ตอนที่4
ร้านชุดแต่งงานแบรนด์หรูที่เหล่าคนมีชื่อเสียงรวมถึงดารา นักแสดงเลือกสวมในวันสำคัญของตัวเอง ญาดาที่ได้เห็นชุดมากมายเรียงรายไม่ซ้ำแบบก็ยิ่งตาโตด้วยความตกใจ
“แม่ว่าชุดนี้เหมาะกับหนูหยกนะลูก เข้ากับผิวขาวๆ ของหนูด้วย” คุณหญิงจารุณีตามมาสมทบในการช่วยว่าที่ลูกสะใภ้เลือกชุดแต่งงาน
“ค่ะ ถ้าคุณแม่ว่าแบบนั้น” ญาดาที่ตามใจคนรอบข้างไม่เคยปฏิเสธใครได้เพราะกลัวจะทำให้อีกฝ่ายเสียน้ำใจ
“จ้ะ งั้นหนูไปลองก่อนนะ ส่วนเราตาภูลุกขึ้นเดี๋ยวนี้” ผู้เป็นแม่เปลี่ยนน้ำเสียงทันควันหลังจากญาดาเดินไปกับพนักงานเพื่อลองชุด น้ำเสียงที่ใช้กับลูกชายจอมรั้นช่างต่างกับที่คุยกับว่าที่ลูกสะใภ้เหลือเกิน
“ผมใส่ชุดไหนก็ได้ครับ” ภูวินก้มหน้ากดโทรศัพท์ไม่ได้ใส่ใจกับสิ่งที่ต้องทำมากนัก เขาแค่มีหน้าที่แต่งงานตามที่ครอบครัวต้องการ ไม่ได้คิดจริงจังกับญาดาเลยสักนิด
“ภู! แม่บอกให้ลุกขึ้น” น้ำเสียงเริ่มกดต่ำอีกครั้งเป็นการเตือนว่าเธอเริ่มมีน้ำโหเข้าแล้ว ปกติคุณจารุณีค่อนข้างใจเย็น แต่กับความดื้อของลูกชายทำให้เธอต้องเผยอีกด้านให้เห็น
“เฮ้อ! ชุดไหนครับ?” ภูวินยอมวางโทรศัพท์แล้วลุกเดินไปหาผู้เป็นแม่อย่างว่าง่าย
หนุ่มวัยยี่สิบหกที่ตัวสูงใหญ่ ร่างกายกำยำ แต่ก็ยังเกรงกลัวผู้เป็นแม่ไม่ต่างจากตอนเด็กๆ กับพ่อภูวินไม่เคยกลัวเลยเพราะรายนั้นนิสัยใจคอเหมือนเขาไม่มีผิดเพี้ยน ทว่ากับแม่เปรียบเสมือนผู้ที่ไม่มีใครกล้าท้าทายอำนาจ
ญาดาเดินสวนว่าที่เจ้าบ่าวออกมาด้วยชุดแต่งงานสีขาวงาช้าง แขนยาวระบายดูเข้ากับรูปร่างของเธอเป็นอย่างดี ผิวพรรณขับกับสีของชุดดูมีสง่าราศรี
“สวยมากเลยลูก นี่ขนาดแค่ลองเฉยๆ ยังสวยขนาดนี้” ว่าที่แม่สามีรีบยกโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายรูปเก็บไว้
“ก็เฉยๆ จะตื่นเต้นทำไมกัน” เสียงทุ้มบ่นอุบอิบอยู่ทางด้านหลังของหญิงสาว แน่นอนว่าแม่ของเขาไม่ได้ยินแต่ญาดาได้ยินชัดเต็มสองหู
“ภูมาตรงนี้สิลูก มายืนข้างๆ น้องเร็ว” ผู้เป็นแม่ลากแขนลูกชายให้มายืนเคียงข้างกับญาดาแล้วยกโทรศัพท์ขึ้นถ่ายรูปส่งให้สามีได้เห็นความเหมาะสมของคู่บ่าวสาว
“คุณพ่อตอบมาว่าเข้ากับพวกลูกมาก เห็นแล้วนึกถึงตัวเองตอนสาวๆ จังเลย” เพราะเคยผ่านประสบการณ์การเลือกชุดแต่งงานมาแล้วทำให้อดคิดถึงไม่ได้ แม้ในสมัยนั้นยังไม่ได้มีแบบให้เลือกมากมายเหมือนตอนนี้ก็ตาม
“อยากแต่งอีกรอบไหมล่ะครับ”
“ตาภู พูดอะไรก็ไม่รู้” คุณหญิงจารุณีทำเขินอาย ถึงให้แต่งงานใหม่เธอก็จะเลือกแต่งกับสามีคนเดิมที่อยู่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมาจะสามสิบปีแล้ว
“พี่ภูหล่อจังเลยค่ะ ดูเข้ากับชุดมากๆ” ญาดาที่เงียบอยู่นานเอ่ยชมว่าที่เจ้าบ่าวอย่างจริงใจ
“ฉันเข้ากับทุกชุดนั่นแหละ ต่อให้ไม่ใส่เสื้อผ้าก็ยังหล่อ” คนหลงตัวเองทำหน้าภาคภูมิใจในความหล่อเหลาที่ถูกชมมาตั้งแต่เด็กจนชินชาเสียแล้ว
“พี่ภูอยากแต่งงานกับหยกหรือเปล่าคะ” จู่ๆ คนตัวเล็กก็ถามขึ้นในช่วงที่แม่ของเขาไปคุยกับพนักงานเรื่องชุดที่ต้องแก้ไข
“ถามทำไม”
“แค่ถามดูค่ะ หยกอยากรู้เฉยๆ”
“เธออยากแต่งแล้วจะมาถามฉันทำไม ฉันแค่ทำตามที่พ่อแม่ต้องการเท่านั้นแหละ” คำตอบของภูวินทำเอารอยยิ้มสวยค่อยๆ จางหายไป
“แค่ทำตามคำสั่งของพวกท่านเหรอคะ?”
“อืม ทีนี้ก็เลิกถามสักทีฉันขี้เกียจตอบคำถามเธอแล้ว”
“ขอโทษค่ะ” ญาดาติดการขอโทษจนเป็นนิสัย เธอขอโทษทั้งที่ไม่รู้ว่าตัวเองทำผิดหรือเปล่า แต่เลือกที่จะขอโทษไว้ก่อน
“แต่บอกไว้ก่อนเลยนะว่าอย่าคาดหวังว่าฉันจะเป็นสามีที่ดีของเธอ และเธอก็อย่าทำตัวจู้จี้จุกจิกเกินพอดีเข้าใจไหม”
“ทราบแล้วค่ะ” ญาดาเงยหน้าขึ้นสบตากับคนตรงหน้าก่อนจะหลุบสายตาก้มมองพื้น
เธออยากแต่งงานกับเขาเพราะเชื่อมาตลอดว่าสักวันเขาจะหันมาสนใจเธอบ้าง เธอสัญญากับตัวเองว่าจะทำหน้าที่ภรรยาไม่ให้ขาดตกบกพร่องจนกว่าจะได้อยู่ในสายตาของเขา
ถึงวันที่หลายคนรอคอย งานแต่งถูกจัดขึ้นยิ่งใหญ่ไม่ให้เสียหน้าวงศ์ตระกูล เจ้าบ่าวเจ้าสาวยืนเคียงคู่ต้อนรับแขกที่ถูกเชิญให้มาร่วมเป็นสักขีพยานในครั้งนี้
“สวัสดีครับคุณลุง คุณป้า สบายดีไหมครับ” เสียงของแขกผู้มาใหม่เอ่ยทักทายพ่อแม่ของเจ้าบ่าวอย่างสนิทสนม
“ตาคิมไม่ได้เจอกันตั้งนาน” คุณหญิงจารุณีเข้าไปกอดเพื่อนสนิทของลูกชายที่หายหน้าหายตาไปนานเป็นปี
“ผมเพิ่งกลับจากญี่ปุ่นน่ะครับ พอได้ข่าวงานแต่งก็รีบมาทันทีเลย” คิมหันต์หรือคิมเพื่อนสนิทของภูวินตั้งแต่สมัยมัธยม ก่อนที่พ่อแม่ของเขาจะเสียครอบครัวของเขากับภูวินค่อนข้างสนิทกันมาก
คิมหันต์รับช่วงต่อกิจการของครอบครัวแทนผู้เป็นพ่อที่จากไปด้วยอุบัติเหตุพร้อมกับแม่ของเขาเมื่อหกปีก่อน ทำให้เขากลายเป็นนักธุรกิจตั้งแต่อายุยังน้อย คิมหันต์เป็นเพื่อนที่ภูวินสนิทที่สุด แม้จะไม่ได้เจอหน้ากันแต่ทั้งคู่ก็ยังพูดคุยกันอยู่เสมอ แต่ที่น่าแปลกใจคือภูวินไม่เคยพูดถึงเรื่องงานแต่งของตนเองเลย เขามารู้อีกทีคือวันที่ได้การ์ดเชิญเมื่อไม่นานมานี้
“ไงไอ้ภู” เป็นคำทักทายของเพื่อนที่สนิทกันมาหลายปี
“กว่าจะโผล่หัวมาได้นะ”
“ก็แกเล่นส่งการ์ดเชิญให้ฉันกระชั้นชิดขนาดนี้” คิมหันต์ส่ายหน้าเหนื่อยหน่ายกับนิสัยของเพื่อนที่มีเรื่องให้ปวดหัวได้ตลอด
“ไม่ใช่งานสำคัญอะไรนี่หวา” คำพูดของภูวินทำเอาคนข้างๆ หน้าหม่นลง
“เฮ้ยไอ้นี่พูดอะไรของแก”
“พูดความจริงไง”
“พอๆ ฉันไม่ฟังแกแล้ว...สวัสดีครับคุณ...” ชายหนุ่มเลิกสนใจเพื่อนสนิทแล้วหันไปทักทายหญิงสาวในชุดเจ้าสาว
“สวัสดีค่ะฉันญาดาค่ะ หรือจะเรียกหยกก็ได้ค่ะ” ญาดาแนะนำตัวเองอย่างเป็นมิตรเมื่อคนตรงหน้าดูไม่มีพิษมีภัย
” ผมคิมหันต์ครับ เป็นเพื่อนของไอ้ภูน่ะครับ”
“ยินดีที่ได้รู้จักนะคะคุณคิม...หยกเรียกว่าคุณคิมได้ใช่ไหมคะ” เสียงหวานพูดเบาหวิวกลัวเขาจะไม่พอใจที่เธอเรียกชื่อเขาสั้นๆ
“ได้สิครับ ดีซะอีกจะได้สนิทกันไวๆ” คิมหันต์ส่งยิ้มหวานให้เธออย่างนึกเอ็นดูก่อนที่จะนิ่งอึ้งไปเมื่ออีกฝ่ายยิ้มตอบกลับมา
เขาเพิ่งสังเกตชัดๆ ถึงได้เห็นว่าเจ้าสาวขอของงานสวยอย่างไร้ที่ติมากๆ ใบหน้ารูปไข่เข้ากับดวงตากลมโต จมูกโด่งสัดส่วนพอดี และริมฝีปากบางกระจับสวยจนไม่อาจละสายตาได้ แต่สุดท้ายก็ต้องดึงสติกลับเมื่อนึกขึ้นได้ว่าเธอคือภรรยาของเพื่อนสนิท
“ไอ้ภู แกไปเจอคุณหยกที่ไหนวะ” คิมหันต์กระซิบกระซาบถามเพื่อนให้ได้ยินกันแค่สองคน
“แกถามทำไม”
“คนสวยๆ แบบคุณหยกพลาดท่าไปเป็นของแกได้ไงวะ ทำไมฉันไม่เคยเจอเธอเลย” คิมหันต์รู้สึกเสียดายที่ไม่เคยเจอญาดาเลย การได้เจอกันวันนี้เป็นครั้งแรกระหว่างเขากับเธอ
“ลูกสาวเพื่อนสนิทคุณพ่อน่ะ นี่ฉันไม่เคยเล่าให้แกฟังเหรอ”
“ไม่เคย ถ้าเล่าฉันต้องจำได้สิว่ารอบตัวแกมีคนสวยขนาดนี้ “
” พูดซะเว่อร์ก็ไม่เห็นจะสวยอะไรขนาดนั้น” ภูวินหันไปมองญาดาด้วยสายตาเรียบเฉย เขาชอบคนที่มีความมั่นใจมากกว่านี้ และเขาไม่ชอบคนที่ดูนุ่มนิ่มแบบเธอ
“แบบนี้ไม่สวยแล้วแบบไหนสวยวะ”
“แบบไหนก็ได้ที่ไม่ใช่ผู้หญิงคนนี้ เหอะ!” สายตาที่มองญาดาไม่ได้มีความอ่อนโยนหรือความรักแต่อย่างใด
“อย่าบอกนะว่าโดนบังคับแต่งงาน” คิมหันต์เริ่มปะติดปะต่อเรื่องขึ้นได้จากการสังเกตอาการของเพื่อนที่ดูไม่ค่อยพอใจกับเจ้าสาวของตัวเองมากนัก
“ประมาณนั้นแหละ แต่อีกไม่นานก็คงหย่า”
“เฮ้ย! งานแต่งยังไม่ทันจะพ้นพูดถึงเรื่องหย่าซะแล้วไอ้นี่”
“ฉันก็แค่แต่งๆ ให้มันจบๆ ไป พ่อแม่จะได้เลิกวุ่นวายกับฉันสักที”
“ฉันเห็นพูดแบบนี้ตกม้าตายมาหลายรายแล้ว”
“ไม่เกินครึ่งปีหรอกแกรอเลย ฉันจะหย่าให้ดู” ภูวินเอ่ยอย่างมั่นอกมั่นใจโดยที่ไม่ได้สนใจหญิงสาวที่ยืนอยู่ข้างๆ
เธอได้ยินแทบทุกคำพูดจากปากเขา หัวใจดวงน้อยปวดหนึบจนรู้สึกเจ็บปวดกับสิ่งที่เขาพูดออกมา ญาดาไม่อยากทำตัวอ่อนแอให้เขาเห็น พยายามเสหน้ามองทางอื่นเพื่อฝืนกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหลออกมา พลางคิดในใจว่าการตัดสินใจแต่งงานครั้งนี้เธอจะผิดพลาดอย่างมหันต์
