ตอนที่1
บ้านหลังใหญ่ไม่ต่างจากคฤหาสน์มั่งคั่งไปด้วยเงินทองที่มาจากการทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่สืบทอดกันมารุ่นต่อรุ่นจนปัจจุบันเป็นของรุ่นพ่อที่เตรียมส่งต่อให้กับลูกชายในไม่ช้า
“ลูกๆ ของเราโตกันขนาดนี้แล้วเหรอเนี่ย” ภวัตเอ่ยขึ้นเมื่อสายตาพลันเห็นลูกชายของตนและลูกสาวของเพื่อนสนิทที่อายุห่างกันสามปี
“ก็ต้องโตสิ พวกเราอายุก็ไม่ใช่น้อยๆ แล้วนะ” ยุทธนาผู้เป็นเพื่อนตอบกลับอย่างขำๆ เขากับภวัตเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่มัธยมจวบจนปัจจุบัน ซึ่งตอนนี้ได้พ่วงตำแหน่งหุ้นส่วนทางธุรกิจไปด้วย
“ปีนี้หนูหยกอายุเท่าไหร่แล้วล่ะ”
“สิบขวบเอง เป็นรุ่นน้องตาภูสามปีน่ะ” ยุทธนาปรายตามองลูกสาว มองเลยไปยังภรรยาของตนและภรรยาของเพื่อนกำลังสนทนากันตามประสาแม่ๆ
“ฉันว่าฉันคิดอะไรดีๆ ออกแล้ว” จู่ๆ ภวัตที่เงียบไปครู่หนึ่งก็โพล่งขึ้นมาเมื่อคิดเรื่องดีๆ ได้
“อะไรล่ะไอ้เรื่องดีๆ ที่ว่าน่ะ”
“นายว่าถ้าในอนาคตลูกๆ ของเราแต่งงานกันจะเป็นยังไง”
“เฮ้ย! พูดอะไรเนี่ย ลูกสาวฉันเพิ่งจะสิบขวบเองนะ” ยุทธนาตกใจรีบคัดค้านความคิดของเพื่อนสนิททันควัน คนเป็นพ่อย่อมหวงลูกสาวเป็นเรื่องธรรมดา
“ฉันหมายถึงในอนาคต รอให้หนูหยกเรียนจบก่อนไง” ภวัตไม่ได้คิดอกุศลที่จะให้เด็กหญิงวัยสิบขวบแต่งงานกับลูกชายของตนเสียตั้งแต่ตอนนี้ เขากลับมองการณ์ไกลคิดถึงอนาคตเอาไว้ล่วงหน้า
“เรื่องนั้นอีกตั้งนาน กว่าจะถึงตอนนั้น ตาภูคงมีคนรักของตัวเองไปก่อนแล้ว นิสัยคงเจ้าชู้เหมือนพ่อ” ยุทธนาแกล้งค่อนแคะเพื่อนสนิทที่เมื่อก่อนเจ้าชู้คาสโนว่าตัวพ่อกว่าจะลงเอยกับภรรยาคนนี้ได้ทำเอาคนรอบข้างเหนื่อยไปด้วย
“ไอ้นี่! ฉันเลิกแล้วเว้ย ว่าแต่สนใจอยากเป็นทองแผ่นเดียวกันไหมล่ะ”
“มันเร็วเกินไปที่จะคิดเรื่องนั้นหรือเปล่า ฉันไม่อยากบังคับลูกด้วย” ยุทธนาเป็นห่วงจิตใจลูกสาว เขากลัวว่าการเห็นชอบกับความคิดของเพื่อนจะเป็นการบังคับลูกสาวเกินไป
“ก็แค่คิดๆ เอาไว้ ถ้าเราสองบ้านได้ดองกันมันก็ดีไม่ใช่หรือไง ยังไงธุรกิจของเราก็ต้องพึ่งพากันอยู่แล้ว”
“ขอไม่รับปากแล้วกัน ถ้าลูกสาวฉันไม่ได้รักไม่ได้ชอบลูกชายแกก็ช่วยไม่ได้นะ”
“แกคอยดูแล้วกัน” ภวัตค่อนข้างมั่นอกมั่นใจว่าในอนาคตเขาจะต้องได้หนูหยกหรือญาดาลูกสาวของเพื่อนสนิทมาเป็นสะใภ้ของตระกูลแน่นอน หากทุกอย่างเป็นไปตามที่เขาคิดไว้คงจะดีไม่น้อย
อีกมุมหนึ่งของบ้านหลังใหญ่ เด็กชายวัยสิบสามผู้ไม่สุงสิงกับใครเอาแต่นั่งอ่านหนังสือเงียบๆ ไม่พูดไม่จา ความที่เป็นลูกชายคนเดียวของตระกูลซึ่งในอนาคตจะต้องสืบทอดกิจการต่อจากผู้เป็นพ่อทำให้ภูวินวางตัวเป็นผู้ใหญ่กว่าเด็กวัยเดียวกันจนผู้เป็นแม่หนักใจไม่น้อย
“พี่ภูคะ” เสียงหวานเจื้อยแจ้วของหนูน้อยวัยสิบขวบวิ่งตรงดิ่งมาหาพี่ชายสุดหล่อที่เห็นหน้าค่าตามาตั้งแต่จำความได้
“อะไร?” ภูวินตอบกลับด้วยเสียงห้วนๆ เพราะไม่ชอบสนทนากับใครระหว่างกำลังอ่านหนังสือ
“หยกเอาขนมมาให้ค่ะ หยกช่วยคุณแม่ทำด้วยนะคะ” ญาดายื่นจานคุกกี้ที่ตั้งใจอบจนกลิ่นหอมกรุ่นมาให้กับพี่ชายสุดหล่อในสายตาของเธอ
“ฉันยังไม่ว่าง เอาวางไว้ตรงนั้นก่อน” ภูวินตอบปัดๆ แบบขอไปทีเพราะเวลาที่เขากำลังอ่านหนังสือจำเป็นต้องใช้สมาธิจึงไม่ค่อยชอบที่ญาดาเข้ามาจุ้นจ้าน
“งั้นหยกป้อนค่ะ อ้าม” เด็กหญิงวัยสิบขวบแสนซื่อส่งคุกกี้จ่อริมฝีปากของคนตรงหน้า
“ไม่อะ...อุบ” ยังไม่ทันได้ปฏิเสธคุกกี้ชิ้นใหญ่ก็ถูกยัดใส่ปากอย่างปฏิเสธไม่ได้
“อร่อยไหมคะ”
“อืม ก็ไม่แย่” ภูวินเคี้ยวแก้มตุ่ยส่งสายตามองคนตัวเล็กค้อนๆ ที่กล้ามายัดคุกกี้ชิ้นเบ้อเริ่มเข้าปากเขา แต่ก็ยอมกินจนได้เพราะไม่อยากคายทิ้งให้เสียของ ทว่าความจริงแล้วคุกกี้คือของโปรดที่เขาชอบมาตั้งแต่เด็กโดยเฉพาะคุกกี้ที่มาจากบ้านของเธอ
ญาดายิ้มกว้างจนเห็นฟันขาวเรียงสวยเมื่อได้เห็นอีกฝ่ายดูชอบคุกกี้ที่เธอตั้งใจช่วยแม่ทำมาให้ โชคดีที่แม่ของเธอเคยเปิดร้านขนมทว่าปัจจุบันนี้ได้ปิดตัวลงไปแล้วเพราะสุขภาพร่างกายของท่านไม่ค่อยแข็งแรง ญาดาเองก็มีความฝันที่อยากเปิดร้านเบเกอรี่ของตนเองในอนาคตเหมือนกัน
ภาพของเด็กหญิงที่กำลังป้อนขนมให้เด็กชายที่ตั้งอกตั้งใจอ่านหนังสือถูกบันทึกเก็บไว้ด้วยกล้องโทรศัพท์มือถือของภวัตที่พอใจกับภาพตรงหน้า เขาคาดหวังให้เด็กๆ ทั้งสองคนผูกพันกันเพื่อที่ในอนาคตทั้งคู่จะได้ลงเอยเป็นทองแผ่นเดียวกัน
“ภาพนี้ต้องได้ขึ้นฉายในงานแต่งของตาภูแน่ๆ” ผู้เป็นพ่อดูชอบอกชอบใจกับฝีมือการถ่ายรูปของตนเองไม่น้อย
“เด็กๆ เพิ่งจะอายุแค่นี้คิดไกลไปนู่น ไร้สาระจริงๆ เลยแกเนี่ย” ยุทธนาส่ายหน้าอย่างเอือมๆ เขาไม่คิดว่าเพื่อนจะจริงจังขนาดนี้ คิดว่าที่พูดมาแค่หยอกเล่นเท่านั้น
“อีกสิบปีแกเตรียมตัวเรียกค่าสินสอดได้เลย”
“ระดับนี้คงต้องหลักร้อยล้านแล้วแหละมั้ง” เมื่อเห็นเพื่อนดูจริงจังยุทธนาเลยแกล้งผสมโรงไปด้วย
“เรื่องเงินฉันไม่ติดอยู่แล้ว แต่แกรับปากแล้วนะว่าจะยกหนูหยกให้ตาภู”
“เฮ้ยๆ ฉันยังไม่ได้รับปากเลยนะ”
“ไม่รู้ไม่สนใจถือว่าแกรับปากแล้ว” สองเพื่อนสนิทวัยกลางคนเถียงกันยกใหญ่ก่อนที่ภรรยาของทั้งคู่จะเข้ามาห้ามปรามให้สงครามหยุดลง
“น้องหยกเราต้องกลับกันแล้วค่ะ มาสวัสดีคุณลุงก่อนค่ะลูก” ผู้เป็นแม่เรียกลูกสาวตัวเล็กที่เดินเคียงคู่มาพร้อมกับลูกชายเจ้าของบ้าน
“สวัสดีค่ะคุณลุง คุณป้า”
“จ้ะลูก แล้วมาเล่นที่บ้านป้าอีกนะคนสวย” ทั้งสามีและภรรยาก็ต่างพากันเอ็นดูหนูน้อยญาดากันหมด ทั้งน่ารัก แถมกิริยามารยาทยังเพียบพร้อม
“ถ้าคิดถึงพี่ภูเขาก็มาบ่อยๆ นะลูก พี่ภูเขาชอบเล่นกับหนูนะ”
“จริงเหรอคะคุณลุง” ญาดาทำหน้าไม่ค่อยเชื่อว่าภูวินชอบเล่นกับเธอ เพราะวันนี้มีแค่เธอที่ชวนเขาคุยส่วนเขามัวแต่ก้มหน้าอ่านหนังสือ
“จริงสิลูก เชื่อลุงได้เลย ไม่มีใครเหมาะกับภูวินเท่าหนูอีกแล้ว”
“คะ?” ญาดาเอียงคอถามด้วยความสงสัย เธอไม่เข้าใจที่คุณลุงต้องการจะสื่อ เด็กหญิงวัยเพียงแค่สิบขวบไม่ได้รู้เรื่องที่ผู้ใหญ่พูดคุยกัน
จากนั้นมาญาดามักจะได้ยินคำพูดของพวกผู้ใหญ่เกี่ยวกับตนเองและภูวินอยู่เสมอทำให้หนูน้อยวัยสิบขวบค่อยๆ ซึมซับว่าเธอคือคนที่เหมาะสมกับเขาที่สุด ทว่าภูวินกลับเมินเฉยไม่ได้สนใจคำพูดของพวกผู้ใหญ่เลยสักนิด
