บทที่เจ็ด จับเป็นตัวประกัน
แสงสุดท้ายของตะวันกำลังจางหายไป ท้องฟ้าเปลี่ยนเป็นสีส้มอมม่วง เงาของป่าเขาค่อย ๆ กลืนกินแสงสว่าง สร้างบรรยากาศอันน่าหวาดระแวงยิ่งขึ้น
แผนการขององค์ชายใหญ่หวางเสี่ยเฟิงดำเนินไปตามที่พระองค์วางไว้
เด็กชายตัวเล็กที่เป็นเหยื่อล่อเดินแบกตะกร้าไม้ใส่สมุนไพรและปลาตัวเล็ก ๆ เดินตามทางที่ลัดเลาะลงมาจากเชิงเขา ใบหน้าของเด็กน้อยเต็มไปด้วยความไร้เดียงสา ท่าทางไม่ระแวงสิ่งใดเลย
แต่ที่จริงแล้ว…ทุกฝีก้าวของเขา ล้วนตกอยู่ในสายตาของคนที่ซุ่มดูอยู่อย่างเหล่าทหารปฏิบัติการ
ก่อนหน้านี้ชาวบ้านในตลาด ร้านอาหาร และโรงเตี๊ยม ล้วนถูกกำชับให้พูดถึงเด็กชายคนนี้เสียงดังให้ได้ยินกันทั่ว
"วันนี้เจ้าลูกชายข้าขึ้นเขาไปคนเดียว กลับมาอีกทีก็ใกล้ค่ำแล้ว"
"เด็กนั่นเก่งนัก หาเห็ดป่ากับสมุนไพรได้เก่งกว่าใครเลยล่ะ!"
คำพูดเหล่านี้ถูกส่งต่อไปตามร้านค้าต่าง ๆ อย่างจงใจ พวกคนร้ายที่แฝงตัวอยู่คงได้ยินหากมีความโลภมากพอย่อมตกหลุมพรางเป็นแน่
ความจริงแล้วองค์ชายใหญ่ไม่ได้คิดว่าแผนการจะเห็นผลเร็วขนาดนี้ ทว่า…คงเป็นคนร้ายกลับโลภมากเกินไป พวกมันมิอาจต้านทานโอกาสเช่นนี้ได้
เพราะไม่นานพวกมันก็เผยตัวออกมา
ฟึบ!
ชายฉกรรจ์สามคนโผล่ออกมาจากพุ่มไม้ พวกมันสวมเสื้อผ้าสีทึบ ปกปิดใบหน้าด้วยผ้าคลุมดำ หนึ่งในนั้นตรงเข้าหาเด็กชาย มือหยาบกระชากตัวเด็กขึ้นอย่างไม่ปรานี
"อื้อ! ปล่อยข้านะ!" เด็กชายดิ้นรน แต่แรงของเด็กตัวเล็กไม่มีทางสู้พวกมันได้
ซวบ!
กระสอบหยาบถูกคลุมทับลงบนตัวเด็ก
พวกมันมิได้ลังเลเลยแม้แต่น้อย อุ้มกระสอบขึ้นพาดบ่า ก่อนรีบพาเด็กน้อยหนีหายไปทางป่า
ขณะที่ทุกอย่างเกิดขึ้นนั้น ทหารซึ่งซุ่มอยู่รอบๆ มิได้เคลื่อนไหวทันที
พวกเขารอ…รอให้พวกมันพาเด็กไปยังรังของพวกมัน
เพราะเป้าหมายของพวกเขาไม่ใช่เพียงแค่จับโจรสามคนนี้ แต่เป็นการทำลายขบวนการค้ามนุษย์ให้สิ้นซากสักที
จางจิ่วเม่ยมองทุกอย่างอยู่บริเวณห่างไกลจากบริเวณเกิดเหตุ เนื่องจากพื้นที่ปลอดภัยที่อนุญาติให้อยู่คือทางด้านกลุ่มทหารกำลังเสริมนั่นเอง
หัวใจของนางร้อนรนเหมือนไฟเผา
นางกำมือแน่นจนเล็บจิกลงในฝ่ามือ ความรู้สึกอัดแน่นในอก นางอยากจะกระโจนออกไปเพื่อช่วยเด็กน้อยคนนั้นแม้เห็นเพียงไกล ๆ เช่นนี้
แต่ก็ได้แต่คิดเพราะนี่คือแผนการจับโจรของพวกเขา หญิงสาวรู้ดี ตอนนี้นอกจากเฝ้ามองอยู่ที่ห่างไกลแล้วก็ได้เพียงแค่คิดกังวล จิตใจว้าวุ่นเท่านั้น
ผิงผิงจะอยู่ที่นั่นด้วยหรือไม่?
หากลูกสาวอยู่ที่นั่น ลูกน้อยจะเป็นอันตรายหรือไม่นะ
เวลาผ่านไปไม่นาน พวกโจรพาเด็กไปยังถ้ำรกร้างที่ตั้งอยู่ลึกเข้าไปในป่าแห่งหนึ่ง
นี่คงเป็นรังกลบดานของพวกมัน...ที่ซึ่งมีเด็กคนอื่นอาจถูกกักขังอยู่ภายใน
มือหนาของหัวหน้ากลุ่มปฏิบัติการยกขึ้นและนี่ก็คือสัญญาณของการเริ่มปฏิบัติการ
องค์ชายใหญ่ที่ซุ่มอยู่กับทหารของตนเอง แค่นยิ้มบาง ๆ ก่อนสะบัดพัดในมือ
“ได้เวลาแล้ว จัดการให้หมด…อย่าปล่อยให้ผู้ใดหนีรอดไปแม้แต่คนเดียว”
ซวบ! ซวบ!
เสียงฝีเท้าของทหารเรือนร้อยเคลื่อนตัว พวกเขากระจายกำลังกันล้อมถ้ำไว้ทุกด้าน
แสงคบเพลิงวูบไหวสะท้อนกับใบดาบและหอก ทุกอย่างเคลื่อนที่อย่างเป็นระบบ
ขณะที่ทหารเริ่มบุกเข้าไปในถ้ำ เสียงโห่ร้องของพวกโจรดังขึ้น!
"พวกเราถูกล้อม!"
"เป็นพวกทหาร"
เสียงการต่อสู้ปะทุขึ้นภายในถ้ำ เสียงกรีดร้อง เสียงอาวุธปะทะกันดังสะท้อนไปทั่วป่า
จางจิ่วเม่ยยืนตัวแข็งอยู่ด้านนอก หัวใจเต้นระรัว นางมิอาจห้ามความวิตกกังวลของตนเองได้
เสียงดาบกระทบกันดังขึ้นเรื่อย ๆ ทุกวินาทีที่ผ่านไปเป็นดั่งการลงทัณฑ์ต่อความอดทนของนาง
"ผิงผิงอยู่ข้างในหรือไม่...ผิงผิงลูกแม่อย่าเป็นอะไรไปเลย"
ทุกความคิดโหมกระหน่ำในใจของนาง
แล้วจู่ ๆ มีทหารนายหนึ่งรีบวิ่งออกมาจากปากถ้ำ!
เขาวิ่งตรงไปยังหัวหน้าของตนเองซึ่งคือองค์ชายหวางเสี่ยเฟิง ท่าทางของทหารหนุ่มตื่นตระหนก จางจิ่วเม่ยมองจากที่ไกล ๆ จับจ้องไปที่เงาร่างทหารคนนั้น มือของนางเย็นเฉียบ
ดูเหมือนเขากำลังรายงานบางเรื่อง...
พวกนางอยู่ไกลมากจึงไม่สามารถเห็นสีหน้าและได้ยินทำพูดของพวกเขาได้เลย