บท
ตั้งค่า

๔ ล้อมคอกกลัววัวหาย (๒)

“อือ ฉันก็รักพวกแก” สุดท้ายก็หลุดปล่อยโฮจนเพื่อนต้องเข้ามากอดปลอบสาวขี้แยประจำกลุ่ม นอกจากเป็นน้องเล็กของบ้านไม่พอ ยังเป็นน้องน้อยของเพื่อนในกลุ่มอีกต่างหาก นึกเป็นห่วงชีวิตของมินทิราต่อจากนี้ว่าจะรอดจากปากเหยี่ยวปากกาได้หรือเปล่า

เพราะพริศที่พวกเธอเห็นนั้น...ดูจะไม่ธรรมดาเอาเสียเลย

กลับจากร้านกาแฟของนวิยาก็โบกแท็กซี่เพื่อตรงกลับบ้าน ออกมาจากโรงแรมก็ไม่ได้ติดต่อสามีที่นอนข้างกันเมื่อคืน หล่อนไม่มีช่องทางการติดต่อเขาสักอย่าง เราเป็นเหมือนคนรู้ที่พบหน้าไม่กี่ครั้ง ไร้ซึ่งความสนิทสนมชิดเชื้อ อีกทั้งเธอยังนึกเกรงกลัวเขาทุกทีที่พบหน้า

แล้วอย่างนี้จะให้ข้ามขั้นเป็นสามีภรรยาได้อย่างไร มันคงยากมากสำหรับมินทิรา...

จ่ายเงินค่าโดยสารแล้วเดินผ่านรั้วอัลลอยด์ขนาดใหญ่ ค้อมศีรษะแล้วยิ้มให้ลุงยามที่ทักทายคุณหนูของบ้าน เดินผ่านต้นไม้ใหญ่แสนร่มรื่นด้านหน้า ลัดเลาะมาทางสวนน้ำตกที่คุณปู่ทุ่มทุนราวกับยกน้ำตกมาไว้บ้าน

ความสวยงามตรงหน้าไม่ได้ดึงดูดให้เธอสดชื่นขึ้นสักนิด เพราะเอาแต่คิดถึงวันนี้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นอีกหรือเปล่า

เธอต้องอยู่บ้านไหน...ทำตัวอย่างไรยามอยู่ต่อหน้าสามีจำเป็น

ความจริงเสื้อผ้าบางส่วนถูกย้ายไปไว้ห้องของพุฒเพราะจะใช้เป็นห้องหอ พอเกิดเรื่องผิดฝาผิดตัวก็คงต้องเปลี่ยนแผนทั้งหมด ซึ่งหล่อนก็มืดแปดด้านไม่รู้ว่าควรทำอย่างไร

แต่แล้วความคิดทั้งหมดก็หยุดลงเมื่อพบว่ามีการขนย้ายของบางส่วนมาไว้บนรถตู้คันใหญ่ ดวงตากลมเบิกกว้างจำกระเป๋าแบรนด์ดังรุ่นลิมิเตดได้เป็นอย่างดีว่ามันคือของตน รีบก้าวเข้าไปหาแม่บ้านที่กำลังขนย้ายของ พร้อมถามเสียงตื่น

“กระเป๋าของหนู จะขนไปไหนคะ”

“ไปเรือนหอเราไง” เสียงที่ตอบไม่ได้ออกจากปากของแม่บ้าน

ใบหน้าหวานหันไปตามเสียงก่อนพบร่างหนาเดินลงมาจากหน้ามุขก่อนหยุดยืนตรงหน้าหล่อน คนตัวเล็กกว่าถึงกับตกใจแล้วเผลอเรียกเขาเสียงดัง สีหน้าแสดงออกชัดเจนเล่นเอาคนมองต้องอมยิ้มอย่างนึกเอ็นดู

คุณหนูแสนร้ายที่ชอบแผลงฤทธิ์...ไม่เห็นจะมีฤทธิ์เดชตรงไหนเลย

“พี่พริศ!”

หยุดยืนตรงหน้าภรรยาตัวน้อยที่แอบหนีเขาไปแต่เช้าตรู่ ตื่นมาก็ไม่เห็นคนข้างกายทั้งที่นอนยังเย็นชืดบอกให้รู้ว่าหล่อนออกไปนานแล้ว ร่างสูงไม่ได้คิดอะไรมากรีบลุกอาบน้ำแต่งตัวแล้วเริ่มทำเรื่องที่ต้องจัดการเป็นอันดับแรก

ช่วงหนึ่งเดือนที่ผ่านมาเขาโหมทำงานหนักแทบไม่มีเวลาพัก พอได้นอนก็หลับเป็นตายไม่ได้ทำอะไรอย่างที่ควรทำในคืนเข้าหอ

แต่ไม่เป็นไรหรอก ดีเสียอีกที่เมื่อคืนหลับสนิทจะได้ทบต้นทบดอกคืนนี้ทีเดียวเลย...

“ทำไมเห็นหน้าสามีถึงตกใจอย่างกับเห็นผี พี่ว่าไม่เห็นแปลกสักหน่อย...เราแต่งงานกันแล้วจะแยกกันอยู่ได้ยังไง ถ้าให้พี่กลับมานอนบ้านก็ไม่สะดวกเพราะงานพี่เลิกดึกไหนจะรถติด ช่วงนี้เธอก็ไปอยู่คอนโดพี่แล้วกัน ค่อยหาที่ทางสร้างเรือนหอของเรา”

คราวนี้ดวงตากลมแทบถลนออกมาเมื่อฟังจบ หล่อนต้องย้ายไปอยู่กับเขาอย่างนั้นหรือ ไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้เลยด้วยซ้ำ จนต้องรีบถามเสียงอ่อนอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ปกติอยู่ด้วยกันสองคนเธอกล้าจะสบตาหรือต่อบทสนทนากับชายหนุ่มเสียเมื่อไหร่

“เราจะแต่งงานกันนานขนาดนั้นเลยเหรอคะ” คิดว่าเป็นการแต่งงานหลอกๆ ซะอีก แต่พริศก็บอกความคิดของเขาทำเอาร่างบางถึงกับพูดไม่ออก

“เราจะไม่หย่ากัน...วันนั้นจะไม่เกิดขึ้น” นอกจากเสียงที่หนักแน่น แววตาคู่นั้นยังมั่นคงจนหล่อนนึกว่าตัวเองมองผิด ยิ่งทำให้ไม่เข้าใจมากกว่าเดิมว่าเหตุใดเขาจึงไม่ต้องการหย่า ทั้งที่เราไม่ได้รักกันเลยสักนิด

“ทำไมคะ เราไม่ได้แต่งงานเพราะรัก ทุกอย่างมันแค่ต้องขายผ้าเอาหน้ารอด แต่งแค่สองสามเดือนน่าจะจบแล้วไม่ใช่เหรอ หนูไม่ได้รักพี่...พี่เองก็คงไม่ได้รักหนู” ท้ายประโยคบอกเสียงเบาแล้วสบตาเขาอย่างคนสงสัยใคร่รู้

ร่างหนาถอนหายใจพลางเม้มปากแน่น นัยน์ตาคล้ายสับสนขณะจ้องเธอตาไม่กระพริบ ค่อยพูดเสียงอ่อนเหมือนเป็นแค่คำแก้ตัวเท่านั้น แต่มินทิราก็เชื่อหมดใจกับข้ออ้างของเขาที่พูดอย่างขอไปทีเพื่อให้ผ่านสถานการณ์ตรงนี้ไปได้

“พี่ไม่อยากให้ชีวิตของตัวเองมีรอยด่างพร้อย”

“อ้อ...ค่ะ” พยักหน้าไม่โต้ตอบอะไรอีก เธอเข้าใจทันทีว่าการหย่าคงเป็นเหมือนจุดดำบนชีวิตขาวสะอาดของเขา จึงไม่ต้องการหย่าเพราะไม่อยากตกเป็นขี้ปากชาวบ้าน

เธอละความสนใจจากเขาจนพริศถึงกับขมวดคิ้ว หากเป็นตนคงไม่เชื่อข้ออ้างนั้น แต่เหมือนหล่อนจะเชื่อหมดหัวใจโดยไม่คิดสงสัยหรือคาดคั้นถามอีก ช่างเป็นคนที่ไร้เดียงสาจนไม่อยากเชื่อว่าหล่อนจะกล้าแผลงฤทธิ์บังคับให้ชายอื่นแต่งงานด้วย

ผู้หญิงตรงหน้าเขา...เหมือนกวางน้อยที่เพิ่งเติบโตในป่าแสนอันตราย

แล้วดันมาเจอเสือผู้หิวกระหายพอดี

ถือเป็นคราวซวยหรือเธอได้ไหม...

“มินนี่” เสียงคนในครอบครัวดังขึ้น พอเหลียวไปมองก็พบคุณปัทมวรรณกับคุณณหทัยเดินเข้ามาหาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม หล่อนโผเข้ากอดท่านทั้งสองด้วยความคิดถึง แม้ว่าเพิ่งจะห่างกันไม่ถึงยี่สิบสี่ชั้วโมงก็ตาม กลายเป็นหนูน้อยของคนที่บ้านทันที

“คุณแม่ คุณย่า” เรียกเสียงอ้อนอย่างที่เคยทำ แต่คราวนี้ทำให้หล่อนถึงกับขมวดคิ้วเมื่อได้ยินคำสั่งที่หยอกเย้าอยู่ในทีจนสับสน แต่ก็เลือกจะรับปากพลางพยักหน้าไปก่อน

“เป็นเด็กดีกับพี่เขา อย่าดื้อเข้าใจไหม...” ผละจากคุณย่าก็เป็นคุณแม่ที่เดินเข้ามาหาแล้วสวมกอดบุตรสาวสุดที่รักเอาไว้ ตอนแรกก็นึกเป็นห่วงว่าคนทั้งสองจะเข้ากันได้หรือเปล่า โดยเฉพาะลูกสาวของตนที่ดื้อเหลือเกิน

พริศจะปราบพยศได้ไหม...

“ค่ะ”

“ไปฮันนีมูนคราวนี้ก็สนุกให้เต็มที่ล่ะ” พยักหน้าเช่นเคยแต่ก็ต้องชะงักเมื่อลองทบทวนประโยคเมื่อครู่อีกครั้ง ฮันนีมูนอย่างนั้นหรือ...

หมายถึงเธอกับเขาหรือเปล่า...คงไม่ใช่หรอก

เราไม่ได้รักกันแล้วจะไปฮันนีมูนทำไม แค่แต่งงานก็คงจะพอแล้ว คิดอย่างเข้าข้างตัวเองไม่ได้มองแววตาเจ้าเล่ห์ของชายที่ยืนขนาบหลังเลยสักนิด

“ค่ะ...คะ ฮันนีมูน ฮันนีมูนอะไรกันคะ หมายความว่ายังไง” เห็นว่ากวางน้อยเริ่มตื่นตระหนกก็รีบยกมือไหว้ลาผู้ใหญ่ โอบเอวเล็กพาไปขึ้นรถยนต์ที่จอดคอยท่า ยิ้มให้ท่านทั้งสองที่มองตามด้วยความเป็นห่วงเมื่อเห็นว่ามินทิราคล้ายจะไม่รู้เรื่องนี้

“ครับคุณย่า ผมพาน้องกลับเลยนะครับ สวัสดีครับ” จะถามให้รู้เรื่องก็ไม่ทันเมื่อชายหนุ่มจับหล่อนยัดเข้าไปในรถเสียแล้ว ทำได้เพียงมองกระจกด้านข้างแล้วเห็นท่านทั้งสองยกมือโบกไปมาอยู่อย่างนั้นจนรถของเขาเลื่อนออกจากเขตรั้วบ้าน

ดวงหน้าหวานค่อยผินมามองคนข้างกาย...ฮันนีมูนเหรอ

ไม่จริงหรอก พวกท่านอาจจะเข้าใจผิดไปเองก็ได้ เราแต่งงานกันปลอมๆ คงไม่ต้องถึงขั้นไปดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์หรอก

ส่งหลานสาวไปกับหลานเขยเรียบร้อยก็เดินมาที่เรือนรับรองกลางน้ำซึ่งเป็นที่ประจำของสามี ชอบมานั่งเล่นหมากรุกอยู่กับคนสวนที่ได้เจ้านายคอยสอนวิธีเดินหมากเพราะหาเพื่อนเล่นด้วยยาก หลังเกษียณจากงานก็อยู่บ้านเป็นส่วนใหญ่ มีบ้างจะออกไปหาเพื่อนแต่ด้วยสุขภาพไม่เอื้ออำนวยทั้งยังเหนื่อยง่ายจึงเลือกอยู่กับภรรยาและหลานที่บ้านหลังใหญ่

คุณณฐพงศ์หัวเราะดีใจเมื่อตนชนะอีกครั้ง กำลังจะเริ่มเล่นใหม่ก็เห็นคุณปัทมวรรณเดินเข้ามาด้วยใบหน้ากังวล จึงพยักหน้าเป็นการบอกให้คนสวนออกไปก่อน คาดว่าคู่ชีวิตคงต้องมีเรื่องคุยกับตนอย่างแน่นอน

“เป็นห่วงมินนี่จังเลยคุณ...” คำแรกที่เอ่ยก็ไม่ผิดจากที่คิดไว้เท่าไหร่ เป็นเรื่องหลานสาวสุดที่รักอย่างแน่นอน

“ห่วงทำไม ฉันดีใจซะอีกที่ได้ตาพริศมาเป็นหลานเขย ถึงจะเป็นลูกเก็บมาเลี้ยงแต่หัวดี เติบโตทางธุรกิจแบบก้าวกระโดด ไม่ต้องใช้เส้นสายที่มีก็ได้ตำแหน่งใหญ่โต ที่สำคัญฉันเชื่อว่าเอายัยมินนี่อยู่แน่นอน”

ชื่นชมหลานเขยคนนี้ไม่น้อย อยากได้พริศมาเป็นคนในครอบครัวนานแล้ว ชอบในความเก่งกาจมองเกมขาดของอีกฝ่าย แต่ก็ในฐานะของนักบริหารไม่รู้ว่าถ้าเป็นหลานเขยจะดีอยู่หรือเปล่า

ทว่าท่านเชื่อในสายตาของตัวเอง...พริศเป็นคนดีทั้งนอกและใน

ต้องไม่ทำให้หลานของตนเสียใจแน่นอน

“แต่มินนี่จะมีความสุขเหรอคะ”

“แล้วการได้แต่งงานกับพุฒจะมีความสุขตรงไหน ยังไงมินนี่ก็ต้องเจ็บอยู่ดีเพราะผู้ชายคนนั้นรักเตย เรื่องเป็นแบบนี้ดีแล้ว ฉันเชื่อว่าอีกไม่นานหลานของฉันจะต้องรักพริศ” พูดอย่างมั่นใจอย่างคนผ่านน้ำร้อนมาก่อน การแต่งงานของตนกับภรรยาก็มาจากครอบครัวที่เห็นว่าเหมาะสม

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel