บทที่หก
ในยามที่ประตูจวนทางการเปิดออก กลุ่มคนจากเมืองหลวงนำโดยองค์ชายใหญ่หวางเสี่ยเฟิงก้าวออกมาอย่างสง่างาม
พระองค์เดินนำด้วยท่วงท่าราวกับมิได้ใส่ใจสิ่งใดในโลก ใบหน้าหล่อเหลากระจ่างภายใต้รอยยิ้มเย้ยหยัน ดวงตาของพระองค์เหยียดมองรอบด้านประหนึ่งว่าภารกิจนี้เป็นเพียงสิ่งไร้ความหมายในชีวิตอันแสนสำราญของพระองค์
และในเวลาเดียวกันนั้นเอง…
รถม้าคันไม่ใหญ่นักทว่าวัสดุที่ทำล้วนมองออกว่าเป็นวัสดุเนื้อดีราคาสูง กำลังแล่นเข้ามาจอดตรงหน้าประตูจวนทางการพอดี ฝุ่นจากถนนลอยคละคลุ้งขณะล้อไม้บดกับพื้นหิน
สตรีเจ้าของรถม้า ก้าวลงมาจากรถอย่างรีบร้อน
นางคือจางจิ่วเม่ย
ชั่วพริบตาแรก...เพียงแค่เสี้ยวเวลาแห่งการสวนทางกัน จางจิ่วเม่ยและองค์ชายใหญ่เกือบจะได้เห็นหน้ากันแล้วทว่าความบังเอิญที่แปลกประหลาด...ในตอนนั้นต่างคนต่างรีบร้อนจึงทำให้ต่างคนรีบเดินผ่านกันไป มองเห็นเพียงแค่ด้านข้างของกันและกันเท่านั้น
จางจิ่วเม่ยหันหลังกลับมามองแผ่นหลังของบุรุษในชุดขุนนางสูงศักดิ์ ดวงหน้าคมคายที่ทอดมองไปข้างหน้าแวบหนึ่ง…
กลิ่นไอจากอีกฝ่ายมันทำให้หญิงสาวรู้สึกคุ้นเคยอย่างน่าประหลาด
คุ้นเคยจนหัวใจเต้นระรัวแปลก ๆ
ราวกับว่านาง…เคยแผ่นหลังสูงส่งเช่นนี้มาก่อน
นางหยุดชะงักเล็กน้อยก่อนจะจ้องมองตามแผ่นหลังกว้างที่กำลังก้าวเดินห่างออกไปทุกทีทุกที
"คุณหนูเจ้าคะ…"
เสียงของสาวใช้ที่เดินตามหลังดังขึ้นเบา ๆ นางเหลือบตามองใบหน้าของเจ้านายสาวที่มีสีหน้าแปลกไป
สาวใช้กระซิบกระซาบด้วยท่าทีตื่นเต้น "คุณหนู...เขาคือใครกันเจ้าคะ ข้าไม่เคยเห็นบุรุษใดงามล้ำถึงเพียงนี้มาก่อน"
จางจิ่วเม่ยหลุดจากภวังค์ นางสะบัดศีรษะ "ไม่รู้สิ พวกเราอย่ามัวเสียเวลากับไร้สาระอยู่เลย"
เวลานี้นางไม่มีเวลาสนใจเรื่องใด เพราะผิงผิงลูกสาวของนางหายตัวไป!
ลูกน้อยของนางอาจตกอยู่ในอันตราย นางมิอาจปล่อยให้ตนเองวอกแวกกับเรื่องใดได้อีก
จางจิ่วเม่ยเร่งฝีเท้าเข้าสู่จวนทางการ
เมื่อกวาดตามองรอบด้าน นางก็พบท่านลุงเจ้าเมืองกำลังยืนสั่งการแก่เหล่านักปราบปฏิบัติการประจำเมืองอยู่
"ท่านลุง!" จางจิ่วเม่ยรีบตรงเข้าไปหา "ลูกสาวของข้าหายตัวไปเจ้าค่ะ ข้าต้องการมาขอความช่วยเหลือจากท่าน ว่าแต่...เหตุใดจวนทางการถึงได้เรียกเจ้าหน้าที่ทุกคนมารวมกันที่นี่ราวกับต้องเร่งเคลื่อนย้ายไปที่ใดเช่นนี้"
เจ้าเมืองเฒ่าถอนหายใจ ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความเคร่งเครียด
"มีคดีใหญ่เกิดขึ้นน่ะสิ"
เขาหันมามองจางจิ่วเม่ยอย่างจริงจัง ก่อนจะกล่าวเสียงขรึม
"มีคนร้ายจากเมืองหลวง หลบหนีมายังเมืองหลัวซาน พวกมันคือขบวนการลักพาตัวเด็ก เพื่อไปทำการค้าเด็กผิดกฎหมายน่ะ"
โลกของจางจิ่วเม่ยเหมือนหยุดหมุนไปชั่วขณะ
ลมหายใจของนางติดขัด ดวงตาเบิกกว้าง
ราวกับทุกอย่างกลายเป็นเสียงสะท้อนอันแผ่วเบาในโสตประสาท
มีคนร้ายคดีลักพาตัวเด็กหนีมาจากเมืองหลวง
หรือว่า...
ผิงผิงของนาง…
"ท่านลุง…" เสียงของนางสั่นเครือเล็กน้อย "ข้าขอร่วมออกไปจับคนร้ายด้วยเจ้าค่ะ!"
"จางจิ่วเม่ย!" เจ้าเมืองเฒ่าตกใจ "มันอันตราย! เจ้าเป็นสตรี..."
"อย่ามาอ้างเรื่องสตรีบุรุษกับข้าเลยเจ้าค่ะ" นางแค่นหัวเราะ "ท่านลุงก็น่าจะรู้ดีนี่เจ้าคะว่า หากท่านห้ามข้าจะฟังหรือไม่"
เจ้าเมืองเฒ่าชะงักไป… คำพูดของจางจิ่วเม่ยนั้นมิผิดเลยสักนิด
แม้พวกเขาไม่ได้เป็นญาติกันทางสายเลือดทว่าชายชรานั้นก็นับถือนายหญิงแห่งตระกูลอู๋จากใจจริงจึงมักไปมาหาสู่กับตระกูลอู๋จนเปรียบเสมือนญาติมิตรกัน ทำให้ชายชรารู้ว่า...
หญิงสาวผู้นี้ ต่อให้เขาห้ามนางก็มิอาจหยุดยั้งได้
จางจิ่วเม่ยมองไปที่เขาด้วยสายตาแน่วแน่ นางกัดริมฝีปาก ดวงตาฉายประกายดื้อรั้น
"ข้าต้องไปด้วยเจ้าค่ะ ลูกสาวของข้าหายตัวไปในช่วงเวลาเดียวกับที่เมืองของเรามีคนร้ายลอบเข้ามา ข้าไม่มีวันอยู่นิ่งรออยู่ที่นี่ได้หรอกเจ้าค่ะยิ่งคดีของพวกท่านอาจเกี่ยวกับลูกสาวของข้าด้วยแล้ว"
"เจ้า..."
"ต่อให้ท่านห้าม ข้าก็จะแอบตามไปด้วยตัวข้าเอง นั่นอาจเกิดอันตรายมากกว่ามิใช่หรือท่านลุง..."
เจ้าเมืองเฒ่าสบตาหญิงสาวตรงหน้า นางดื้อดึงกว่าที่เขาคิดไว้มาก
ในที่สุด...เขาก็ถอนหายใจยอมแพ้ "ก็ได้…แต่เจ้าต้องอยู่ภายใต้การดูแลของพวกข้า"
"ขอบพระคุณเจ้าค่ะ" จางจิ่วเม่ยค้อมศีรษะ แม้จะไม่มีเวลามาแสดงความขอบคุณอย่างเป็นทางการ แต่นางก็รู้ดีว่าเจ้าเมืองเฒ่าเอ็นดูนางมาตั้งแต่เล็ก
“หวังว่าข้าจะไม่โดนยายของเจ้ามาถอนหงอกหรอกนะ”
"ท่านลุงไม่ต้องกังวล ท่านยายของข้าไม่ว่าอะไรหรอกเจ้าค่ะ" จางจิ่วเม่ยกล่าวเสริม "เพราะหากข้ารออยู่เฉย ๆ นางต่างหากที่จะเป็นคนตำหนิข้าเองด้วยซ้ำ"
เจ้าเมืองเฒ่าแค่นหัวเราะเบา ๆ "เพราะนายหญิงแห่งตระกูลอู๋ก็เป็นคนดื้อดึงไม่ต่างจากเจ้าน่ะสิ"
"เจ้าค่ะ เช่นนั้นพวกเราไปเลยดีหรือไม่"
