ตอนที่ 3 เป็นนางจิ้งจอกน้อยจริงๆ
เยี่ยหลินลุกขึ้นจากพื้นอย่างสั่นเทาทั้งกรีดร้องทั้งพึมพำราวกับคนเสียสติ "มีผี..ผี..ผี" พลางเดินสะดุดล้มหกคะเมนออกไปจากลานบ้าน
เยี่ยอวิ๋นค่อย ๆ เดินตามหลังพวกเขาไปอย่างไม่รีบร้อนนางเดินไปถึงต้นไม้ใหญ่ข้างกำแพงร่างบางก็กระโดดขึ้นไปและมองดู บนถนนใหญ่ ผู้คนเดินขวักไขว่
เยี่ยอวิ๋นกระแอมเบาๆจากนั้นก็ยกมือขึ้นแล้วตะโกนเสียงดัง "มาดูกันเร็ว คุณหนูสามแห่งจวนติ้งอันโหววิ่งเปลือยกลางถนนแล้ว! กุลสตรีผิวขาวนวลรูปร่างงดงามไม่สวยไม่คิดเงิน!”
บนถนนจู่ๆ ก็มีหญิงบ้าไม่ใส่เสื้อผ้าโผล่ออกมา ทำให้คนเดินถนนตกใจพากันหยุดยืนมอง ตอนนี้เมื่อได้ยินคำพูดของเยี่ยอวิ๋น ยิ่งทำให้ผู้คนอยากรู้อยากเห็น ผู้คนเริ่มเดินมามุงดูมากขึ้นเรื่อยๆ รายล้อมเยี่ยหลินเอาไว้กลางถนน มองจากทุกทิศทุกทางแบบสามร้อยหกสิบองศาไม่มีจุดบอด พร้อมวิจารณ์กันไม่หยุด
"โอ้ว..หญิงบ้าคนนี้หน้าตาไม่เลวเลยรูปร่างดีจริง ๆ น่าเสียดายที่สมองไม่ดีแต่ข้ามีน้องชายปัญญาไม่สมประกอบอยู่คนหนึ่ง อายุสามสิบกว่าแล้วยังไม่ได้แต่งงาน เก็บนางกลับไปคงเข้ากันได้พอดี?"
"เฮ้ คิดไปได้! เจ้าไม่ได้ยินที่คนเมื่อกี้พูดหรือไง? นี่คือคุณหนูสามแห่งจวนติ้งอันโหวนะ ถึงจะเป็นคนโง่ แต่จะให้น้องชายเจ้าได้ยังไง?”
"หา? เป็นไปได้ยังไง?ข้าได้ยินมาว่าคุณหนูใหญ่บุตรอดีตโหวไม่ใช่เหรอที่เป็นคนไร้ความสามารถ และคุณหนูรอง คุณหนูสาม คุณหนูสี่ไม่ใช่เหรอที่ว่ามีพลังลมปราณดีมาก? แล้วเหตุใดนางถึงเป็นคนบ้า? แถมยังวิ่งเปลือยกลางถนน?"
"แต่ดูเหมือนนี่จะเป็นคุณหนูสามเยี่ยจริง ๆ นะ...."
"อะไรนะ? เจ้าไม่ได้ดูผิดใช่ไหม?”
"ข้าไม่มีทางดูผิดหรอก! ลุงของข้ามีเพื่อนบ้านที่มีป้าใหญ่ที่มีหลานชายคนที่สองที่มีเพื่อนร่วมงานที่มีลุงใหญ่...ทํางานเป็นองครักษ์ที่จวนของติ้งอันโหวข้าจะะจำผิดได้ยังไง? นี่คือคุณหนูสามตระกูลเยี่ย!”
"เป็นนางจริง ๆหรือ? ทำไมกุลสตรีจากตระกูลใหญ่ถึงต้องวิ่งเปลือยเล่า?"
"ข้าจะรู้ได้ยังไง?"
"ฮิฮิ ได้ยินมาว่า คุณหนูบางคนจากตระกูลร่ำรวยมีนิสัยชอบความต่ำทราม มีความชอบแปลก ๆ ไม่เพียงแต่ชอบวิ่งเปลือย ยังชอบให้คนตีด้วยว่ากันว่ายังมีคนชอบกินอึ...ความชอบวิปริต คนธรรมดาเข้าใจไม่ได้หรอก..."
"เฮ้ย อย่าพูดอีกเลยข้าจะอ้วก โลกนี้ช่างเสื่อมทราม...."
หลังจากเยี่ยอวิ๋นตะโกนจบ นางก็แอบหลบเข้าไปบนต้นไม้ ไม่มีใครสังเกตเห็นว่าบนต้นไม้ข้างกำแพงประตูใหญ่ของจวนติ้งอันโหวจะมีเด็กสาวคนหนึ่งนั่งเท้าคางอยู่บนนั้นและกำลังนั่งฟังอย่างเพลิดเพลิน
"จึ๊! จึ! เมืองหลิงเทียนแห่งนี้แม้จะมีผู้ฝึกยุทธ์ที่เป็นกำลังแข็งแกร่ง ระดับการบ่มเพาะพลังก็มีมากจริงๆ แม้แต่ลุง ๆ บนถนนยังมีความรู้มาก แม้แต่เรื่องมีคนชอบกินอึก็ยังรู้..."
เยี่ยหลินเหมือนจะได้สติกลับมา
นางนั่งอยู่บนพื้น ลืมตาขึ้นมาอย่างงัวเงีย ไม่นานนักนางก็พบว่าตัวเองไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ถึงได้ออกมาอยู่บนถนนใหญ่ และยังเปลือยกายไม่มีอะไรปกปิดอีกด้วย ถูกผู้คนมากมายล้อมไว้กลางถนน มองนางจากทุกทิศทาง
เยี่ยหลินกรีดร้องออกมาทันที ใช้มือพยายามปิดบัง แต่น่าเสียดายปิดด้านบนก็ปิดด้านล่างไม่ได้ นางอับอายจนแทบอยากตาย ตะโกนว่า: "พวกแกทำอะไรกัน? ไอ้พวกวิปริต! ไปให้หมด ไปให้พ้น!”
เยี่ยหลินทั้งกรีดร้องทั้งพยายามแหวกฝูงชนออกไป วิ่งสะดุดล้มไปตลอดทางเมื่อวิ่งมาถึงหัวมุม เท้าอ่อนแรงจนเกือบล้มคะมำหน้าฟาดพื้นฝูงชนที่มามุงดูยังคงวิพากษ์วิจารณ์อยู่ข้างหลัง
"เอ๊ะ? อย่าเพิ่งไปสิข้ายังดูไม่พอเลย! ไม่ใช่ชอบให้คนอื่นมองหรอกเหรอ?”
"เฮ้ย พวกเจ้าไม่ได้ยินที่นางพูดเมื่อสักครู่เหรอ? กล้าบอกว่าพวกเราวิปริต? ใครกันแน่ที่วิปริต?”
เมื่อเห็นตัวเอกวิ่งหนีไปแล้ว ไม่มีเรื่องสนุกให้ดูอีก เยี่ยอวิ๋นก็รู้สึกเบื่อ ร่างบางกระโดดลงมาจากต้นไม้ปัดฝุ่นที่มือเตรียมตัวกลับเรือน
ในขณะที่กำลังจะก้าวเข้าออกไปร่างบางก็ชะงักฝีเท้า คิ้วโก่งขมวดเข้าหากันเล็กน้อยจากนั้นก็พึมพำ
"แปลกจัง รู้สึกเหมือนมีคนกำลังมองเราอยู่?"
นางหันกลับไปมองรอบๆ แต่ไม่พบสิ่งผิดปกติใดๆ ขณะที่กำลังจะหันกลับไป จู่ๆ ก็รู้สึกถึงพลังกดดัน อันแรงกล้ารายล้อมเข้ามาเยี่ยอวิ๋นพลันหัวใจสั่นสะท้าน
ในพริบตาต่อมา ชายคนหนึ่งสวมเสื้อคลุมยาวสีดำปักด้วยดิ้นทองคำก็ได้ปรากฏตัวออกมาจากหัวมุม เขาสวมหน้ากากสีเงินขาว ปิดบังคิ้วและดวงตา เผยให้เห็นเพียงโครงหน้าส่วนล่างที่สมบูรณ์แบบ ผมยาวสีดำถูกเกล้าเอาไว้ตรงกลางศีรษะแล้วปักปิ่นหยกหนึ่งอัน ริมฝีปากบางเย็นชายกขึ้นเล็กน้อย แสดงออกถึงความเจ้าเล่ห์บางอย่าง
เพียงแค่ใบหน้าครึ่งล่างและผิวขาวที่เผยออกมา ก็เพียงพอที่จะทำให้ผู้คนคิดไปไกล อดไม่ได้ที่จะเดาว่า ใบหน้าที่อยู่ใต้หน้ากากครึ่งบนนั้น จะเป็น*จวิ้นอี้ชูเฉิน (俊逸 (Jùn Yì)จวิ้นอี้ หล่อเหลา สง่างาม โดดเด่น หมายถึง มีรูปลักษณ์ที่งดงามเหนือกว่าคนทั่วไป มีบุคลิกที่สง่าผ่าเผย 出塵 (Chū Chén)ชูเฉิน หลุดพ้นจากฝุ่นธุลี (ทางโลก) หมายถึง มีอร่าที่บริสุทธิ์, ดูดีมีระดับ, ไม่แปดเปื้อนสิ่งทางโลก, ราวกับเป็นเซียนหรือเทพเจ้าที่มาจากสวรรค์) ที่งดงามและดึงดูดใจเพียงใด
สายตาที่เต็มไปด้วยความสนใจของเขาตกลงบนตัวของเยี่ยอวิ๋นสายตานั้นคมกริบและดุดันเกินไป ทำให้คนรู้สึกสั่นสะท้านโดยไม่รู้ตัวเยี่ยอวิ๋นรู้สึกถึงอันตรายโดยสัญชาตญาณ
แม้ว่าพลังเทพเซียนของนางจะผ่านการบ่มเพาะและบำเพ็ญมายาวนานและสำหรับเทพธิดาเผ่าโอสถแล้วนั้นก็ยังอ่อนกว่าบรรดาพวกฝึกพลังยุทธ์ที่ผ่านการบ่มเพาะและฝึกบำเพ็ญเซียนมานานนับพันปีเช่นนี้
ถึงแม้ตอนนี้ร่างกายของเจ้าของร่างต่างก็เต็มไปด้วยพิษมาเป็นระยะเวลาหลายปีขาดการบำรุงรักษา ทั้งอ่อนแอและไม่เหมือนแต่ก่อน แต่นางก็ยังมีความสามารถมากกว่าคนธรรมดาที่อยู่ในระดับการบ่มเพาะระดับปฐพีและระดับผู้ฝึกยุทธ์ปฐพีขั้นสูงได้ แต่คนที่สามารถทำให้นาง
รู้สึกถึงอันตรายได้ จะต้องเป็นผู้แข็งแกร่งที่ไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน เยี่ยอวิ๋นเงยหน้าขึ้น มองชายคนนั้นอย่างเย็นชา "ดูพอหรือยัง?"
ชายคนนั้นสะบัดแขนเสื้อแล้วยกมือไพล่หลังเชิดคางขึ้นเล็กน้อยเอ่ยเสียงราบเรียบออกมา "ยังไม่พอ"
เขายังคงจ้องมองนางอยู่เช่นนั้น ก่อนนี้ผู้คนในเมืองหลวงเล่าขานกันว่า คุณหนูใหญ่บุตรีอดีตติ้งอันโหวนั้นเป็นเพียงคนอ่อนแอไร้ความสามารถ ไร้ประโยชน์ แต่ดูเหมือนว่าความจริงกับข่าวลือ จะแตกต่างกันมาก...
คุณหนูใหญ่คนนี้ ชัดเจนว่าใช้คาถาลับบางอย่างควบคุมผู้หญิงคนนั้นพลังเทพแข็งแกร่งขนาดนี้ ไม่ น่าจะเป็นคนไร้ประโยชน์ยิ่งไปกว่านั้น นางยังดูเป็นคนเจ้าเล่ห์และมีเล่ห์เหลี่ยมอยู่ในตัวมากพอเพียงแค่ปกปิดเอาไว้เท่านั้น...
เหมยกุ้ยฮวาที่มีหนามแหลม แม้จะยังไม่บานเต็มที่ แต่ก็ทำให้เขาไม่อาจละสายตาไปได้
เยี่ยอวิ๋นเห็นว่าเขาดูเหมือนไม่มีเจตนาร้าย นางจึงแค่นเสียงเย็นๆและเอ่ยอย่างไม่แยแส "ถ้ายังดูไม่พอ ก็ยืนดูไปเรื่อยๆเถอะ พี่สาวไม่อยู่ให้เป็นเพื่อนแล้ว!"
ชายคนนั้นมองแผ่นหลังของนาง ใบหน้าที่ปกติเย็นชาราวกับน้ำแข็ง แสดงรอยยิ้มออกมาอย่างหาได้ยาก
"เป็นนางจิ้งจอกน้อยจริงๆ ..."
เยี่ยอวิ๋นก้าวเท้าเข้าประตูเรือนนางก็เห็นข้าวของที่พวกสาวรับใช้ของเยี่ยหลินขนออกมาจากห้องของนางเมื่อครู่ ถูกทิ้งไว้อย่างไม่เป็นระเบียบบนพื้น
นางขมวดคิ้ว "รักษาความสะอาดบ้างไหม? กล้าทิ้งของเกลื่อนกลาดต้องมาเก็บกวาดกันใหม่อีก รู้งี้ให้พวกมันโดนตบหน้าอีกหลายร้อยครั้งก่อนไปก็คงจะดี!”
ในขณะนั้นเองไฉเว่ยได้สติกลับมาพุ่งเข้ามาที่เท้าของเยี่ยอวิ๋นทันที กอดขาของนางเอาไว้แล้วร่ำไห้ออกมา
"คุณหนูใหญ่ของข้า.... ท่านช่างตายอย่างไม่เป็นธรรม... สมแล้วที่วิญญาณไม่ไปผุดไปเกิด ยังมาปรากฏตัวไล่ตีพวกมันอยู่..."
.....
