ตอนที่ 4
“แต่คุณฝนก็พูดตั้งแต่แรกแล้วนะ ว่าคนอยู่บ้านนี้ต้องช่วยกัน อะไรพอจะแบ่งเบากันได้ก็ต้องทำ ขนาดคุณฝนทำงานนอกบ้าน เสาร์อาทิตย์เธอยังทำความสะอาดห้อง ทำเตียงเองเลย ไม่นับที่เลี้ยงคุณหนูทั้งวันเพื่อให้ฉันได้มีเวลาพักอีกนะ”
“คนมันต่างกันแกเอ๊ย คนบางคนเกิดมาก็ดีแสนดี... ดีเพราะชาติกำเนิด ดีเพราะการอบรมบ่มนิสัยของพ่อแม่ที่ไม่ปล่อยปละละเลยลูก บางคนยิ่งกว่านั้น คือเกิดมาดีเอง ดีในเนื้อในหนัง คนชนิดหลังนี้ต่อให้ไปเกิดกลางสลัมก็ยังเป็นคนดีอยู่นั่นเอง เหมือนทองแหละแก ไปตกที่ไหนทองก็ยังเป็นทองไม่มีทางเป็นอื่นไปได้”
จันทร์ดี ซึ่งอยู่ในวัยสาวใหญ่พอสมควร พยักหน้าหงึกอย่างเห็นด้วยกับคำพูดของนางอุ่น แล้วก็เลยพยายามทำใจเกี่ยวกับสองแม่ลูก แม้บางครั้งก็เกือบจะทำใจไม่ไหวเหมือนกัน
ยิ่งถ้าได้ยินแม่ลูกคุยกันในวันหนึ่ง ขณะอยู่ในห้องหับส่วนตัวประตูหน้าต่างปิดมิดชิด บ่าวผู้ผูกหัวใจไว้กับครอบครัวนายต่างวัยทั้งสอง คงจะยิ่งไม่สบายใจหนัก
แต่เพราะไม่ได้ยิน จึงไม่รู้ว่าแม่ลูก โดยเฉพาะคนลูก กำลังคิดแผนการอันแยบยล โดยไม่ได้นึกถึงความมีน้ำใจเอื้ออารีของเจ้าของบ้านฝ่ายหญิงผู้เป็นญาติของตนแม้แต่น้อย
“คุณหมอหล่อจังเลยนะแม่” ผู้เป็นลูกพูดขึ้นก่อน นัยน์ตาวาววับ
“คนอะไรก็ไม่รู้ หล่อไม่มีที่ติ เป็นผัวฉันหน่อยละไม่ได้จะนั่งมองนอนมองให้ฉ่ำใจ”
คนเป็นแม่จุปาก ถึงจะเอ็ดเสียงเขียว แต่แววตาไหววูบ
“แกละก็ พูดอะไรออกมาระวังปากไว้หน่อยก็ดี”
“กลัวอะไรล่ะแม่ เราพูดกันในห้องใครมันจะมาได้ยิน”
“ที่เตือนเพราะกลัวจะเคยตัว เที่ยวได้พูดไป เกิดเข้าหูยายฝน ทั้งแกทั้งฉันจะไม่มีแม้แต่หลังคาคุ้มฝน”
“เชอะ! ยายหลานผู้ดีของแม่น่ะ บอกตรงๆ ไม่คณามือฉันหรอก ปั่นหัวเข้าหน่อยคงอกแตกตาย”
“เออ เก่งนักละเอ็งน่ะ แต่ทำไมน๊า เก่งขนาดนี้ถึงได้ถูกไอ้เสี่ยแก่หนังเหี่ยวนั่นเขี่ยทิ้งได้ก็ไม่รู้ แถมไม่ได้อะไรเป็นชิ้นเป็นอันติดมือมาสักอย่างนอกจากเสื้อผ้ากับข้าวของไร้สาระ”
ลูกสาวค้อนแม่ขวับเพราะถูกจี้ใจดำ แต่เรื่องจะยอมรับความพ่ายแพ้ง่ายๆ คงไม่ใช่หล่อน
“คนเรามันก็ต้องมีพลาดกันมั่งสิแม่ก็ แต่รับรองได้ ถ้าคิดจะเอาตัวเข้าเสี่ยงเพื่อให้ได้สิ่งที่ต้องการอีกครั้ง คนอย่างรมณีย์คนนี้จะต้องพบกับความสำเร็จแน่นอน ที่ผ่านมาถือว่าเป็นบทเรียน”
อุไรทำหน้าครุ่นคิดก่อนจะถามเสียงไม่แน่ใจ
“แปลว่าแกคิดจะจับคุณหมอบ้านนี้อย่างนั้นรหรือวะ”
“ก็คุณหมอน่าจับจะตาย เกิดมาก็ยังไม่เคยเห็นหมอที่ไหนรูปหล่อแถมเซ็กซี่ขนาดนี้มาก่อน เคยเจอแต่ประเภทไม่ตัวกลมๆ ลงพุง ก็ผอมสูงแถมตาตี่ ผิวขาวเผือดราวกับปลาตาย เพิ่งเห็นคุณหมอกุลพงษ์คนนี้แหละ หน้าเข้มตาคมแถมหุ่นยังกับนายแบบกางเกงในของเมืองนอน”
“แกละก็ว่าเข้านั่น!”
สุ้มเสียงคนเป็นแม่ฟังว่าทั้งขันทั้งขวาง แต่ไม่มีเลยแววตำหนิติเตียน
“ก็มันจริงนี่แม่ บอกตามตรง ฉันละอิจฉายายพี่ฝนที่มีผัวรูปหล่อมาดเท่นอนกกทุกคืน อยากรู้จริงจริ๊ง บทรักของหมอจะดีเหมือนรูปร่างหน้าตาหรือเปล้าน๊า”
“พอ! พอเลยแก ยิ่งพูดยิ่งเพ้อเจ้อไปใหญ่”
“แปลว่าแม่ไม่เห็นด้วย?”
“ก็...ฉันอดสงสารยายฝนไม่ได้ ถ้าแกทำได้อย่างปากพูด”
“อ้อ! สงสารหลานสาว แต่ไม่เห็นใจลูก!”
อุไรพูดไม่ออก ก็ใครเลยจะไม่รักลูก ไม่อยากให้ลูกได้ดีมีความสุข ถึงว่าลูกจะไม่เคยทำให้แม่สมหวังแม้แต่เรื่องเดียว กระทั่งเรื่องเรียน ก็ยังแทบจะเอาตัวไม่รอด ยังไม่นับเรื่องผู้ชายที่ลูกสาวของเธอน่าจะช่ำชองกว่าเธอเป็นหลายเท่า ทั้งที่วัยก็เพิ่งจะยี่สิบต้น และยังไม่ผ่านการแต่งงานแม้สักครั้งเดียว
จะโทษอะไรได้ นอกจากสภาพสิ่งแวดล้อม ถ้าลูกของเธอมีพ่อดี พ่อรวย อย่างพิรุณพร ลูกสาวคนเดียวของญาติผู้พี่ของเธอ รมณีย์ก็คงประสบความสำเร็จในชีวิต ไม่ใช่มีชีวิตลุ่มๆ ดอนๆ เปลี่ยนผู้ชายราวกับเปลี่ยนผ้าอนามัยตั้งแต่เริ่มสาว
ไอ้พ่อผีพนันเข้าสิงที่ตายโหงตายห่าไปเสียได้นั่นเชียว ทำให้ชีวิตลูกกับเธอเป็นเช่นนี้ ถ้าเธอไม่หลงรูปหล่อของมัน หลงคำป้อยอหวานหูเอาอกเอาใจ จนลืมที่จะมองตัวตนให้เห็นถึงสันดานแท้ๆของมัน ก็คงไม่ต้องมาตกระกำลำบาก
“ถามจริง แม่ว่าฉันสวยมั้ย”
อุไรมองลูกสาวที่ลุกขึ้นโพสต์ท่าเลียนท่านางแบบบนปกนิตยสาร
“ก็ใช้ได้ มองไม่ออกเลยว่าแกผ่านผู้ชายมาแล้วกี่คน”
“แหม! แม่ละก็ ทำไมต้องเอาความผิดพลาดของฉันขึ้นมาเหน็บแนมกันด้วยนะ”
ทั้งกิริยามองมารดาด้วยสายตาตำหนิ รวมไปถึงสรรพนามที่ใช้แทนตัวยามพูดกับคนเป็นแม่ โดยที่แม่ก็ไม่ได้พยายามจะแก้ไข บอกสอน เท่ากับบอกให้รู้ว่าแม่คนนี้เลี้ยงลูกมาแบบไหน
“ที่ฉันพูดขึ้นมาก็เพื่อจะคอยเตือนแกไง หากคิดจะเอาตัวเข้าแลกอย่างคราวที่ผ่านๆมาอย่าให้มันผิดพลาดซ้ำสองซ้ำสาม”
“ไม่เชื่อมือกันเลยหรือนี่?”
“ขอไม่เชื่อไว้ก่อน เอาไว้แกทำสำเร็จเมื่อไหร่ฉันถึงจะชื่นชม”
นั่นคือคำของแม่ แม้จะไม่ถึงกับเป็นการยุยง แต่ก็ฟังส่งเสริมอยู่ในที
ก็ในเมื่อแม่เป็นเสียอย่างนี้ แล้วลูกจะต่างไปจากนี้สักกี่มมากน้อยกันเล่า?
