บท
ตั้งค่า

บทที่ 2 เรื่องบังเอิญที่สุดประหลาด (1)

ปลายยามเว่ยณ จวนหนิงโหว

“ว่าอย่างไรท่านหมอ ลูกสาวของข้าเมื่อครู่ก็ฟื้นขึ้นแล้ว เหตุใดจึงหลับไปอีก”

“ท่านโหวใจเย็นก่อนเถิดขอรับ เมื่อครู่ข้าน้อยลองจับชีพจรท่านหญิงดูแล้ว นี่เป็นอาการอ่อนเพลียเท่านั้น คือผลข้างเคียงจากการที่ร่างกายไม่อาจปรับตัวได้ทันท่วงทีจึงทำให้ท่านหญิงหมดสติอีกครั้ง”

“แล้วถ้าหากนางหลับไปเป็นปีอีกเล่า จะทำอย่างไร”

หนิงโหวหรือหนิงถงไท่สนทนากับหมอสูงวัยหน้าเคร่งเครียด ความกังวลบนใบหน้าไม่คลายลงแม้แต่น้อย กว่าบุตรีเพียงคนเดียวของเขาจะฟื้นคืนสติมิใช่เรื่องง่าย ยังไม่ทันได้พูดคุยสนทนาประสาพ่อลูกนางก็ชิงหลับใหลไปอีกคราเสียอย่างนั้น

“ซินเอ๋อร์ ซินเอ๋อร์เป็นอย่างไรบ้างลูก ท่านพี่ ท่านพี่เจ้าคะซินเอ๋อร์ฟื้นแล้วเจ้าค่ะ” หนิงเข่อเหรินโพล่งเสียงสั่น ทั้งเป็นห่วงทั้งดีใจในเวลาเดียวกัน

หนิงถงไท่ไม่รอช้า เขาปรี่เข้าหาภรรยาและลูกเดี๋ยวนั้น “ซินเอ๋อร์ โล่งอกไปที ในที่สุดลูกพ่อก็ฟื้นแล้ว”

นัยน์ตาดอกท้อกลอกมองบุรุษและสตรีวัยกลางคนสลับไปมา ทั้งใบหน้าและรูปร่างของพวกเขาดูภูมิฐานน่าเกรงขาม กระนั้นแววตาคนทั้งสองล้วนเจือไปด้วยความอาทรห่วงใย หลี่เสวี่ยซินรับรู้ได้ถึงกระแสความอบอุ่นหลั่งไหลผ่านช่วงกลางอก

“ท่านพ่อ ท่านแม่”

หนิงเข่อเหรินโอบกอดลูกสาวไว้แนบอก “ไม่เป็นไรแล้วนะลูก”

ชั่วขณะที่หลี่เสวี่ยซินนั้นหมดสติ นางได้ย้อนกลับไปยังเหตุการณ์หนึ่งซึ่งถูกฝังอยู่ใต้จิตสำนึกของหนิงเสวี่ยซิน ครั้นลืมตาตื่นเรื่องราวเหล่านั้นกลับหลอมละลายกลายเป็นหมอกควัน

หลี่เสวี่ยซินจำเรื่องพวกนั้นไม่ได้ราวกับว่าหนิงเสวี่ยซินพยายามจะลบความทรงจำที่ตรงนี้ออก ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายตั้งใจหลงเหลือเพียงความทรงจำที่สวยงามเอาไว้เท่านั้น และในยามนี้มันได้หลอมรวมเข้ากับความทรงจำเดิมของหลี่เสวี่ยซินโดยสมบูรณ์

ในเวลาเดียวกันหลี่เสวี่ยซินก็ถูกดึงเข้าไปร่วมงานสีดำ ไม่ว่าพยายามพูดคุยอย่างไรก็ไม่มีใครตอบกลับ นั่นเพราะว่าไม่มีใครมองเห็นนางเลย ร่างผอมบางขยับเข้าใกล้โลงไม้ที่แง้มฝาไว้ เคียงข้างกันยังมีแผ่นหลังของชายร่างสูงยืนนิ่งอย่างกับไม่มีจิตวิญญาณ

หลี่เสวี่ยซินถือวิสาสะมองเข้าไปด้านในโลงไม้ใบนั้น ม่านตากลมโตพลันขยายกว้าง ร่างของหญิงสาวหน้าซีดขาวซึ่งนอนเหยียดยาวภายในโลงศพเป็นนางไม่ผิดแน่ ทว่าสิ่งที่ทำให้หลี่เสวี่ยซินตื่นตะลึงยิ่งกว่ามิใช่ร่างไร้ซึ่งลมหายใจของตน แต่กลับเป็นใบหน้าของชายร่างสูงที่กำลังยืนนิ่งดุจหินผาขนาบข้างตัวนางมากกว่า

สีหน้าและแววตาของชายหนุ่มเย็นชาไร้ความรู้สึก กระบอกตาคมเข้มบวมเป่งแดงก่ำอย่างเห็นได้ชัด ราวกับเขาผ่านการร่ำไห้มาแล้วหลายวัน

แน่นอนว่าหลี่เสวี่ยซินรู้จักกับเขา เพราะเขาก็คืออดีตสามีนาง ผู้ที่ซึ่งหยามน้ำใจนางโดยการพาหญิงอื่นเข้าบ้าน เดิมทีเขาควรต้องยิ้มยินดีถึงจะถูกต้องมิใช่หรือ เหตุไฉนชายหนุ่มจึงเอาแต่ปั้นหน้าเสียใจดุจฟ้ากำลังถล่ม

หลี่เสวี่ยซินเลือกเบือนหน้าหนีจากชายร่างสูง ภาพฝันเหล่านี้เรื่องจริงก็ดี หรือปั้นแต่งก็ช่าง นางจะขอเดินต่อไปข้างหน้าโดยไร้พันธะ ไร้ความเจ็บปวด อดีตที่เคยสร้างร่วมกันมาขอให้มันจบลงเพียงภพชาตินี้

หลี่เสวี่ยซินสะบั้นด้ายแดงเส้นสุดท้ายทิ้ง นางเดินต่อไปเชื่องช้าโดยไร้จุดหมาย หลี่เสวี่ยซินผู้อ่อนแอได้ตายไปแล้ว ในยามนี้สถานะของนางก็คือท่านหญิงผู้สูงสง่า เป็นบุตรีที่หนิงโหวรักถนอม นับจากนี้ไปผู้ใดก็อย่าหมายรังแกนางโดยง่ายดายอีก ถ้าเผยหางออกมาเมื่อใด หลี่เสวี่ยซินสัญญาจะใช้ความสูงส่งเหยียบหน้าพวกคนหยาบช้าให้ต่ำต้อยยิ่งกว่าเศษธุลี

“ซินเอ๋อร์”

“…”

“ซินเอ๋อร์”

“…”

“ซินเอ๋อร์”

หลี่เสวี่ยซินหลุดจากภวังค์ ริมฝีปากซีดขาวขยับยกเป็นรอยยิ้ม “ท่านแม่ ท่านพ่อ ลูกดีขึ้นมากแล้วเจ้าค่ะ ตอนนี้แค่รู้สึกอ่อนเพลียเท่านั้น”

หนิงถงไท่ถอนหายใจโล่งอก “ดี เช่นนั้นเจ้าก็อย่าทำพวกเราตกใจอีก หมอเร็วเข้าตรวจอาการลูกข้าอีกครั้ง หนนี้ต้องเอาให้ละเอียด ต้องจัดยาบำรุงที่ดีที่สุดให้นางด้วย”

“ขอรับ”

ความรักและความพรั่งพร้อมของคนในครอบครัวสกุลหนิงมีมากจนล้น ความผูกพันหลอมรวมเข้ากับจิตวิญญาณของหลี่เสวี่ยซินไปโดยสมบูรณ์ นางกลายเป็นหนิงเสวี่ยซินแล้วจริง ๆ หนำซ้ำความทรงจำเดิมของตนก็มิได้เลือนหาย

‘นี่คงเป็นความรู้สึกของนางที่มีต่อบุพการี แล้วเหตุใดหนิงเสวี่ยซินผู้นี้จึงยกสถานะและร่างกายให้กับข้า เกิดอะไรขึ้นกับนางกันแน่’

หลี่เสวี่ยซินใคร่ครวญจนท้อ นางไม่อาจเข้าใจเจตนาแท้จริงของหนิงเสวี่ยซินได้เลย ในโลกใบนี้จะมีผู้ใดยอมละทิ้งชีวิตสวยหรูไปได้ นั่นมันเรื่องตลกร้ายชัด ๆ

‘นางคงมิได้โยนเผือกร้อนเพื่อหลอกให้ข้ามาตามสะสางต่อกระมัง’ หลี่เสวี่ยซินนึกได้เช่นนั้นก็ขนลุกเกรียว

“ซินเอ๋อร์เป็นอะไรไปลูก” หนิงเข่อเหรินเอ่ยด้วยความห่วงใย

“เปล่าเจ้าค่ะ ลูกอยากพักอีกหน่อยจะได้หรือไม่”

“ได้สิ เช่นนั้นก็พักให้มาก ๆ แล้วอย่าลืมไปสูดอากาศข้างนอกบ้าง”

“เจ้าค่ะ” หลี่เสวี่ยซินยิ้มไปจนถึงดวงตา

เรื่องราวและบรรยากาศโดยรอบดั่งถูกจารึกเอาไว้ในโซนสมอง หลี่เสวี่ยซินไม่ได้อึดอัด ตรงกันข้ามนางกลับเห็นพวกเขาประหนึ่งครอบครัวที่แท้จริง

“โอ๊ะ!” หนิงเสวี่ยซินขมวดคิ้วแน่นพลางยกมือกุมอกซ้าย

‘เกิดอะไรขึ้น!?’

เชิงอรรถ

ยามเว่ย" (未时) ในการนับเวลาแบบจีนโบราณ หมายถึง ช่วงเวลา 13:00 น. ถึง 14:59 น. หรือก็คือช่วงบ่ายสองโมงถึงบ่ายสามโมงของเวลาปัจจุบัน

"เผือกร้อน" มาจากสำนวนภาษาอังกฤษ "hot potato" ซึ่งมีความหมายเดียวกัน คือ ปัญหาหรือสถานการณ์ที่ยุ่งยากและไม่มีใครอยากรับผิดชอบ

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel