บท
ตั้งค่า

บทที่ 1 ข้าตายไปนานเพียงนี้

ท่ามกลางความอนธการม่านหมอกสีขาวลอยฟุ้งเหนือบรรยากาศ ไม่นานก็เริ่มเลือนรางและก็จางหาย มือเรียวเที่ยวควานไปทั่วทว่ากลับพบเพียงความว่างเปล่า

“นี่คือที่ใด?”

ท่อนขาผอมเพรียวขยับเดินไปข้างหน้า หญิงสาวยกมือทั้งสองขึ้นมาสำรวจพลางขมวดคิ้วฉงน “นี่ข้า...มองเห็นแล้วหรือ?”

“หนิงเสวี่ยซิน”

เสียงใสกังวานก้อง ใบหน้างามแหงนเงยขึ้นพลางกวาดสายตาสำรวจโดยรอบ

“เจ้ากำลังเรียกข้าหรือ ไฉนข้าจึงเห็นแต่เพียงหมอกขาว”

เสียงใสหัวเราะแว่วมาตามสายลม “ใช่ข้าเรียกเจ้า เจ้าก็คือ... หนิงเสวี่ยซิน”

“ข้าหรือ? ข้ามิใช่หนิงเสวี่ยซิน ข้าคือ หลี่เสวี่ยซิน เจ้าจำคนผิดแล้ว ชื่ออาจจะคล้ายแต่สกุลของข้าคือหลี่มิใช่หนิง”

“ไม่ผิด เป็นเจ้า เจ้าก็คือหนิงเสวี่ยซิน”

หลี่เสวี่ยซินขมวดคิ้วแน่น นางไม่เข้าใจว่าผู้มาเยือนต้องการสิ่งใด ไฉนต้องยัดเยียดให้นางเป็นหนิงเสวี่ยซินผู้นั้นให้ได้ หนำซ้ำอีกฝ่ายยังเล่นละครปาหี่ด้วยการทำตัวดุจเทพมังกรเห็นหัวไม่เห็นหาง

“เจ้าเอาแต่พูดเพ้อเจ้ออยู่ฝ่ายเดียว เหตุใดจึงไม่ปรากฏกาย”

สิ้นประโยคสตรีร่างระหงพลันสาวเท้าออกมาด้วยรอยยิ้มละไม ใบหน้าของนางจิ้มลิ้มพริ้มเพราแตกต่างจากหลี่เสวี่ยซินที่ยามนี้ทั้งดูสกปรกมอมแมมกระทั่งเรียกได้ว่าอยู่ในสภาพคนก็ไม่ใช่ผีก็ไม่เชิง

“เจ้าเป็นใคร?”

หญิงสาวส่งยิ้มตอบด้วยแววตาหวานละมุน “ข้าก็คือเจ้า เจ้าก็คือข้า นับจากนี้เจ้าก็คือ หนิงเสวี่ยซิน”

“หา…นี่เจ้าพูดเรื่องอะไร” หญิงสาวตรงหน้าต้องเลอะเลือนเป็นแน่ ดูท่าจะไม่ยอมเลิกรายัดเยียดตัวตนของหนิงเสวี่ยซินมาให้นาง “สภาพของเจ้ากับข้าต่างกันดุจฟ้ากับเหว อีกอย่างเราจะเป็นคนคนเดียวกันได้อย่างไร”

ฝ่ามือเนียนละเอียดเอื้อมคว้ามือหยาบระคายซึ่งเต็มไปด้วยผดผื่นสีแดงก่ำขึ้นมาอย่างไม่นึกรังเกียจ หลี่เสวี่ยซินตัวแข็งทื่อเมื่อสัมผัสถูกปลายนิ้วอีกฝ่าย มันเย็นยะเยือกราวกับศิลาน้ำแข็ง หลี่เสวี่ยซินหวังชักมือกลับทว่าอีกฝ่ายแข็งขืนไม่ยอมปล่อย ริมฝีปากซีดขาวเผยอออกเล็กน้อยไม่ทันเอ่ยเพื่อคลายความแคลงใจ อยู่ ๆ ก็มีแสงเจิดจ้าทอประกายพุ่งปะทะเข้าดวงตาจนต้องปิดสนิท สติที่ยังหลงเหลือเพียงเสี้ยวพลันดับวูบลงไม่ทันตั้งตัว

“อาอี้ อาอี้ เจ้าดูนี่สิท่านหญิงขยับตัวแล้ว” เสียงเล็กเปล่งออกมาด้วยท่าทีดีใจระคนตื่นเต้น

ใบหน้าของผู้ถูกเรียกมิได้เปลี่ยนสี ซ้ำยังง่วนเก็บภาชนะน้ำสะอาดที่ถูกใช้แล้วต่อไปด้วยความชินชา “อาเซียวเจ้าเพ้อเจ้อเช่นนี้ทุกวันข้าก็มิเห็นว่าท่านหญิงจะฟื้นเสียที เลิกหลอกให้ข้าดีใจเก้อจะได้หรือไม่”

“แค่ก แค่ก น้ำ…”

มือที่หยิบโน้นจับนี่ชะงัก หลิวอี้หมุนร่างกลับหลังด้วยใจไหวระทึก ส่วนหม่าเซียวทั้งตื่นเต้นและก็ตกใจจนลำคอตีบ

“คอแห้งจัง” เสียงแหบแห้งยังดังต่อไป

แปะ แปะ

หลิวอี้ตบหน้าตนเองเพื่อเรียกสติ “โอ๊ย! เจ็บ ข้าไม่ได้ฝันหรือนี่” หญิงสาววางมือจากงานตรงหน้าแล้วถลาเข้าเกาะขอบเตียง “ท่านหญิง! ฮื่อ…สวรรค์ ท่านหญิงฟื้นแล้ว”

เสียงร้องไห้โฮของหลิวอี้ทำให้หม่าเซียวหลุดจากภวังค์ หม่าเซียวสลัดศีรษะจนเส้นผมแตกกระเจิง ครั้นแน่ใจว่าหนนี้ตนมิได้ตาฝาดก็ปรี่เข้ามานั่งแหมะคร่ำครวญอีกคน “ท่านหญิงฟื้นแล้วจริง ๆ ฮื่อ...ขะ...ข้าบอกเจ้าแล้วว่าไม่ได้ตาฝาด คราวนี้เจ้าเชื่อข้าแล้วหรือยัง”

หลิวอี้พยักหน้าระรัว “อือ อือ”

หลี่เสวี่ยซินไม่รู้ว่าหญิงสาวทั้งสองคนที่เอาแต่ร่ำไห้ดุจสูญเสียญาติมิตรนั้นเป็นผู้ใด สังเกตจากรูปร่างและใบหน้าของพวกนางแล้วยังเด็กทั้งคู่ แต่ยามนี้หลี่เสวี่ยซินรู้สึกคอแห้งผากจนมิอาจไต่ถามอะไรมากไปกว่านี้ นางจึงร้องขอในสิ่งที่ต้องการอีกหน

“น้ำ…”

สองสาวใช้ได้สติ “ตายจริง อาเซียวเร็วเข้า น้ำ น้ำ ท่านหญิงอยากกินน้ำ”

หม่าเซียวกุลีกุจอหยิบป้านชาข้างหัวเตียงขึ้นมาทันควัน จากนั้นรินชาสีอำพันลงในถ้วยกระเบื้องเคลือบก่อนยื่นส่งต่อให้กับหลิวอี้

“ท่านหญิงน้ำเจ้าค่ะ”

‘ท่านหญิงรึ พวกนางกำลังเรียกข้าใช่หรือไม่’

หลี่เสวี่ยซินโยนความคลางแคลงทิ้งก่อนชั่วคราว จากนั้นพยายามควบคุมแขนทั้งสอง นางมิอาจรับชาตรงหน้าขึ้นมาดื่มได้ กำลังวังชาหดหายไปหมด

“ท่านหญิงเพิ่งฟื้นคงยังไม่มีแรง เดี๋ยวบ่าวช่วยป้อนนะเจ้าคะ”

หลี่เสวี่ยซินพยักหน้า สองสาวใช้รุดเข้ามาประคองร่างบอบบางให้นั่งถนัดถนี่ หลิวอี้ส่งถ้วยชาป้อนเข้าปากหญิงสาวด้วยความระมัดระวัง

หม่าเซียวมองภาพตรงหน้าน้ำตารื้นปริ่ม “อาอี้ เช่นนั้นข้าไปตามฮูหยินกับท่านโหวก่อนนะ”

“ได้ เจ้ารีบไปเถิด”

หลี่เสวี่ยซินมองตามแผ่นหลังเล็กจนลับสายตา จากนั้นจึงย้ายกลับมาจ้องหลิวอี้ต่อ “พวกเจ้าเป็นใคร แล้วที่นี่คือที่ไหนหรือ”

คำถามแรกของหลี่เสวี่ยซินทำเอาหลิวอี้ตะลึงงันตัวแข็ง “ทะ…ท่านหญิง นี่ท่านความจำเสื่อมหรือเจ้าคะ ฮื่อ ตายแล้ว ตายแล้ว ทำอย่างไรดี ท่านหญิงจำสิ่งใดไม่ได้เลย”

คิ้วสวยเคลื่อนเข้าหากันแทบผูกเป็นปม หลี่เสวี่ยซินควานหาความทรงจำในโซนสมอง แต่แล้วก็ต้องตกใจจนหน้าเปลี่ยนสี เมื่อหางตาของนางเผลอไปเห็นเงาสะท้อนบนคันฉ่องบานใหญ่ หญิงสาวหันขวับตามสัญชาตญาณ “นั่นข้าหรือ จริงสิ ดวงตาข้า…ดวงตาของข้ามองเห็นแล้ว”

หลี่เสวี่ยซินเอียงหน้าซ้ายขวาประหนึ่งคนเสียสติ ไม่ว่านางจะเอนตัวไปทางใดเงาหญิงสาวที่สะท้อนบนกระจกบานนั้นก็ทำท่าเช่นนางไม่มีผิดเพี้ยน “นาง! นี่ข้าเข้ามาอยู่ในร่างของนางอย่างนั้นหรือ!?”

หลิวอี้กลืนไม่เข้าคายไม่ออก นางจ้องท่าทางแปลกประหลาดของผู้เป็นนายด้วยแววตาสุดฉงน “ท่านหญิง ท่านเป็นอะไรไปเจ้าคะ หรือว่าท่านหลับไปนานก็เลย ฮึก…เลยจำอะไรไม่ได้แล้วหรือเจ้าคะ ฮื่อ...”

หลี่เสวี่ยซินได้สติเมื่อได้ยินเสียงคร่ำครวญของหลิวอี้ นางลังเลพักหนึ่งมือที่ไร้เรี่ยวแรงก็เกิดขยับ หญิงสาววางมือลงบนบ่าอีกฝ่ายพลางตบเปาะแปะเพื่อปลอบประโลมให้ใจสงบ “ไม่ต้องร้อง เช่นนั้นข้าขอถามอะไรหน่อยได้หรือไม่”

หลิวอี้กลืนก้อนสะอื้นลงคอพลางยกมือเช็ดคราบน้ำตาของตนลวก ๆ “ได้แน่นอนเจ้าค่ะ ท่านหญิงอยากทราบเรื่องใดหรือเจ้าคะ”

“คือว่า…ข้าคงมิได้ชื่อว่า หนิงเสวี่ยซินกระมัง”

หลิวอี้ได้ยินเช่นนั้นก็ยิ้มทั้งน้ำตา ราวกับว่าแสงสว่างได้ผุดขึ้นมาที่ตรงหน้า หญิงสาวพยักหน้าจนผมแตกกระเจิง “เจ้าค่ะ ท่านหญิงนามว่าหนิงเสวี่ยซิน บุตรสาวเพียงคนเดียวของหนิงโหว”

หลี่เสวี่ยซินตกใจจนจิตแทบหลุด มือเรียวลอบหยิกตัวเองไปหนึ่งครั้ง ใบหน้าของนางถึงกับบิดเบี้ยว หนิงเสวี่ยซินที่ว่าไม่ใช่ชื่อที่นางเพิ่งถูกยัดเยียดจากในความฝันหรอกหรือ รูปร่างและใบหน้าที่เผยอยู่ตำตาบ่งบอกชัดเจนว่าคนที่เรียกนางในความฝันนั้นก็คือหนิงเสวี่ยซินเจ้าของร่างนี้ไม่ผิดแน่

แล้วหนิงเสวี่ยซินตัวจริงไปอยู่ที่ใด?

หลี่เสวี่ยซินเก็บสีหน้ากลับ เพื่อจะล้วงข้อมูลให้มากที่สุดนางจำต้องผลักเรือตามน้ำ “แล้วนี่เกิดอะไรขึ้นกับข้าหรือ”

หลิวอี้เบะปาก น้ำตาของนางทำท่าจะเอ่อออกมาอีกหน หลี่เสวี่ยซินเห็นบรรยากาศไม่สู้ดีจึงคลี่ยิ้มหวานเพื่อใช้ปลอบขวัญให้แก่อีกฝ่าย มิเช่นนั้นวันนี้ทั้งวันก็คงพูดกันไม่รู้ความ “อาอี้เจ้าไม่ต้องร้องนะ ไม่ต้องร้อง ข้าก็แค่หลับนานเสียหน่อยความทรงจำเลยเลือนรางไปบ้าง”

หลิวอี้ตาโตเมื่อได้ยินหลี่เสวี่ยซินนั้นเรียกชื่อตน ม่านน้ำตาวาวระยับถูกปาดทิ้งทันควัน สีหน้าพลิกกลับเป็นยิ้มจนตาปิด “จริงหรือเจ้าคะ”

หลี่เสวี่ยซินขบขัน “ข้าต้องจำได้อยู่แล้ว เช่นนั้นเจ้าช่วยบอกข้าได้หรือยังว่าเกิดอะไรขึ้นกับข้า”

หลิวอี้พยักหน้ารัวเร็ว “เจ้าค่ะ” จากนั้นนางก็เริ่มเล่าเรื่องราวตั้งแต่ต้น

ไม่แปลกใจที่หลี่เสวี่ยซินถูกเรียกว่าท่านหญิง เพราะสถานะเจ้าของร่างนี้ก็คือบุตรีหัวแก้วหัวแหวนเพียงคนเดียวแห่งจวนหนิงโหว แม้แต่ฝ่าบาทก็ยังต้องเกรงใจ หนิงเสวี่ยซินนางเป็นคนร่างกายอ่อนแอ อยู่มาวันหนึ่งได้ป่วยกะทันหันจนทำให้หลับใหลเป็นเวลานาน

“หนึ่งปี! นี่นาง ไม่สิ นี่ข้าหลับไปหนึ่งปีเต็ม ๆ เลยรึ”

หลิวอี้สลด “เจ้าค่ะ ครบหนึ่งปีแล้วเจ้าค่ะ”

“ว่าแต่นี่รัชศกที่เท่าใดหรือ”

“รัชศกหย่งหนิงปีที่สี่สิบสี่เจ้าค่ะ”

หลี่เสวี่ยซินตัวแข็งค้างประหนึ่งดินปั้นไม้แกะสลัก ประกายบางอย่างฉายวาบเข้าสู่ดวงตา ความทรงจำเจ้าของร่างกำลังหลั่งไหลเข้ามาดุจสายน้ำหลาก

“โอ๊ย! ปวดหัว ปวดหัวจัง”

หลิวอี้ตระหนกตื่น ถลาเข้ารับร่างบอบบางที่เอาแต่ทุบศีรษะของตนราวกับจะทำให้กะโหลกนั้นแหลกละเอียด “ท่านหญิงเป็นอะไรไปเจ้าคะ”

หลี่เสวี่ยซินปวดสมองเจียนจะระเบิด ใบหน้าของนางขาวซีดลงอีกครั้ง “ข้า…นี่ตัวข้าตายไปนานเพียงนี้เชียวหรือ”

ผลัวะ

ประตูบานหนาถูกผลักออก บุรุษหน้าวสันต์ร่างสูงโปร่งสาวเท้าเข้ามาพร้อมสีหน้าเป็นกังวล “ซินซินเจ้าฟื้นแล้วหรือ”

ร่างสูงหย่อนกายขนาบข้างหญิงสาว “นางเป็นอะไร?”

หลิวอี้ตาแดงก่ำ “อยู่ดี ๆ ท่านหญิงก็ปวดหัวเจ้าค่ะ”

หลี่เสวี่ยซินผลักอกกว้างออกห่างด้วยสัญชาตญาณ ชายหนุ่มชะงัก “เจ้าเป็นอะไร จำพี่ไม่ได้แล้วหรือ”

หลิวอี้หน้าถอดสี “คุณชายฮั่ว อย่าถือสาท่านหญิงเลยนะเจ้าคะ ดูเหมือนท่านหญิงอาจความจำเสื่อมเจ้าค่ะ”

“ความจำเสื่อมรึ?” เขาหันมองหลี่เสวี่ยซินอีกครั้ง คิ้วเข้มเลิกขึ้นหนึ่งฝั่ง “ซินซิน เจ้าจำพี่ไม่ได้แล้วหรือ”

หลี่เสวี่ยซินสลัดศีรษะเพื่อขับไล่ภาพซ้อนตรงหน้า เปลือกตาบางหรี่ลงจนแคบ “ฮั่ว...เหวิน...หลง ท่านเองหรือ”

เชิงอรรถ

^

อนธการ หมายถึง ความมืด, ความมัว, ความมืดมิด, ความเขลา, หรือเวลาค่ำ

^

เทพมังกรเห็นหัวไม่เห็นหาง  การกระทำที่ไม่แน่นอน ไม่สามารถคาดเดาได้ เหมือนมังกรที่โผล่มาให้เห็นแค่หัว แต่หางหายไป ทำให้ไม่สามารถรู้ได้ว่ามันจะไปทางไหน

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel