บทที่สาม
“เจ้าค่ะ”
"คิดถึงและคงกลัวข้าลำบากถึงขนาดส่งรถม้าเก่าซอมซ่อเช่นนั้นเดินทางไกลมารับข้ากลับจวนเลยรึ"
แม่นมเฒ่ารู้ทันทีว่าหากนางกล่าวอะไรออกไป จะกลายเป็นคนที่ถูกระบายโทสะอีกครั้งดังนั้นปากคล้ำจึงพูดไม่ออกไปชั่วขณะ
ก่อนที่ร่างของนางจะยิ่งหวาดกลัวจนตัวสั่น เมื่อได้ยินประโยคถัดมาของหญิงสาว
"หากเจ้ายังไม่พูดความจริงอีก...ข้าจะให้เจ้าโขกศีรษะต่อ"
ดวงตาของแม่นมเฒ่าเบิกกว้างด้วยความหวาดหวั่น นางรีบคุกเข่าลงต่ำกว่าเดิม ร่างกายสั่นเทาไปหมด
"ข้า...ข้าน้อยบังอาจ... มิกล้าโป้ปดต่อไปแล้วเจ้าค่ะ! ความจริงก็คือ...ฮ่องเต้ทรงมีพระราชโองการลงมาที่จวนตระกูลจาง ให้เรียกตัวองค์หญิงบุญธรรมไปเข้าเฝ้าพระองค์โดยเร็วที่สุดเจ้าค่ะ"
บรรยากาศเงียบลงฉับพลัน
จางจิ่วเม่ยหรี่ตาลง
"ที่แท้ก็เพราะมีเหตุจำเป็น...จึงสร้างเรื่องทำดีกับข้านี่เอง" นางถอนหายใจยาว ก่อนเอ่ยเสียงเย้ยหยัน "สงสัยว่าท่านพ่อกับฮูหยินใหญ่ของข้านั้นลืมอดีตที่เคยทำไว้กับข้าแล้วกระมัง"
“...”
“ได้ ข้าจะกลับไปในอีกสองวัน”
จางจิ่วเม่ยแสยะยิ้มก่อนหันหลังเดินเข้าจวน โดยมิแม้แต่จะหันกลับไปมองแม่นมเฒ่าที่กำลังนั่งคุกเข่าตัวสั่นเทาอยู่เบื้องหลัง
ดวงตาของหญิงสาวเป็นประกายเย็นชา...
'หากพวกเขาคิดว่าข้ายังเป็นสตรีอ่อนแอยอมถูกจับโยนไปโยนมาเช่นในอดีต พวกเขาคิดผิดมหันต์'
ภายในจวนตระกูลอู๋ บรรยากาศในลานกว้างเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะของเหล่าเด็กน้อย
ลานแห่งนี้เป็นสนามสำหรับเล่นของคุณหนูน้อยผิงผิง วันนี้มีเพียงเด็กสี่คนวัยเดียวกัน และหญิงชราผู้หนึ่งที่มีเรือนผมขาวโพลน อู๋ชิวอิ่ง กำลังนั่งเอนตัวพิงเก้าอี้ หาวออกมาหลายครั้ง สายตาของนางเริ่มพร่ามัวเพราะเลยเวลานอนกลางวันไปมากแล้ว
สาวใช้คนหนึ่งที่คอยปรนนิบัติหญิงชราอยู่ตลอดรีบเข้ามาถามอย่างนอบน้อม
"นายหญิงเจ้าคะ จะเข้าห้องไปพักเลยหรือไม่เจ้าคะ"
อู๋ชิวอิ่งลังเลเล็กน้อย นางกวาดตามองรอบ ๆ ตอนนี้จางจิ่วเม่ย หลานสาวของนางยังไม่กลับจากการรับแขก นางไม่แน่ใจว่าเหตุใดแขกเหล่านั้นถึงใช้เวลานานเช่นนี้
"อืม... หลานสาวข้ายังไม่กลับ ข้าควรจะรอ..."
"นายหญิงเจ้าคะ..." สาวใช้กล่าวเสียงนุ่ม "คุณหนูคงใกล้กลับมาแล้ว อีกอย่าง...ที่นี่เป็นบ้านของเราเอง ไม่มีทางมีอันตรายมาทำร้ายเด็กทั้งสี่คนนี้ได้หรอกเจ้าค่ะ"
หญิงชราครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้า "อืม ก็จริง ข้าจะไปพักเสียหน่อย"
"เช่นนั้นบ่าวจะพาท่านเข้าไปพัก แล้วจะรีบออกมาเฝ้าคุณหนูน้อยต่อ ไม่ต้องเป็นห่วงนะเจ้าคะ"
อู๋ชิวอิ่งจึงยอมให้สาวใช้สองคนช่วยพยุงพานางเข้าเรือนไปพักผ่อน
ทางด้านเด็กทั้งสี่คนที่นั่งเล่นกับตัวไหมซึ่งเอามาจากโรงทอผ้าตระกูลอู๋ พวกนางเริ่มรู้สึกเบื่อหน่าย จึงเงยหน้ามองหน้ากัน ก่อนจะยิ้มออกมาอย่างรู้ทัน
"พวกเราเบื่อแล้ว หาการละเล่นอื่นกันเถอะ!"
"ซ่อนหาดีหรือไม่"
"ดี! ดี! ข้าอยากเล่นซ่อนหา"
"เช่นนั้นอาเซียวเป็นคนหา พวกเราทั้งหมดไปซ่อนกันเถอะ!"
เมื่อเด็กน้อยทั้งสี่คนตกลงกันได้ ก็เริ่มต้นเล่นซ่อนหา
"หนึ่ง...สอง...สาม..."
ผิงผิงเป็นเด็กชอบเอาชนะอย่างยิ่ง เด็กน้อยจึงรีบวิ่งไปหาที่ซ่อนทันทีที่สหายเริ่มนับ
"หึหึ! ข้าเป็นเจ้าของจวน ข้ารู้ทุกซอกทุกมุมของที่นี่ ไม่มีทางหาเจอแน่"
ความคิดซุกซนแล่นเข้ามาในหัวของเด็กหญิง เมื่อไม่นานมานี้ ผิงผิงเพิ่งเจอช่องหมารอดข้างหลังจวน ช่องเล็ก ๆ ที่พอให้ร่างเล็กของนางมุดผ่านไปได้
"คิก คิก เช่นนี้อาเซียวก็หาไม่เจอแล้ว"
ผิงผิงหัวเราะเบา ๆ อย่างตื่นเต้น ก่อนจะรีบวิ่งไปทางนั้นทันที โดยไม่รู้เลยว่าวันนี้...โชคชะตากำลังจะเล่นตลกกับเด็กน้อย
เมื่อผิงผิงรอดผ่านช่องกำแพงเล็ก ๆ ไปอยู่ข้างหลังนอกกำแพงจวนได้สำเร็จ นางคิดว่าตนเองฉลาดนัก ซ่อนตัวได้ดีที่สุดในบรรดาเด็กทั้งหมด
แต่ยังไม่ทันได้ยิ้มร่าดี
"อ๊ะ"
เงาดำบางอย่างเคลื่อนมาทางร่างเล็กอย่างรวดเร็ว
ก่อนที่เด็กน้อยจะทันรู้ตัว...
ผึง!
ถุงกระสอบใบใหญ่ถูกคลุมลงมาทับตัวนางเสียแล้ว
"!!"
"อื้อ อื้อออ"
ผิงผิงดิ้นรนสุดกำลัง มือน้อยสะบัดแขนและขาด้วยความตกใจสุดขีด แต่แรงของเด็กสี่หนาวมิอาจเทียบกับร่างสูงใหญ่ที่กำลังจับตัวเด็กน้อยได้
มือแข็งแรงของใครบางคนรวบตัวเด็กน้อยแน่น อุ้มขึ้นพาดบ่า ก่อนเร่งฝีเท้าจากไปในความเงียบงัน
"ปล่อยนะ! ปล่อย..."
"ช่วยผิงผิงด้วย"
เสียงของนางถูกกลืนไปในถุงกระสอบ เสียงหัวเราะของสหายที่ยังคงเล่นซ่อนหาอยู่ด้านในจวน ห่างไกลออกไปทุกที...
เด็กน้อยดิ้นรนเท่าไรก็ไม่อาจหลุดพ้น ไม่รู้ว่ากำลังถูกพาไปที่ไหนก็มิอาจคาดเดาได้
