บทที่ 3 ท่านหญิงแปลกไป (2)
น่าเสียดายที่ยามนั้นดวงตาของหลี่เสวี่ยซินมองไม่เห็น จึงไม่อาจอ่านจดหมายฉบับนั้นด้วยตาตนเอง หญิงตรงหน้ายอบกายลงแช่มช้า เสียงแหลมกระซิบเบาทว่ากลับเจือไปด้วยความคำพูดเสียดแทงใจ “เขาให้เจ้าเขียนหนังสือหย่าซะ”
จากรอยยิ้มดีใจก็เลือนหายในพริบตา ความเสียใจระคนผิดหวังถาโถมเข้าใส่ดุจดั่งคลื่นลูกใหญ่ซัดสาด “มะ…ไม่มีทาง ท่านพี่ไม่มีทางทำเช่นนั้น”
“จะไม่มีทางได้อย่างไร ท่านพี่เทียนเฉินมีข้าแล้ว ส่วนเจ้าแม้แต่ฐานะสาวใช้ก็ไม่คู่ควร ลงนามในหนังสือหย่าแล้วไสหัวกลับบ้านเดิมของเจ้าไปเสีย อย่ามาเป็นตัวถ่วงของตระกูลลั่ว” หวางเหยาโยนหนังสือหย่าลงตรงหน้าหลี่เสวี่ยซิน
มือเรียวสั่นระริกคว้ากระดาษเนื้อหยาบสะเปะสะปะ “โอ๊ย”
หลี่เสวี่ยซินร้องเสียงหลง เมื่อจู่ ๆ หลังมือของนางก็ถูกพื้นแข็งกระด้างจากรองเท้าบดขยี้ลงมา หวางเหยาหัวเราะเสียงเย็น “นังตาบอด เจ้าไร้ความสามารถเพียงนี้คิดว่าท่านพี่เทียนเฉินจะยังเก็บเจ้าเอาไว้รึ ฝันลม ๆ แล้ง ๆ”
หลี่เสวี่ยซินสับสนจนพูดไม่ออก นางไม่ร้องโวยวายทว่าภายในใจร้าวระบมดุจถูกเข็มนับพันหมื่นเล่มค่อย ๆ ทิ่มแทงลงไป เท้าที่เหยียบลงเมื่อครู่ขยับออก แต่ยังทิ้งร่องรอยความปวดร้าวเอาไว้
“อึ้งอะไรของเจ้า นังตาบอด จะลงนามดี ๆ หรือให้ข้าตัดนิ้วของเจ้าแล้วเอาเลือดประทับ”
หลี่เสวี่ยซินกลืนก้อนที่จุกขึ้นกลางลำคอลงไป หญิงสาวแค่นหัวเราะเสียงกังวาน น้ำสีใสหลั่งลงสองข้างแก้มทว่ากลับไร้ซึ่งเสียงสะอื้น
“ท่านป้า นังตาบอดนี่เสียสติไปแล้วเจ้าค่ะ หัวเราะน่าเกลียดเยี่ยงนี้คงอยากท้าทายท่าน”
ลั่วเหมิงมารดาของลั่วเทียนเฉินยืนมองเหตุการณ์อยู่ไม่ห่าง ทั้งที่สะใภ้ของตนถูกผู้อื่นข่มเหงก็ยังนิ่งฟังไม่ขยับ แต่เดิมนางก็ไม่เคยเห็นด้วยกับการแต่งงานของบุตรชายและลูกสาวนายกองยศต้อยต่ำอยู่แล้ว ในเมื่อลั่วเทียนเฉินพาหวางเหยาเข้าบ้าน แม้ยังอธิบายสถานะของสตรีผู้นี้ไม่ชัดเจน ทว่าก็นับเป็นโอกาสทองที่นางจะได้เฉดหัวลูกสะใภ้ไร้ความสามารถผู้นี้ออกจากจวนตระกูลลั่วเสีย
ลั่วเหมิงเหยียดยิ้ม “ลูกชายของข้าไม่ต้องการเจ้าแล้ว ยังหน้าด้านอยู่ต่ออีกหรือ อ้อ…กินอยู่ตระกูลลั่วสุขสบายจนเคยตัว เลยไม่อยากกลับตระกูลหลี่ที่แม้แต่แผ่นกระเบื้องยังแทบไม่มีคุ้มกะลาหัวรึ”
หลี่เสวี่ยซินขบฟันแน่น กำปั้นทั้งสองระริกสั่น “คิดว่าข้าอาลัยตระกูลเส็งเคร็งของท่านนักหรือ ในเมื่อเขาต้องการหย่า ข้าก็จะลงนามให้ แต่สักวันข้าจะต้องกลับมาทวงคืนทุกสิ่ง ข้าจะต้องรู้ความจริงจากปากของเขาให้ได้”
“ฮ่า ฮ่า ปากดีจริง ๆ เจ้าดูมั่นใจเสียเหลือเกินว่าจะมีโอกาสนั้น” หวางเหยากระซิบเสียงเย็น “หากเจ้าชักเท้าขึ้นมาจากยมโลกได้ ข้าก็ยินดีรับการทวงคืนของเจ้า หึ!”
“ท่านหญิง”
“…”
“ท่านหญิง”
“…”
“ท่านหญิงเจ้าคะ!!” สองสาวใช้ประสานเสียง
หลี่เสวี่ยซินหลุดจากภวังค์ “ว่าอย่างไร เล่าถึงไหนแล้ว”
หลิวอี้เอ่ย “ท่านหญิงเมื่อครู่ท่านนิ่งไปนานมาก บ่าวตกใจแทบแย่ ท่านกลับไปที่เตียงก่อนดีหรือไม่เจ้าคะ ตอนนี้โอสถก็เหมือนจะเย็นชืดไปแล้วด้วย เรื่องเล่าไว้ต่อวันหลังเถิดเจ้าค่ะ”
เมื่อครู่หลี่เสวี่ยซินเผลอนึกไปถึงเรื่องราวแต่กาลก่อน จิตใจจึงหลุดลอยไปไกลลิบ ภาพทุกอย่างที่ปรากฏยังคงชัดเจนราวกับว่ามันเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน
“ได้”
หลี่เสวี่ยซินเพิ่งรู้ตัวทีเดียวว่าตนนั่งแหมะลงบนพื้นเย็นเยียบเป็นนานสองนาน ร่างกายของหนิงเสวี่ยซินบอบบางอ่อนแอกว่ารางเดิมของนางมาก หลี่เสวี่ยซินจึงรู้สึกว่ากำลังถูกความเหน็บหนาวเสียดแทงเข้าไปจนลึกยันกระดูก
“ท่านหญิงตัวเย็นมากเจ้าค่ะ เร็วเข้าเจ้าค่ะเดี๋ยวไม่สบาย” หม่าเซียวตกใจ เร่งคว้าผ้าห่มขึ้นมาคลุมร่างให้คนบนเตียง
ส่วนหลิวอี้ก็ยื่นเตาอุ่นมือส่งให้ หลี่เสวี่ยซินเอื้อมรับ ริมฝีปากสีกุหลาบยกยิ้มจนดวงตาเกิดรูปพระจันทร์เสี้ยว “ขอบใจนะ”
“ท่านหญิง คืนนี้พักก่อนเถิดนะเจ้าคะ ล่วงเข้ายามไฮ่แล้วด้วย ประเดี๋ยวจะป่วยอีก พรุ่งนี้อดไปเที่ยวเล่นกับคุณชายฮั่วนะเจ้าคะ” หลิวอี้เป็นห่วง
หลี่เสวี่ยซินเลิกคิ้ว “เขาบอกหรือไม่จะมายามใด”
“น่าจะยามซื่อนะเจ้าคะ เวลานี้ปกติคุณชายฮั่วจะมาเยี่ยมท่านหญิงเสมอ”
หลี่เสวี่ยซินครุ่นคิด “เช่นนั้นพรุ่งนี้เราตื่นกันเช้าหน่อย ข้าอยากไปไหว้พระแต่เช้า”
“หา…แล้วคุณชาย…”
“ไม่ ข้าไม่อยากพบเขา เอาตามนี้ เราขึ้นเขาไปไหว้พระที่วัดหมิงหลันกัน”
“หา…วัดหมิงหลันหรือเจ้าคะ แต่ที่นั่นแทบไม่มีคนขึ้นไปสักการะแล้ว ถึงมีก็น้อยมาก ๆ เมื่อก่อนท่านหญิงไม่เคยไปที่นั่นเลย เราไปไหว้พระที่วัดเทียนอู่ดีหรือไม่เจ้าคะ” หลิวอี้ทัดทาน
เพราะเส้นทางไปวัดหมิงหลันเต็มไปด้วยก้อนหินดินทราย เกรงว่ากว่าจะไปถึง เส้นผมของพวกนางคงเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำเพราะฝุ่นจับหัว หนำซ้ำวัดแห่งนี้ยังตั้งอยู่ใกล้กับหอระฆังต้องสาปอีกด้วย
“ข้าอยากไปที่นั่น ไม่ต้องมากความ ข้าวก็กินแล้ว โอสถก็ดื่มเรียบร้อย พรุ่งนี้ออกเดินทางยามเฉินก็แล้วกัน”
หลี่เสวี่ยซินสะบัดผ้าห่มคลุมตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าเสียงดังพรึบ
หลิวอี้ยกมือเกาศีรษะ ส่วนหม่าเซียวก็ส่ายหน้าพลางทอดถอนใจ ทั้งสองค่อย ๆ ย้ายร่างออกไปด้านนอกอย่างเงียบเชียบ
หลิวอี้กระซิบเสียงเบา “อาเซียวเจ้ารู้สึกว่าท่านหญิงแปลกไปหรือไม่”
“เจ้าเองก็รู้สึกหรือ”
หลิวอี้พยักหน้าหงึกหงัก
หม่าเซียวขมวดคิ้วแน่น “ข้าว่าเราคงคิดมากไปเอง ท่านหญิงหลับไปเป็นปีก็ต้องนิสัยสับสนบ้าง”
“แต่…ท่านหญิงรู้ได้อย่างไรว่าบนหุบเขามีวัดหมิงหลัน สิบห้าปี รวมปีนี้ก็สิบหกปีแล้ว ท่านหญิงจะไปไหว้พระแค่ที่วัดเทียนอู่เท่านั้น เจ้าลืมไปแล้วรึ”
หม่าเซียวตาโต “จริงด้วย! แล้วเหตุใดอยู่ ๆ ท่านหญิงต้องอยากไปที่นั่นให้ได้”
หลิวอี้ส่ายหน้าสิ้นหวัง “ข้าเองก็ไม่รู้”
เชิงอรรถ
^
ยามไฮ่ ยามไฮ่ (亥时) คือช่วงเวลา 21:00 น. ถึง 23:00 น. ตามการแบ่งเวลาแบบจีนโบราณ ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่เชื่อกันว่าร่างกายควรได้รับการพักผ่อนและอบอุ่น
^
ยามซื่อ" (巳時) เป็นหนึ่งในสิบสองยามของระบบการนับเวลาแบบจีนโบราณ ซึ่งตรงกับช่วงเวลา 9:00 น. ถึง 11:00 น. ในปัจจุบัน. ตามความเชื่อของคนจีนโบราณ ยามซื่อเป็นช่วงเวลาที่งูลอกคราบและออกมาหาอาหาร
^
ยามเฉิน (辰時) ตามระบบการนับเวลาแบบจีนโบราณ คือ ช่วงเวลา 7:00 น. ถึง 9:00 น. ในระบบนี้ 1 ชั่วยามจะเท่ากับ 2 ชั่วโมง
