๔ ล้อมคอกกลัววัวหาย (๑)
๔
ล้อมคอกกลัววัวหาย
ตื่นเช้ากว่าสามีที่นอนข้างกันก็รีบเข้าห้องน้ำชำระกายผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้า วิ่งออกจากห้องขณะที่ร่างหนายังคงนอนหลับไม่รู้เรื่อง เรียกแท็กซี่ให้ไปส่งยังร้านกาแฟของเพื่อนสนิทที่เปิดใกล้มหาวิทยาลัย หัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะไม่กล้าเผชิญหน้ากับพริศโดยตรง
แค่ได้อยู่ใกล้ สัมผัสถึงลมหายใจของอีกฝ่ายก็ทำให้ตนสติกระเจิง ไม่อยากคิดเลยว่าถ้ายังอยู่ด้วยกันแบบนี้ไปอีกหลายเดือนจะเป็นอย่างไร
“แล้วยังไงต่อ พี่พริศทำอะไรแกหรือเปล่า” เจอหน้านวิยาที่ผละจากงานเพื่อมาสัมภาษณ์เพื่อนสนิทที่เพิ่งเข้าพิธีวิวาห์ไปเมื่อวาน
ทุกคนมารวมตัวกันที่ร้านโดยไม่มีการนัดหมายล่วงหน้า กนกนุชกำลังจะไปถ่ายละครช่วงบ่ายทำให้ตอนเช้าว่างจึงมาพักดื่มกาแฟและคุยสนุกที่นี่ ส่วนมิราก็แวะมาซื้อกาแฟเพราะร้านเป็นทางผ่านที่จะไปยังสถานที่ซึ่งต้องเตรียมตัวสำหรับสอบเรียนต่อด้านแฟชั่น
พอเห็นมินทิราเข้ามาในร้านก็พากันไปคุยที่หลังร้านเพื่อความเป็นส่วนตัว เจ้าสาวที่เพิ่งผ่านคืนเข้าหอมาอย่างยากลำบากก็เล่าทุกอย่างให้ฟังไม่มีปิดบัง ทุกคนคือเพื่อนสนิทของหล่อนที่ไม่เคยมีความลับต่อกัน
“เปล่า เขาก็หลับสบายส่วนฉันระแวงทั้งคืน ดูสิขอบตาดำเป็นหมีแพนด้าเลย” ถอนหายใจพลางชี้ขอบตาที่คล้ำเล็กน้อยให้เพื่อนดู แต่ก็ไม่ค่อยเห็นความแตกต่างเท่าไหร่ จนเธอเลือกจะไม่สนใจแล้วนั่งคิดไม่ตกถึงเรื่องการแต่งงานครั้งนี้
การที่พุฒหนีหายไปกับพี่สาวแน่นอนว่าหล่อนโกรธ ทว่านอกเหนือจากนั้นก็ไม่ได้มีความรู้สึกเศร้าโศกเสียใจจนต้องร้องไห้คร่ำครวญอย่างที่คิดว่าจะเป็น ในหัวมีเพียงเรื่องที่ต้องเอาตัวรอดจากการถูกจับแต่งงานกับชายที่สุดแสนน่ากลัว
ไม่รู้ว่าหลังจากนี้จะเกิดอะไรขึ้น สงสัยคงต้องไปถามพริศเสียแล้วว่าระยะเวลาการแต่งงานจะสิ้นสุดเมื่อใด เพราะเขาก็คงไม่อยากใช้ชีวิตกับหล่อนมากนักหรอก
“ต้องแต่งงานกับเขาอีกนานไหม” เพื่อนสนิทถามได้ตรงใจพอดี ซึ่งคนฟังก็ได้แต่ถอนหายใจพลางส่ายหน้า เมื่อหล่อนก็ไม่รู้เหมือนกันว่าอนาคตข้างจะเป็นอย่างไร ไม่ได้พูดคุยกับเขาเป็นเรื่องเป็นราว กลับบ้านไปวันนี้คงต้องคุยสักหน่อยแล้ว
แต่ที่มั่นใจคือต่อจากนี้ชีวิตของตนคงเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง...
“ไม่รู้ ไม่มีใครพูดอะไรสักคน พี่พุฒก็หายไปกับพี่เตย...ทิ้งฉันไว้กับผู้ชายคนอื่นได้ยังไง!” แน่นอนว่าทั้งโกรธและแค้นคนที่ทิ้งปัญหาเอาไว้เบื้องหลัง พุฒทำดีกับเธอจนตายใจแล้วหักหลังกันอย่างเลือดเย็น
“ไม่แปลกที่เขาหนี ก็เขาสองคนรักกัน” ดวงตากลมตวัดมามองเพื่อนสนิทที่ไม่เคยเข้าข้างกันเลย
มิราเป็นคนพูดจาขวานผ่าซากซึ่งบางคำพูดก็กระทบกระเทือนจิตใจแสนบอบบางของหล่อน รู้ว่าเพื่อนหวังดีอยากให้ได้สติแต่ไม่เห็นจะต้องพูดกับหล่อนแรงขนาดนี้สักหน่อย มินทิราทำหน้าบึ้งพลางยกมือขึ้นกอดอก คราวนี้ไม่ยอมโดนบ่นฝ่ายเดียวจึงถามอย่างเง้างอน
“มิรา แกไม่คิดจะเข้าข้างฉันเลยหรือไง”
“ไม่ แกผิดตั้งแต่คิดจะแยกคนที่เขารักกันออกจากกันแล้ว ไปแย่งมาจะทำอะไรได้นอกจากก้มหน้ารับชะตากรรมไปซะ” ไหวไหล่ไม่สนใจแล้วหยิบขนมขึ้นมากิน ยังพอมีเวลาพูดคุยกับเพื่อนจึงไม่ได้ลุกไปไหน อยากเก็บเกี่ยวช่วงเวลาเหล่านี้เอาไว้เพราะอีกไม่นานก็ต้องบินไปเรียนต่อด้านแฟชั่นอยู่ต่างประเทศ อาจไม่ได้เจอกันอีกนาน
“แต่แปลกนะ คุณพริศไม่น่าใช่คนที่จะสวมรอยแต่งงานแทนน้องชายได้ ถึงจะเพราะห่วงหน้าตาของคนที่ชุบเลี้ยงมาก็เถอะ นี่มันงานแต่งเลยนะ...หรือเขาชอบแก” ดาราคนสวยตั้งข้อสังเกตจนทุกคนพยักหน้าคล้อยตาม
ยกเว้นเพียงแต่เจ้าของเรื่องที่รีบส่ายหน้า ตะโกนปฏิเสธเสียงดังราวคนร้อนตัวทั้งที่ใบหน้าแดงก่ำยามคิดตามคำพูดนั้น
พี่พริศคนเคร่งขรึมน่ะหรือจะชอบหล่อน...ไม่มีทางเป็นไปได้หรอก
ถ้าเป็นพี่สาวของเธอก็ค่อยเข้าเค้าหน่อย...
พูดแล้วก็ทำให้หล่อนนึกถึงเหตุการณ์ที่ตนไม่มีวันลืมเลือน ผู้ชายหน้าตายไม่ยินดียินร้ายกับสิ่งรอบข้าง ทว่ากลับมีแววตาอ่อนโยนให้พรรณรมณที่คอยอยู่เคียงข้าง ถึงหล่อนจะไม่ค่อยฉลาดในเรื่องอ่านความรู้สึกของใคร
แต่พริศก็แสดงชัดเจนขนาดที่ตนสามารถมองออกได้ในทันที...ว่าคนที่เขาชอบคือพี่สาวของตัวเอง
“บ้าหรือไงนุช! สายตาที่เขามองฉันแทบจะขยี้ให้แหลกคามือ เขาไม่มีทางชอบฉันหรอก...ถ้าเป็นพี่เตยก็ว่าไปอย่าง” พูดแล้วเสียงก็อ่อนลงอย่างเห็นได้ชัด หล่อนรู้ดีว่าตัวเองเป็นแค่คนคั่นเวลาหรือของเล่นแก้เหงาระหว่างพรรณรมณหายไปก็เท่านั้น
นัยน์ตาหวานหม่นแสงลงอย่างเห็นได้ชัด จนเพื่อนเหลียวมองหน้ากัน เริ่มปรับอารมณ์ตามอีกฝ่ายไม่ถูกว่าคิดเช่นไร
“อย่าบอกนะว่าพี่พริศก็ชอบพี่สาวแก”
อย่างไรเธอก็ไม่เคยมีความสำคัญกับใครอยู่แล้ว...แม้แต่พุฒที่เคยเอาอกเอาใจกันมาตลอด
ยังเลือกพรรณรมณแล้วทิ้งเธอเอาไว้กับความเจ็บช้ำเพียงลำพัง
“อือ เคยเห็นเขากอดกันอยู่หน้าบ้าน ตอนแรกนึกว่าคบกันซะอีกเพราะไม่เห็นพี่เตยคบใครเลย เพิ่งรู้ว่าพี่เตยคบกับพี่พุฒ...พี่พริศคงอกหักเลยเอาฉันเป็นเครื่องมือแก้แค้นคู่นั้นมั้ง” ร่ายยาวตามความคิดของตัวเองที่เป็นได้เพียงของเล่นแก้เหงาสำหรับท่านรองประธานผู้มากความสามารถ
เคยบังเอิญมองลงมาที่ลานหญ้าหน้าบ้านแล้วพบคนทั้งสองตระกองกอดกันด้วยความรัก ตอนนั้นก็ไม่ได้คิดอะไรมาก เพียงแค่เป็นห่วงว่าพี่สาวจะทนกับความเคร่งขรึมของฝ่ายชายได้หรือเปล่า แต่ทุกอย่างก็เหมือนจะเป็นไปด้วยดี
กระทั่งวันที่ความจริงเปิดเผยว่าตนเข้าใจผิด คนที่พรรณรมณรักคือผู้ชายคนเดียวที่เธอรักเช่นเดียวกัน ไม่คิดว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นกับคนในครอบครัวเดียวกันเลยด้วยซ้ำ คิดอย่างเอาแต่ใจตัวเองว่าอีกฝ่ายเป็นพี่ควรเสียสละให้น้อง
สุดท้ายก็ต้องมาเจ็บช้ำเพียงลำพังเพราะสองคนนั้นหนีไปด้วยกัน...
“ละครมากไปไหมแก คิดเองเออเองไปซะหมด” กนกนุชส่ายหน้าไม่ค่อยจะเชื่อเท่าไหร่
“ไม่รู้ แค่เดาเอา...แต่พี่พริศรักพี่เตยฉันว่าจริง” เธอไหวไหล่ไม่สนใจ แค่พูดตามสิ่งที่คิดเท่านั้นไม่รู้ว่าจะเป็นจริงหรือเปล่า
ทว่าเรื่องที่เธอมั่นใจคือพริศรักพรรณรมณอย่างแน่นอน...
กอดกันกลมขนาดนั้นจะเป็นเพียงแค่พี่น้องได้อย่างไร หล่อนไม่มีทางเชื่อโดยเด็ดขาด ทั้งยังสายตายามสองคนนั้นมองกัน เด็กอนุบาลยังรู้เลยว่ามันไม่ใช่เพียงแค่พี่น้อง...
“เฮ้อ สงสารแกว่ะ” นวิยาเลือกจะตบไหล่เล็กเป็นการปลอบ แต่เจ้าตัวกลับไม่ได้ยินดียินร้ายกับเรื่องที่ต้องเผชิญ ยังทำหน้าตายพลางพยักหน้าให้ความมั่นใจแกเพื่อนที่มองอย่างเป็นห่วง จนอดยิ้มด้วยความรู้สึกประทับใจไม่ได้
รู้สึกว่าตัวเองโชคดีเหลือเกินที่ในความเศร้าก็ยังมีคนที่คอยอยู่เคียงข้าง พร้อมปลอบปะโลมอยู่เสมอ ซึ้งใจจนน้ำตาคลอเบ้า
“ฉันโอเคนะ...ฉันว่าฉันโอเค”
“พวกฉันรักแกมากนะมินนี่”
