บทที่ 4 คนสำคัญที่บังเอิญได้เจอ (2)
วันนี้หลี่เสวี่ยซินให้คนไปแจ้งหนิงถงไท่และหนิงเข่อเหรินแล้ว นางไม่รอคำอนุญาตแต่อย่างใด ถือว่าบอกแล้วเป็นพอ เพราะหากมัวแต่อิดออด หนิงเข่อเหรินจะต้องให้นางรอไปพร้อมกับฮั่วเหวินหลงแน่
“บรรยากาศสดใสเป็นเช่นนี้นี่เอง” หญิงสาวแหงนหน้าขึ้นพลางสูดกลิ่นอายธรรมชาติเข้าเต็มปอด
หม่าเซียวและหลิวอี้ยิ้มตาม พวกนางคิดว่าเพราะเจ้านายหลับใหลไปนานเลยดูตื่นตาตื่นใจกับต้นไม้ใบหญ้าเป็นธรรมดา
หลิวอี้ “ท่านหญิงอยากแวะตลาดเช้าก่อนหรือไม่เจ้าคะ”
หลี่เสวี่ยซินครุ่นคิด ก่อนตาบอดนางเคยออกมาจับจ่ายที่ตลาดเช้าอยู่บ่อย ๆ หลังจากตาบอดนานเป็นปีหลี่เสวี่ยซินก็ไม่เคยได้สัมผัสบรรยากาศครึกครื้นเช่นนี้อีกเลย
“เอาสิ เหลือเวลาอีกหน่อย ข้าจะได้ซื้อผลไม้ไปสักการะด้วย”
“เจ้าค่ะ”
หลิวอี้จึงออกไปแจ้งสารถีให้แวะเข้าที่ตลาดเช้าก่อน พูดคุยไม่นานก็กลับเข้ามา รถม้าเคลื่อนตัวไปตามรายทางเรียบเรื่อย อีกไม่กี่ลี้ก็จะถึงปลายทาง แต่แล้วอยู่ ๆ เจ้าม้าตัวสูงก็ตะกุยเท้าหน้าด้วยท่าทีตื่นตระหนก รถม้าถูกเทกระจาดไร้การทรงตัว ทำให้หลี่เสวี่ยซินที่นั่งชิดด้านในหลังกระแทกเข้ากับผนังไม้อย่างแรง
“โอ๊ย!”
“ท่านหญิง!” สองสาวใช้ประสานเสียง
หลี่เสวี่ยซินข่มความเจ็บเอาไว้ “ไม่เป็นไร พวกเจ้าไม่ต้องห่วงข้า จับไว้ให้แน่นก็พอ”
“เจ้าค่ะ”
“ท่านหญิงขออภัยด้วยขอรับ เมื่อครู่มีขอทานน้อยวิ่งตัดหน้า ม้าก็เลยตื่นขอรับ” เสียงทุ้มจากสารถีวัยกลางคนตะโกนเข้ามาท่าทีร้อนรน เขาพยายามดึงบังเหียนอย่างสุดกำลังแต่ดูเหมือนเจ้าม้ากำลังพยศอย่างหนัก มันไม่ยอมเชื่อฟังเขาและควบเท้าไปข้างหน้าขาเป็นระวิง
ผู้คนในตลาดเริ่มโกลาหลแตกตื่น บางคนสะดุดล้มหัวร้างข้างแตก บางร้านโดนเทกระจาดจนข้าวของเกลื่อนถนน
“ท่านหญิงเราจะทำอย่างไรดีเจ้าคะ” หลิวอี้หวาดกลัวจนหน้าเปลี่ยนสี
“ไม่เป็นไร พวกเจ้าเกาะให้แน่นก็พอ อย่าปล่อยมือเป็นอันขาด”
“เจ้าค่ะ”
หลี่เสวี่ยซินพยายามคลานไปข้างหน้า
“โอ๊ย!”
ตุบ...
หลี่เสวี่ยซินตาเบิกโพลง ม่านประตูที่ปลิวไปตามกระแสลมทำให้นางเห็นเต็มตาว่าสารถีตกลงไปข้างล่าง ครั้งนี้ไม่อาจพึ่งพาใครได้มีแต่ต้องอาศัยแรงของตัวเอง เสียงกรีดร้องดังประสานกันระงม สัตว์มักหูไวกว่ามนุษย์เป็นทุนเดิม ยิ่งได้ยินเสียงดังมากเท่าใด มันก็ยิ่งตระหนกตื่นมากเท่านั้น
“เกิดเรื่องวุ่นวายอะไรกัน” ชายวัยกลางคนกำลังเลือกซื้อผักอยู่ที่แผงลอยอีกฟากได้ยินเสียงเอ็ดตะโรจึงเอ่ยถาม
คนที่วิ่งกระหืดกระหอบลี้ภัยมาทางนี้ได้ยินเข้าจึงหันมาตอบเขาปนเสียงหอบ “รถม้าจากจวนโหวอาละวาด เห็นว่าด้านในมีท่านหญิงและสาวใช้ด้วย สารถีพลัดตกลงมาแล้ว เกรงว่าพวกนางจะไม่รอด ด้านหน้าเป็นปากเหว ม้าวิ่งไวปานนี้ถ้ามิใช่เทพเซียนก็คงช่วยพวกนางไม่ได้”
เขาได้ยินเช่นนั้นก็ไม่รอช้า ชายวัยกลางคนขว้างข้าวของพะรุงพะรังทิ้ง จากนั้นกระโจนไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว
“เอ๋...หา นั่นจะไปช่วยพวกนางหรือ อันตรายมาก เจ้าจะเอาชีวิตไปทิ้งไม่รู้หรือ”
เขาไม่ฟังเสียงที่ตะโกนเตือนไล่หลัง ขาสูงเพิ่มความเร็วขึ้นอีกหลายส่วน
“ท่านหญิงทำอย่างไรดีเจ้าคะ เราคงต้องกระโดดแล้ว ด้านหน้าเป็นหน้าผา หากอยู่แบบนี้ต่อไปต้องตายแน่เจ้าค่ะ” หม่าเซียวใจเสีย แววตาแดงก่ำด้วยม่านน้ำตา
กระโดดลงไปก็เสี่ยงพิการแขนขาหัก ขั้นหนักสุดคงหัวแตกสมองไหลสิ้นใจแน่ แต่ถ้ายังจับเอาไว้แน่นก็อาจตกลงจากหน้าผาสูง คงเหลือเพียงเส้นทางเดียวคือตายกับตาย
“ไม่เป็นไรนะ เราจะต้องรอดไปด้วยกัน”
หลี่เสวี่ยซินจะไม่ยอมสูญเสียวันพรุ่งนี้ไปเป็นอันขาด เพิ่งได้ออกมาใช้ชีวิตก็ต้องเอามาทิ้งกลางทางอย่างนี้หรือ หากสวรรค์อยากริบชีวิตนางคืนก็ต้องให้นางอนุญาตเสียก่อน อย่าหวังว่าครั้งนี้จะมาเอาไปง่าย ๆ
หญิงสาวย้ายร่างของตนไปจนถึงหน้าประตู ดูทุลักทุเลไปบ้างแต่ก็ถือว่าไม่สูญเปล่า ชีวิตหนก่อนลั่วเทียนเฉินเคยสอนนางขี่ม้ากุมบังเหียน วันนี้หลี่เสวี่ยซินจะของัดวิชาที่ชายหนุ่มเคยสั่งสอนมาใช้แก้ขัดไปก่อน ถึงแม้ยังมีความรู้สึกชิงชังสามีเก่า แต่นางย่อมรู้จักแยกแยะหนักเบา เรื่องชิงชังอันเก่าเก็บขอละวางลงชั่วคราวก็แล้วกัน
มือเรียวคว้าเชือกเส้นหนาเอาไว้ได้ หลี่เสวี่ยซินผ่อนหายใจไปเปลาะหนึ่ง ไม่ทันได้ลองวิชาก็ถูกแย่งบังเหียนไปหน้าตาเฉย
“ข้าเอง!”
หลี่เสวี่ยซินชะงักพลางหน้านิ่วคิ้วขมวด กระทั่งเหลียวมองว่าใครที่ใจกล้ากระโจนเข้ามาในกองเพลิงก็ทำเอาหัวใจของนางแทบหยุดเต้น
“หยุด…”
อยู่ ๆ รถม้าก็หมุนเคว้งจนฝุ่นตลบ หลี่เสวี่ยซินคว้าเสาด้านข้างไว้แน่น กระนั้นหัวของนางก็ยังถูกกระแทกจนแตก กลิ่นโลหิตคาวคลุ้งพร้อมกับของเหลวอุ่น ๆ ที่ไหลลงมาจนเข้าดวงตา หลี่เสวี่ยซินหลับตาแน่น
“เป็นอะไรหรือไม่!” เสียงทุ้มตะโกนถาม
เปลือกตาบางปรือลงเล็กน้อย กระบอกตาร้อนผ่าวจนแดงก่ำ หลี่เสวี่ยซินพยายามตอบด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง “ข้าไม่เป็นไรเจ้าค่ะ”
หลี่เสวี่ยซินพยายามยกเปลือกตาอันหนักอึ้งให้เปิดออก นางอยากมองใบหน้าของคนผู้นี้ให้ชัด ๆ หญิงสาวกะพริบตาเพื่อขับไล่โลหิตออกไป “ท่านพ่อ…”
เสียงร้องของม้าประสานกับลมที่ตีเข้ามา ทำให้ประโยคเมื่อครู่เขาไม่ได้ยิน ทว่าสีหน้าของหลี่เสวี่ยซินทำให้อีกฝ่ายนั้นตกใจ “แม่นางใจแข็งอีกหน่อย”
หลี่เสวี่ยซินพยักหน้าตอบพร้อมรอยยิ้ม
‘ดีเหลือเกิน ข้าได้เจอท่านพ่อเสียที’
เชิงอรรถ
^
"ลี้" เป็นหน่วยวัดความยาวของจีน (1 ลี้ ≈ 500 เมตร)
