๕ น้ำผึ้งพระจันทร์แสนหวาน (๑)
๕
น้ำผึ้งพระจันทร์แสนหวาน
ภายในรถยนต์ที่เคลื่อนไปตามถนนที่บอกเส้นทางชัดเจนว่ากำลังขึ้นเหนือ บรรยากาศค่อนข้างเงียบแม้ว่าร่างสูงจะพยายามชวนคุยเท่าไหร่ เจ้าตัวก็ทำเพียงเก็บปากสงวนวาจาไม่ค่อยเอื้อนเอ่ยออกมาสักเท่าไหร่
ดวงหน้าหวานเรียบเฉยติดเย็นชา มือที่วางบนตักกำเข้าหากันแน่น โกรธตั้งแต่เมื่อวานลากยาวมาจนตอนนี้ เธอคิดว่าเขาจะพามาคุยเพียงครู่เดียวแล้วส่งกลับจึงยอมตามมาโดยง่ายดาย ใครเล่าจะรู้ว่าชายหนุ่มวางยานอนหลับเธอ
ตื่นขึ้นมาก็พบว่ากำลังอยู่ภายในบ้านพักตากอากาศสักแห่งของเขา โวยวายจนแทบหมดเสียงกลับกลับถูกจูงกึ่งลากขึ้นมาบนรถคันหรูที่มีคนรถนั่งเป็นสารถีพูดเรื่องวางแผนหนีงานแต่งให้หล่อนฟังเป็นฉาก ทำทุกอย่างแนบเนียนไม่มีใครจับได้สักคน
แน่ล่ะ...พุฒคือลูกชายที่อยู่ในโอวาทตลอด
ลูกชายคนเดียวของตระกูลย่อมเป็นที่รักของคนในครอบครัว เหมือนมินทิราที่เป็นลูกคนเล็กอยากได้อะไรก็มีคนหามาประเคนให้ตลอด
“เตย...” เห็นคนรักเงียบไปนานจึงเอื้อมไปคว้ามือบางมากุม เลือกขับรถด้วยมือเพียงข้างเดียว รับรู้ว่าหล่อนไม่ได้อยู่ในอารมณ์ที่จะพูดคุยได้ปกติ
พรรณรมณคงรู้สึกผิดกับครอบครัวจึงแสดงอาการเช่นนี้ เธอตวัดสายตามองเขาแล้วปลดมือหนาออก ดวงตาเย็นชาจนคนมองถึงกับอึ้ง รีบหันกลับมามองถนนเช่นเดิมแล้วฟังสิ่งหญิงสาวกำลังจะพูด
“ตอนไหนเตยจะได้กลับบ้านสักที” ถามเสียงเรียบ
ป่านนี้ตนคงกลายเป็นคนทรยศไปแล้วที่พาเจ้าบ่าวของน้องหนีมา คนที่บ้านคงโกรธและเกลียดหล่อนยิ่งกว่าเดิม กลับไปคราวนี้ทุกอย่างคงไม่เหมือนเดิม เมื่อพุฒอยู่ที่นี่งานแต่งก็คงล่มไม่เป็นท่า มินทิราอาจกอดเข่าร้องไห้ในห้องไม่ยอมออกมาพบเจอผู้คน
แล้วก็คงโยนความผิดมาให้หล่อนตามเคย...ผู้หญิงคนนั้นไม่เคยทำอะไรผิดอยู่แล้วนี่น่า
“สัปดาห์หน้าพี่ก็พากลับแล้ว พี่จะได้ไปขอขมาคุณพ่อคุณแม่ของเตยที่ทำการไม่เหมาะสมพาเตยมาอยู่ตามลำพังสองคน” เลือกจะใช้น้ำเย็นเข้าลูบเพราะรู้ว่าเธอกำลังอยู่ในอารมณ์ที่พร้อมจะระเบิดได้ตลอดเวลา
เขาไม่เข้าใจว่าในเมื่อเรารักกันเหตุใดจึงโดนกีดกันจากคนในครอบครัว ปลูกเรือนควรตามใจผู้อยู่ไม่ใช่หรือ...
ทว่าตนกลับถูกบีบบังคับไม่ให้เหลือทางออก จนสุดท้ายพุฒก็เลือกจะสร้างบทเรียนเพื่อสั่งสอนผู้ใหญ่เหล่านั้น ด้วยการหนีงานแต่งมาอยู่กับคนที่ตนรัก ปล่อยเหตุการณ์วุ่นวายให้คนที่ไว้ใจเป็นผู้จัดการเองทั้งหมด
ซึ่งจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากพี่ชายสุดที่รัก...พริศ...
“พี่ไม่น่าหนีงานแต่งเลย”
“แล้วเตยทนมองพี่แต่งงานกับคนอื่นได้เหรอ” โดนถามกลับก็ทำให้ร่างบางพูดอะไรไม่ออก หล่อนถอนหายใจเหนื่อยหน่ายก่อนยกมือขึ้นลูบใบหน้า อยู่ตั้งหนึ่งสัปดาห์หล่อนจะเอาเสื้อผ้าที่ไหนผลัดเปลี่ยน กระเป๋าสตางค์ก็ไม่ได้นำมา โทรศัพท์จะติดต่อสื่อสารกับใครก็ไม่มี
อยากบอกให้เขาพากลับพรุ่งนี้ก็ไม่มีแวว เหมือนพุฒจะวางแผนทุกอย่างไว้รอบคอบแล้ว หล่อนก็ไม่อาจเปลี่ยนใจเขาได้
“เอาเถอะค่ะ เรื่องมันมาขนาดนี้แล้ว...สงสารก็แต่มินนี่ไม่รู้ป่านนี้จะเป็นยังไง คงไม่กล้าสู้หน้าใครเพราะงานแต่งล่ม” คิดถึงน้องสาวแสนเอาแต่ใจก็เห็นภาพเจ้าสาวร้องไห้ปานจะขาดใจในงานที่ร้างเจ้าบ่าว คงอับอายจนไม่กล้าสู้หน้าคนในสังคมไปอีกพักใหญ่
พรรณรมณเม้มปากแล้วจิกตัวเองไว้แน่น เกือบเผลอแสดงท่าทีบางอย่างออกไปเสียแล้ว ไม่เหมาะที่จะทำให้เขาเห็น...ว่าตนดีใจแค่ไหนที่งานแต่งครั้งนี้ล่มไม่เป็น
น้องสาวผู้อยู่บนหอคอยงานช้างจะได้ตื่นจากฝันแสนหวานที่มีคนคอยล้อมหน้าล้อมหลังให้ท้ายซักที รับรู้รสชาติของการถูกทิ้งว่ามันเจ็บอย่างไร
“ไม่...” กำลังจะเปิดปากบอกความจริงก็คิดถึงคำเตือนของพี่ชายเสียก่อน
‘ห้ามบอกเตยว่าพี่เป็นเจ้าบ่าว นายแค่บอกว่างานแต่งล่มก็พอ’
ยังนึกสงสัยมาจนถึงตอนนี้ว่าเหตุใดพริศจึงไม่ยอมให้บอกความจริง เขาจึงต้องเม้มปากแน่นพลางหันไปมองคนข้างกายที่ทำหน้าดีขึ้นกว่าเมื่อครู่ ใช้โอกาสนี้เอื้อมไปกอบกุมมือของหล่อนเอาไว้อีกครั้ง โชคดีที่พรรณรมณไม่ปัดออก
“ไม่ต้องไปคิดเรื่องคนอื่นหรอก คิดแค่เรื่องของเราก็พอแล้ว...ต่อจากนี้เราจะได้มีความสุขด้วยกันสักที” อนาคตที่เขาคิดเอาไว้จะต้องมีเธอเดินร่วมทาง ไม่ว่าใครก็มาพรากหญิงสาวไปจากเขาไม่ได้เด็ดขาด ขณะที่ฝ่ายหญิงเองก็ทำได้เพียงยิ้มเต็มปาก
“ค่ะ” แต่แววตากลับนิ่งสนิทไม่มีแม้คลื่นความหวั่นไหวในนั้น จ้องหนทางข้างหน้าที่เริ่มจะซับซ้อนขึ้นเรื่อยๆ
ไม่ว่าอย่างไรเธอก็ต้องคงไว้ซึ่งนามสกุลเวศน์สุวรรณวงศ์เอาไว้ให้ได้!
จะต้องไม่เป็นเด็กกำพร้าที่ถูกทอดทิ้งเหมือนในอดีตอีกแล้ว
เรือสปีทโบ๊ทแล่นออกจากท่าพร้อมคนขับหน้าหล่อที่รู้เส้นทางเป็นอย่างดีเพราะมาบ่อยครั้งยังเป็นนักศึกษา เขาเครียดกับเรื่องเรียนหรือชีวิตส่วนตัวก็มักมาพักที่นี่ กลายเป็นลูกค้าประจำไปโดยปริยาย พอวันนี้ที่พาภรรยาฮันนีมูน เจ้าของจึงลดให้ในราคาพิเศษ
ระหว่างทางเธอเผลอจ้องมองเขาด้วยความทึ่ง พอจะทราบว่าชายหนุ่มเป็นคนเก่ง แต่ไม่คิดว่าจะขับเรือเป็นด้วย ท่าทางทะมัดทะแมงเหมือนรู้เส้นทาง ด้วยตาคมภายใต้แว่นสีเข้ม เสื้อผ้าสบายที่เขาสวม เหมือนกับเป็นใครอีกคนที่ตนไม่เคยรู้จักมาก่อน
เมื่อครั้งตนยังเป็นเพียงนักเรียนมัธยมศึกษาตอนต้น มีโอกาสให้เขาช่วยสอนการบ้านครั้งหรือสองครั้ง คุณครูจำเป็นที่อายุห่างกันสิบเอ็ดปีดุจนหล่อนน้ำตาคลอ เขาไม่ได้ด่าด้วยถ้อยคำหยาบคาย แต่แววที่กดดันทั้งน้ำเสียงคมเข้ม ทำเอาหล่อนกลัวจนไม่กล้าเข้าใกล้
กลายเป็นเรื่องฝังใจมาจนถึงทุกวันนี้ที่มองชายหนุ่มเหมือนยักษ์...
“ถึงแล้ว...สวยไหม” ภาพตรงหน้าทำให้เธอเผลอมองอย่างชื่นชม บ้านไม้สีขาวสองชั้นตั้งตระหง่านอยู่บนเกาะส่วนตัวที่โอบล้อมไปด้วยต้นไม้ใหญ่ให้ความร่มรื่น มีสะพานทอดยาวจากทะเลไปหาตัวบ้าน เห็นแล้วก็อยากมีเป็นของตัวเองบ้าง
เพราะบ้านพักตากอากาศของครอบครัวที่หัวหินและภูเก็ตสร้างในตัวเมือง ไม่ได้ติดทะเลแบบนี้ สงสัยต้องอ้อนคุณปู่ให้ซื้อสักหลังแล้วล่ะ
“สวย สวยมากค่ะ” ลงจากเรือแล้วเดินตามทางสะพานก็ชื่นชมพลางพยักหน้า ไม่ปิดบังความตื่นเต้นสักนิดจนร่างสูงที่ลากกระเป๋าสามใบและสะพายอีกหนึ่งใบตามหลังต้องขยับเข้าไปใกล้ภรรยา กระซิบข้างหูหล่อนเสียงเบา
“ชอบหรือเปล่า”
“ชอบค่ะ” พยักหน้าขึ้นลงเป็นตุ๊กตาสปริง แต่พอรับรู้ถึงลมหายใจร้อนที่เป่าข้างหูก็สะดุ้ง ขยับถอยห่างชายหนุ่มสองถึงสามก้าว จะห่างมากก็ไม่ได้กลัวตนเองจะตกสะพาน ใช้โอกาสนี้รีบเดินเข้าข้างในเพราะคำถามที่คล้ายจะหยอกล้อ
“ชอบบ้าน...หรือชอบพี่”
“ชอบบ้านค่ะ! ขอเอาของเข้าไปเก็บข้างในก่อนนะคะ” หันมาลากกระเป๋าของตัวเองเพียงใบเดียวทั้งที่จริงเอามาให้หล่อนถึงสามใบด้วยกัน ก้าวเท้าเข้าข้างในบ้านขาแทบขวิดเพื่อให้พ้นจากสายตาเจ้าเล่ห์ซึ่งอยู่ภายใต้แว่นตากรอบเข้ม
เธอไม่เข้าใจเลยสักนิดว่าผู้ชายเคร่งขรึมคนนั้นหายไปไหนแล้ว กลับกลายมาเป็นหนุ่มเจ้าเสน่ห์ที่ชอบหยอกล้อหล่อนให้ขวยเขิน
“หึ เด็กน้อย...คิดว่าจะรอดหรือไง” พึมพำกับตัวเองแล้วเดินลากกระเป๋าสองใบที่เหลือ พลางกระชับกระเป๋าที่สะพายพาดบ่าตามเข้าไปในบ้าน เตรียมการขย้ำเนื้อกวางแล้วเขาไม่มีทางปล่อยให้เจ้าตัวรอดไปได้หรอก
การมาฮันนีมูนจะต้องสมบูรณ์ที่สุด!
