ตอนที่ 1 หนีตาย
เสียงดนตรีดังคลอเบาๆ แสงไฟหลากสีสาดกระทบกับใบหน้าคมจัดของชายหนุ่มวัยสามสิบสอง ที่มาพร้อมกับรูปร่างสูงสง่าที่พกเสน่ห์และความมั่นใจมาเต็มเปี่ยม
กรวิชญ์ ศรัทธานนท์ ทายาทเจ้าของรีสอร์ตติดชายทะเลชื่อดังในจังหวัดท่องเที่ยวทางภาคใต้ที่ขึ้นชื่อ เขาเอนพิงพนักโซฟาหนัง ดวงตาคมกริบกวาดมองหญิงสาวในร้านเหมือนนักล่าที่เลือกเหยื่ออย่างใจเย็น
ริมฝีปากหยักยกยิ้มบางเมื่อสายตาปะทะเข้ากับหญิงสาวคนหนึ่ง ผมดำยาว ผิวขาวเนียนตัดกับชุดเดรสรัดรูปสีแดงเลือดนกที่แนบกับร่างทุกสัดส่วน เธอนั่งดื่มคนเดียวด้วยใบหน้าที่ดูเหมือนกำลังเบื่อหน่ายอะไรบางอย่างในชีวิต
“คืนนี้คงไม่ต้องนั่งเหงาแล้วสินะ” เขาพึมพำเสียงทุ้ม ก่อนจะเดินไปชนแก้วกับเธอ
“สวัสดีครับ” เสียงนุ่มทักทายขึ้นขณะที่เพลงเปลี่ยนเป็นจังหวะเบาๆ
“สวัสดีค่ะ” เธอชนแก้วกับเขาแล้วยิ้มหวานใส่
“มาคนเดียวใช่ไหมครับ ผมสังเกตอยู่พักหนึ่งแล้ว”
“ค่ะ” เธอพยักหน้ารับแล้วมองใบหน้าหล่อเหลากับชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวเรียบง่ายนั้น แต่หญิงสาวรู้จักแบรนด์นั้นดี แค่เสื้อเขาก็ตัวละหมื่นกว่าแล้ว เรียกได้ว่าเรียบแต่หรู
“ผมวิชญ์ครับ ส่วนคุณผมขอเดาว่าชื่อ...นางฟ้า”
มายาวีหัวเราะเบาๆ ดวงตาฉ่ำเย้ายวน “คุณนี่พูดเก่งไม่เบาเลยนะคะ ปากหวานดีจัง”
“จริงๆแล้วผมพูดไม่เก่งเลยครับ แต่ถ้าไม่พูดก็กลัวว่าจะไม่มีโอกาสได้รู้จักคุณ” เขาโน้มตัวเข้าใกล้จนลมหายใจอุ่นเฉียดข้างแก้มของเธอ
“มายาวีค่ะ เรียกว่าวีก็ได้”
“ผมเพิ่งมาที่นี่ครั้งแรก ไม่รู้ว่ามีที่ไหนน่าเที่ยวหรือเปล่า คุณวีพอจะแนะนำผมได้ไหมครับ” เขาพูดเสียงนุ่มทุ้ม แววตาจับจ้องสื่อความหมายว่าสนใจเธอมากกว่าการปรึกษาเรื่องสถานที่เที่ยว
“ว่าแล้วว่าคุณต้องไม่ใช่คนแถวนี้ ฉันไม่คุ้นหน้าเลย” เธอพูดแล้วยิ้ม สบตาเขาไม่ยอมลดละ
“ครับ”
“ฉันรู้จักอยู่ที่หนึ่งค่ะ วิวกลางคืนสวย ยิ่งตอนเช้านี่เห็นมุมที่พระอาทิตย์ขึ้นชัดมากเลยค่ะ”
“ที่ไหนครับ”
“ห้องฉันเอง สนใจไหมคะ” เธอเสนอขึ้นตามตรง เพราะรู้จุดประสงค์ที่เขาเข้ามาทักทายอยู่แล้ว
“ไปสิครับ” เขายิ้มกว้างที่เธอไม่อ้อมค้อม
ไม่นาน ทั้งคู่ก็พากันออกจากร้าน มุ่งตรงไปยังคอนโดหรูของมายาวี ร่างสูงของกรวิชญ์โอบเอวเธอแน่นตั้งแต่ในลิฟต์ ใบหน้าคมก้มลงกระซิบข้างหู
“ตัวคุณหอมจริงๆ” เสียงแหบพร่าชวนให้หัวใจเต้นแรง
เมื่อประตูห้องปิดลง เขาก็รวบตัวเธอเข้ามาจูบอย่างดุดัน มือใหญ่ไล่ไปตามแผ่นหลังเนียนราวกับกำลังจะกลืนกินทั้งตัว ริมฝีปากของทั้งสองบดเบียดกันอย่างดุดัน ต่างคนเหมือนกับว่ากำลังหิวโหยในความใคร่
ก่อนที่มือของเขาจะถอดชุดเดรสสีเข้มนั้นออกไปจากร่างที่เย้ายวน ทันใดนั้นก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้นขัดจังหวะ
ก๊อก ก๊อก ก๊อก! เสียงเคาะประตูดังลั่นจนทั้งคู่สะดุ้ง
“นายหัวเสมา” มายาวีหน้าถอดสี
กรวิชญ์ชะงักทันที แววตาเปลี่ยนจากร้อนแรงเป็นตื่นตกใจ
“นายหัวเสมา ใครเหรอ”
“ผัวฉันเอง” เธอกระซิบเสียงสั่น
“อะไรนะ! บ้าฉิบ” เขาสบถต่ำๆ ก่อนจะเหลือบมองไปทางหน้าต่างบานใหญ่ที่เปิดอยู่
“ทางเดียวแล้ว”
“นี่มันชั้นเจ็ดนะ” เธอรีบร้องเตือนเขา
เขาคว้าเสื้อเชิ้ตขึ้นมาใส่ลวกๆ แล้วรีบปีนออกทางหน้าต่างด้านหลังระเบียง เสียงคนเคาะประตูดังถี่ขึ้นตามมาด้วยเสียงชายโวยวายด้านนอก
“เปิดประตู มายาวี ฉันรู้นะว่ามีผู้ชายอยู่ในนั้น”
กรวิชญ์ปีนไปเหยียบบนตู้พัดลมแอร์ด้านนอก แล้วปีนไปจนถึงบันไดหนีไฟได้อย่างเฉียดฉิว ก่อนจะวิ่งพรวดลงไปที่ลานจอดรถ พยายามสตาร์ทรถของตัวเองแต่เครื่องไม่ยอมติด
“ให้ตายสิ!” เขาทุบพวงมาลัยอย่างหัวเสีย แล้วเห็นว่ามีคนกำลังวิ่งลงมาจากบันไดหนีไฟจำนวนสามคน
“ฉิบหายแล้ว” เขารีบลงจากรถแล้ววิ่งไปตามถนน
“มันอยู่นั่น ตามมันไป!” เสียงตะโกนของลูกน้องนายหัวเสมาดังขึ้น
กรวิชญ์สบถอีกครั้งก่อนจะวิ่งสุดแรงไปทางร้านสะดวกซื้อ เขาเห็นจักรยานคันหนึ่งจอดอยู่โดยไม่มีเจ้าของ มือรีบคว้ามันมาปั่นออกไปโดยไม่คิดชีวิต
ลูกน้องสองคนวิ่งไล่เขาอย่างไม่ลดละ ในขณะที่อีกคนกำลังวิ่งไปทางรถยนต์เพื่อที่จะขับไล่ตามมา
ลมหอบแรงๆ กระทบแก้ม เขาปั่นจักรยานลงทางลาดชันของถนนเส้นเล็ก เพราะไม่ใช่คนในพื้นที่จึงไม่รู้ว่าถนนเส้นนี้นั้นจะนำพาไปสู่เส้นทางที่มืดและลาดชัน
เสียงรถยนต์ด้านหลังดังลั่นตามมา
“เร็วเข้า อย่าให้มันหนี” ลูกน้องสองคนที่วิ่งตามในตอนแรกขึ้นไปอยู่บนรถยนต์คันนั้นแล้ว และกำลังชี้ทางให้รถยนต์ไล่ตามเขา
เขาหันไปมองเพียงเสี้ยววินาที รถยนต์คันนั้นก็แซงเข้ามาจี้ท้าย เสียงเบรกกะทันหันดังลั่น ก่อนที่ล้อจักรยานจะสะบัดแรง
โครม!! รถจักรยานตกลงไปข้างทาง กรวิชญ์เพิ่งจะรู้ว่าเนินนี้สูงมากก็ตอนที่เขากลิ้งลงไปหลายตลบ
เสียงเครื่องยนต์หายไป ร่างสูงใหญ่ของเขากระแทกเข้ากับต้นไม้ รู้สึกได้ถึงเลือดที่ซึมตรงขมับ กรวิชญ์พยายามขยับตัวแต่ไม่ไหว เปลือกตาหนักอึ้งก่อนที่สติจะดับวูบลงในความมืด
************************
เสียงจอแจของคนที่พูดคุยกันแว่วลอดเข้ามาในโสตประสาท ชายหนุ่มรู้สึกได้ถึงแสงแดดที่กำลังแยงทะลุเปลือกตา และพื้นไม้แข็งๆ ที่รองแผ่นหลังอยู่
กรวิชญ์ค่อยๆ ลืมตาขึ้น แสงจ้าบาดตาจนต้องหรี่ตา ก่อนภาพตรงหน้าจะเริ่มชัดเจนขึ้น
ใบหน้าของหญิงสาวคนหนึ่งอยู่ก้มลงมองเขา ใกล้จนสัมผัสได้ถึงลมหายใจ ผิวแทนเนียน ดวงตากลมโตที่ฉายแววเป็นห่วงแต่แฝงความระแวง ริมฝีปากได้รูปกำลังเม้มแน่น
“ฟื้นแล้วเหรอคุณ” เสียงนุ่มแต่เด็ดขาดถามขึ้น
ชายหนุ่มยังไม่ทันปรับสมองให้เข้ากับสถานการณ์ ดวงตาคมสบกับใบหน้างดงามตรงหน้าอย่างงุนงง คิดว่าหญิงสาวบ้านๆแบบนี้น่าดึงดูดดี แล้วจู่ๆ เขาก็แพ้เสียงในหัว ดึงร่างของเธอเข้ามากอดแน่น
“เฮ้ย! ปล่อยนะ คนบ้า”
เพียะ! เสียงด่าทอตามมาด้วยเสียงฝ่ามือตบดังสะท้อนทั่วแคร่ไม้
ตุลยาเบิกตากว้างทั้งโมโหทั้งตกใจ ก่อนจะผลักเขาออกเต็มแรง
“ช่วยไว้แท้ๆ ยังจะมาทำเรื่องหื่นใส่อีกเหรอ คนอะไรเนรคุณแบบนี้” เธอตวาดรัวๆ ดวงตาวาวกร้าว แก้มแดงขึ้นเพราะทั้งโกรธทั้งอาย
กรวิชญ์อ้าปากจะพูด แต่พอเห็นด้านหลังของเธอยังมีคนงานวัยรุ่นสองคนยืนมองอยู่ตาโต เขาก็รีบกุมหัวแสร้งทำหน้าเหยเกทันที
“ผม... ผมอยู่ที่ไหน” เสียงเขาอ่อนแรง สายตาสับสนอย่างแนบเนียน
ตุลยาชะงัก ดวงตาที่เคยแข็งกร้าวเริ่มมีแววลังเล
“พี่มายด์ ฉันว่าหมอนี่ไม่ปกติแน่เลย สงสัยจะหัวกระแทกหิน ความจำเสื่อมมั้ง” ไก่โต้งคนงานวัยสิบเก้าพูดขึ้นเบาๆ ตอนที่ไปเจอเขานอนสลบอยู่ใต้ต้นไม้ข้างสวน เลือดท่วมหัวคิดว่าจะไม่รอดแล้ว
“หรือไม่ก็สติไม่ดี” นรีผู้ช่วยคนสนิทของตุลยาพูดเสริมอย่างหวาดๆ
หญิงสาววัยสามสิบสามกอดอก มองชายหนุ่มตรงหน้าที่นอนอยู่บนแคร่ไม้ แต่หน้าตาหล่อเหลา แต่งตัวเหมือนนักท่องเที่ยวเกินกว่าจะเป็นโจรข้างทาง
“นายหัวแตกน่ะ ฉันพันแผลไว้แล้ว เดี๋ยวอนามัยเปิดจะพาไปทำแผลใหม่ ว่าแต่นายเป็นใคร มาจากไหน ทำไมถึงมาอยู่แถวนี้” เธอบอกเขาก่อนจะถามเสียงเรียบ
กรวิชญ์กำลังจะบอกเธอ แต่เมื่อนึกได้ว่าเมื่อคืนหนีตายจากการไปยุ่งกับเมียชาวบ้าน รถเขายังจอดไว้ที่ลานจอดรถ หากกลับไปเอาแล้วพวกนั้นซุ่มรออยู่ต้องซวยแน่ อีกทั้งเธอก็น่าสนใจไม่หยอก จึงอยากพักที่นี่สักพัก
“อื้อ ปวดหัว... ผมนึกอะไรไม่ออก” เขาเงยหน้าขึ้น ทำหน้าเศร้า ก่อนจะปล่อยศีรษะเอนลงกับแคร่ไม้ หลับตาแสร้งหมดสติอีกครั้ง
“เอาเถอะ ถ้าไม่ตายก็ดีแล้ว เดี๋ยวค่อยถามอีกที” ตุลยามองเขาอย่างระแวดระวังแต่ก็อดสงสารไม่ได้ หญิงสาวถอนหายใจออกมาอย่างหนักอก หันไปสั่งลูกน้อง
“เอารถกระบะมา พาไปตรวจที่อนามัยก่อน ถ้าเป็นอะไรหนักขึ้นมาก็ค่อยให้อนามัยส่งตัวไปโรงบาลเอง”
“ครับลูกพี่” วัยรุ่นทั้งสองพูดแล้วรีบไปทำตามคำสั่งของเจ้าของสวนมะพร้าวที่ตนทำงานอยู่อย่างเคร่งครัด
************************
