๔ ล้อมคอกกลัววัวหาย (๓)
แต่งงานโดยปราศจากความรักแต่ก็ครองคู่กันมาจนอายุแปดสิบสองปี ไม่รักตอนนี้ใช่ว่าในอนาคตจะไม่รักสักหน่อย แววตาของพริศก็เอ็นดูหลานสาวท่านพอสมควร ได้อยู่ด้วยกันหน่อยคงรักปานจะกลืนกินเชียวล่ะ
“แล้วพริศจะรักมินนี่เหรอคะ”
“เรื่องนั้นก็ต้องรอดูกันต่อไป แต่ฉันเชื่อในสายตาตัวเองว่าเลือกไม่ผิด...มินนี่ได้ผู้ชายที่สามารถดูแลไปตลอดชีวิตได้” บอกเสียงหนักแน่นเพื่อให้ภรรยาคลายความกังวลได้บ้าง นางพรูลมหายใจยอมเชื่อสามีแม้อีกใจจะค้านก็ตามที
“ขอให้เป็นแบบนั้นเถอะค่ะ” สิ่งที่คนเป็นย่าหวังก็คือให้หลานสุดที่รักมีความสุข
ไม่อยากสร้างตราบาปให้ชีวิตของมินทิรา เพราะหลานสาวคนนี้คือแก้วตาดวงใจของคนทั้งบ้าน...
รถเคลื่อนออกจากหมู่บ้านได้สักพักโดยที่บรรยากาศบนรถโอบล้อมไปด้วยความอึดอัด หล่อนไม่ชอบความเงียบเลยสักนิด แต่การจะชวนคุยก็ไม่รู้จะหาเรื่องอะไรมาพูด เราเหมือนคนแปลกหน้าแม้จะเห็นกันแต่เล็กแต่น้อยก็ตาม
เหลือบมองร่างสูงที่อยู่ในชุดไปรเวท หล่อนเพิ่งนึกได้ว่าเขาไม่สวมสูทหรือผูกเนกไทอย่างที่ควรเป็น แสดงว่าวันนี้ชายหนุ่มไม่ได้ไปทำงานอย่างนั้นหรือ
คนที่บ้างานจนวันฉลองรับปริญญาของหล่อนยังไม่มา...กำลังโดดงาน!
มินทิราแทบไม่เชื่อสายตาของตัวเองด้วยซ้ำ ทว่าการจะถามเขาอย่างสนิทสนมก็ไม่ใช่วิสัยจึงเลือกปล่อยผ่าน แล้วถามเรื่องสำคัญมากกว่านั้น
“ที่บอกว่าจะไปฮันนีมูนหมายความว่ายังไงคะ ทำไมต้องไปฮันนีมูนด้วย” ยกยิ้มมุมปากเมื่อเห็นหล่อนเป็นคนเอ่ยขึ้นมาก่อน เขาก็รอว่าเมื่อไหร่หญิงสาวจะพูดสักที นั่งทำหน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่ได้หลายนาทีจนทนไม่ไหว
“แต่งงานก็ต้องไปฮันนีมูน”
“แต่เราไม่เหมือนคู่อื่น” โต้กลับทันควัน
ฮันนีมูนใช้สำหรับคู่รักที่เพิ่งแต่งงาน ทว่าเราไม่ใช่คู่รักแต่เป็นแค่คนสองคนที่จับพลัดจับพลูต้องมาแต่งงานเพื่อรักษาหน้าตาทางสังคมต่างหาก อยากร่ายยาวแต่ก็ไม่กล้าพูดอะไรมาก พออยู่กับเขาเธอกลายเป็นคนพูดน้อยทันที
“ไม่เหมือนตรงไหน...เราแลกแหวนแล้วพี่ก็มีของหมั้น จดทะเบียนสมรส มีงานฉลองตอนเย็นแล้วก็ส่งตัวเข้าห้องหอ ทำทุกอย่างตามขั้นตอนไม่ขาดตกบกพร่องแล้วทำไมจะไม่เหมือนคู่อื่น” เรื่องนั้นมันสำคัญที่ไหนกันเล่า
มินทิราคิดในใจแล้วเลือกจะพูดอย่างตรงไปตรงมาเพื่อให้เขาคล้อยตามแล้วยกเลิกฮันนีมูนซะ ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะพาไปวันไหน แต่หล่อนไม่ต้องการจะไปและจะไม่ไปอย่างเด็ดขาด!
“เราไม่ได้รักกัน” พูดพลางต้องชายหนุ่มตาแป๋ว เขาไม่ได้หันมามองพร้อมกำลังโฟกัสที่การจราจรซึ่งเริ่มหนาตาอย่างน่าหงุดหงิด ทางข้างหน้าเกิดอุบัติเหตุจึงติดแหง็กอยู่บนถนน ร่างสูงถือโอกาสนี้คุยกับหล่อน
“ไม่ได้รักก็ไปได้” พอได้ยินคำนั้นก็รู้ว่าคงขัดไม่ได้ มินทิราทำหน้ายุ่งด้วยความขัดใจ สงสัยคงต้องประวิงเวลาไปอีกสักพัก
เขาคงไม่บ้าบิ่นพาเธอไปในเร็ววันหรอก อย่างน้อยต้องเดือนหน้า...
คิดพลางอมยิ้มเมื่อรู้ว่าตัวเองเหลือเวลาให้อ้างเหตุผลอีกร้อยแปดเพื่อจะไม่ไปฮันนีมูนกับชายหนุ่ม โดยไม่รู้เลยว่าเขามองเห็นแววตาแสนซนของคนข้างกาย แล้วก็นึกเอ็นดูกวางน้อยที่พยายามอย่างสุดความสามารถจะหนีจากกรงเล็บของเสือร้าย
“เราจะไปวันไหนล่ะคะ”
“ตอนนี้”
“คะ!” ถึงกับเผลออุทานเสียงดัง เบิกตากว้างไม่คิดว่าระยะเวลาจะรวดเร็วขนาดนี้ เธออาจจะฟังผิดหรือเปล่า แต่ดูจากสีหน้าท่าทางของเขาน่าจะไม่ผิด มินทิราถึงกับมึนงงไม่รู้ว้าเหตุใดมันถึงกระชั้นชิดนัก
“พี่กำลังจะขับรถพาไปขึ้นเรือ แล้วเราจะไปเกาะส่วนตัวที่พี่จองเอาไว้เพื่อฮันนีมูน...ทั้งเกาะมีแค่เราสองคน” แค่ไปฮันนีมูนก็จะเป็นลมแล้ว เขายังจองเกาะส่วนตัวที่มีแค่เราอีก หล่อนเหมือนจะตายเสียเดี๋ยวนี้ให้ได้ ขณะที่ร่างหนายังคงยกยิ้มมุมปากอย่างไม่ยี่หระ ราวกับว่าอยากอยู่ด้วยกันเสียเต็มประดา
“พี่พริศ!”
“แต่ แต่หนูยังไม่ได้เตรียมอะไรสักอย่าง” เริ่มคิดหาทางรอดของตัวเอง หันซ้ายแลขวาพยายามเค้นหาคำพูดเพื่อให้เขายกเลิกทริป
“พี่เตรียมไว้ให้หมดแล้ว”
“เราเพิ่งแต่งงานกันเมื่อวานเองนะคะ ไหนจะงานของพี่อีก...ไปไม่ได้หรอกค่ะ ไม่ไปนะคะ” เผลอยกมือจับแขนแกร่งอย่างออดอ้อน ใช้น้ำเสียงเล็กแบบที่เคยทำประจำกับคนในครอบครัว เผลอตัวแสดงความเป็นตัวเองจนเขาถึงกับใจแกว่ง หันมามองคนข้างกายที่ทำตาปริบ
หมายจะให้คนใจแข็งโอนอ่อนยอมยกเลิกทริปฮันนีมูนครั้งนี้...
“งานทั้งหมดพี่เคลียร์หมดแล้วไม่มีงานค้าง เพราะพี่เตรียมตัวมาฮันนีมูนโดยเฉพาะ ส่วนเสื้อผ้าของเธอพี่ก็บอกให้คุณแม่เธอเตรียมไว้แล้ว ไม่ต้องห่วงนะ...ปล่อยใจสบายแล้วไปสนุกกันสองคนดีกว่า” เจอรอยยิ้มของเขาพร้อมประโยคเด็ดขาดก็ทำให้เธอรีบผละมือออกทันที
คล้ายคนน้ำท่วมปากที่พูดไม่ออก จะตอบปฏิเสธก็โดนเขาปัดตกเหตุผล แต่ครั้นจะตอบรับก็ขัดกับหัวใจ สุดท้ายก็ทำได้เพียงพยักหน้าอย่างจำนน
“เอ่อ อ่า...ค่ะ”
แล้วหล่อนทำอะไรมากกว่านี้หรือไงเล่า!
