็นชุดที่เหมาะกับงาน...” เธอลองอธิบาย
เขาขัดขึ้นทันที เสียงเรียบแต่แฝงไว้ด้วยแรงกดดันที่น่าเกรงขาม
“ไม่ต้องเถียง ถ้าอยากทำงานที่นี่ ปรับตัวซะ...หรือไม่ก็ลาออกไปซะตอนนี้เลย”
รินรดาอ้าปากค้าง ก่อนจะกลืนน้ำลายดังเอื๊อก ดวงตาคู่สวยก้มลงมองปลายรองเท้าอย่างเจียมเนื้อเจียมตัว สัมผัสได้ถึงพลังอำนาจที่แผ่ออกมาจากตัวเขาอย่างท่วมท้น เธอไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากพยักหน้าเบาๆ
“ค่ะ...ฉันจะระวังมากกว่านี้”
เขาเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะวางปากกาลงบนแฟ้มที่วางอยู่ตรงหน้าแล้วลุกขึ้นจากเก้าอี้เต็มความสูง ร่างสูงสง่าในชุดสูทสีดำทอดยาวราวกับเงาที่เคลื่อนไหวอย่างเชื่องช้า
หัวใจของหญิงสาวกระตุกเล็กน้อยเมื่อเห็นเขาเดินตรงเข้ามาหา...แต่ไม่ได้พูดอะไรอีก เพียงแต่ยืนอยู่ตรงหน้าเธอ ห่างกันไม่ถึงหนึ่งก้าว ทำให้เธอสัมผัสได้ถึงไอเย็นที่แผ่ออกมาจากร่างสูงนั้น
กลิ่นกายของเขา...หอมเย็นปนความร้อนผ่าว ราวกับน้ำแข็งที่หลอมรวมกับไฟในเวลาเดียวกัน เป็นกลิ่นที่เย้ายวนและชวนให้หลงใหลอย่างประหลาด
เขายื่นมือมาจับที่ปลายแว่นตาของเธอ...แล้วค่อยๆ ดึงมันออกอย่างช้าๆ ราวกับจงใจสร้างความประหม่าให้เธอ ใบหน้าหวานของรินรดาเปิดเผยออกมาอย่างสมบูรณ์ไร้สิ่งบดบัง
“ตัดแว่นมาเพื่ออะไร” เสียงทุ้มต่ำถามขึ้นอีกครั้ง สายตาคมกริบจ้องลึกเข้ามาในดวงตาของเธอ
“เอ่อ...เพื่อให้ดูน่าเชื่อถือขึ้นค่ะ” เธอตอบอย่างตะกุกตะกัก
“งั้นถ้าไม่มีแว่น เธอก็ไม่น่าเชื่อถือสินะ?” เขาเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่งอย่างท้าทาย
“ไม่ค่ะ...ไม่ใช่แบบนั้น...” รินรดาพยายามแก้ตัว แต่คำพูดของเธอกลับติดอยู่ในลำคอ
ชายหนุ่มกระตุกยิ้มบางๆ ที่มุมปาก เป็นรอยยิ้มที่แทบจะมองไม่เห็นแต่กลับทำให้หัวใจของรินรดาเต้นรัว ก่อนจะวางแว่นคืนลงบนโต๊ะทำงานเบื้องหลังอย่างไม่ใส่ใจ
“ต่อไปห้ามใส่...หน้าตาแบบเธอไม่ต้องเสริมอะไรอีก มัน...เสียของ”
รินรดายืนค้างนิ่ง ตัวแข็งทื่อ พูดไม่ออกไปชั่วขณะ คำพูดของเขานั้นทั้งเย็นชาและหยาบคายในคราวเดียวกัน แต่กลับมีพลังบางอย่างที่กระตุ้นหัวใจของเธอให้เต้นผิดจังหวะ และในวินาทีนั้นเอง...เธอรู้
...ว่าชีวิตของเธอกำลังจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป ไม่ว่าจะดีขึ้น หรือแย่ลง...ก็ไม่มีทางเหมือนเดิมอีกแล้ว
