บทที่ 3 รอยร้าว
บทที่ 3 รอยร้าว
“ข้าเข้าใจแล้ว”
“เจ้าไม่เข้าใจหรอก เอาเป็นว่าทุกอย่างยังเหมือนเดิม”
ใบหน้าของไป๋อวิ๋นซูยกยิ้มราวกับไม่เชื่อคำนั้น
“หากท่านไม่รักข้าอีกต่อไป… ก็หย่ากับข้าเถิด” ถ้อยคำที่เปล่งออกมานั้น หนักแน่นอย่างที่นางไม่เคยคิดว่าตนจะกล้า
เป็นอีกครั้งที่เวินโหย่วหานถอนหายใจราวกับรำคาญ “เจ้าคิดว่าการหย่า... เป็นเรื่องง่ายดายนักหรือไงไป๋อวิ๋นซู” ไม่เพียงแค่คำพูดที่ทำร้ายจิตใจแต่สายตาของอีกฝ่ายก็ทำให้หญิงสาวหน้าชาอีกครั้ง
หัวใจของนางเหมือนถูกบีบจนแทบหายใจไม่ออก
จริงอยู่แม้การแต่งงานระหว่างนางและเขาจะเกิดขึ้นเพราะความรัก แต่อย่างไรสถานะของทั้งสองตระกูลที่โยงใยกันแน่นแฟ้นก็เป็นสิ่งที่มองข้ามได้ยาก ต่อให้นางอยากหย่าแล้วครอบครัวของนาง หรือครอบครัวของเขายอมให้นางตัดสะพานความสัมพันธ์ที่ได้ประโยชน์นี้หรือ ไป๋อวิ๋นซูหายใจเข้าลึก พยายามกล้ำกลืนความรู้สึกราวกับกลืนเข็มนับพันลงไปในท้อง พลางมองอีกฝ่ายด้วยสายตาตัดพ้อ
หากเขาไม่ยอมให้นางหย่า นางก็จะหาทางหย่าเอง หนังสือหย่าอย่างไรก็คงไม่ยากเกินความสามารถของนางหรอก
หากนางไม่อาจะเป็นเพียงสตรีหนึ่งเดียวในใจของอีกฝ่ายได้ นางก็ขอลาเสียดีกว่า ยอมเป็นผู้จากลาและเดินออกไปเพียงลำพัง ดีกว่าต้องอยู่แก่งแย่งชิงดีกับใคร
เช้าวันถัดมาไป๋อวิ๋นซูเดินตรวจดูความเรียบร้อยภายในจวนตามหน้าที่ของตน แม้ในใจจะขุ่นมัวแต่นางก็ไม่เคยละทิ้งสิ่งที่ต้องรับผิดชอบ
แต่ขณะเดินผ่านสวนเสียงหัวเราะแผ่วเบาที่ดังมาจากอีกมุมหนึ่งของศาลากลางสวนและนั่นก็ทำให้เท้าของหญิงสาวหยุดชะงัก
เมื่อหันไปมองก็เห็นเวินโหย่วหานยืนอยู่ใต้ต้นหลิวกับหลานซู ซึ่งตอนนี้อีกฝ่ายอยู่ในชุดผ้าไหมชั้นดีต่างกับตอนที่เพิ่งมาราวฟ้ากับเหว
ไป๋อวิ๋นซูมองภาพเหล่านั้นด้วยสายตาเย็นชา ใบหน้าหาได้แสดงอารมณ์ใด ๆ ไม่ แต่ถึงกระนั้นมือของนางก็เผลอยกขึ้นแตะอกของตนเองตรงจุดที่หัวใจเต้นช้าจนเหมือนกับจะหยุดลงเสียให้ได้
เวินโหย่วหานที่หันมาเห็นฮูหยินของตนก็ขยับตัวเดินเข้ามาหา ทั้งกำลังจะเอ่ยปากทักแต่ก็ชะงักเอาไว้ เพราะเขานึกถึงการสนทนาเมื่อคืนของเขาและอีกฝ่าย
คำพูดทักทายนั้นจึงถูกชายหนุ่มกลืนมันกลับลงไปเขาไม่ได้ก้าวเข้าไปหาไป๋อวิ๋นซูและไม่ได้พูดคำใดออกมา
ในเมื่อชายหนุ่มเลือกที่จะเงียบ ไป๋อวิ๋นซูก็ทำเช่นเดียวกัน บรรยากาศระหว่างทั้งสองเย็นเยียบประหนึ่งลมเหนือยามปลายฤดูเหมันต์
“พี่หญิง” หลานซูทักอีกฝ่ายพลางเดินก้าวเข้าไปหาไป๋อวิ๋นซูอย่างสดใสราวกับไม่รู้เรื่องความบาดหมางที่เกิดขึ้น
“พี่หญิงดูสิ ผีเสื้อพวกนี้สีแปลกตานัก ข้าไม่เคยเห็นเลยเจ้าค่ะ ปีกสีเขียวแซมน้ำเงิน ดูราวกับหยกถูกแกะสลักเป็นผีเสื้อ พี่หญิงอยากมาดูด้วยกันไหมเจ้าคะ”
ไป๋อวิ๋นซูเหลือบตามองผีเสื้อเพียงครู่ ก่อนหันกลับมาที่หญิงสาวตรงหน้า ทั้งแววตาและใบหน้าเรียบนิ่งไม่บ่งบอกอารมณ์ใด ๆ
“อย่างแรกข้ามิได้มีน้องสาว”
หลานซูชะงักไปชั่วครู่ ก่อนหัวเราะกลบเกลื่อน “เช่นนั้นให้ข้าเรียกท่านว่าเช่นไรดีเจ้าคะ”
“เรียกเหมือนที่ทุกคนเรียก”
เวินโหย่วหานขยับจะจัดการกับภรรยาตน แต่ก็เป็นหลานซูที่ดึงแขนเขาเอาไว้ มือที่จับแขนเวินโหย่วหานนั้นออกแรงบีบแน่นกว่าที่เห็น
“เช่นนั้นข้าเรียกท่านว่าฮูหยินเหมือนกับทุกคนนะเจ้าคะ”
“อือ”
แววตาต่อว่าจากเวินโหย่วหานถูกส่งให้ไป๋อวิ๋นซูแต่นางก็ไม่สนใจ
“ข้าขอตัวก่อนไม่อยากขัดความสุขใคร อีกอย่างข้าคิดว่า...อะไรแปลก ๆ ใหม่ ๆ ก็ย่อมดีกว่าของที่เคยเห็นทุกวันอยู่แล้ว... แต่ผีเสื้อที่เจ้าบอกว่าแปลกนั้นข้าเห็นมันทุกวัน และยามนี้ก็เริ่มเบื่อหน่ายเต็มทีแล้ว” หญิงสาวพูดพลางปรายตาไปทางสามีของตน
“ไป๋อวิ๋นซู” เวินโหย่วหานเรียกชื่อหญิงสาว แต่แทนที่นางจะหยุดกลับลอยหน้าใส่
“มีอะไรหรือเจ้าคะ” ท่าทางเช่นนั้นทำเอาเวินโหย่วหานทนไม่ไหวดึงแขนของหญิงสาวให้เดินไปด้วยกัน แต่ไป๋อวิ๋นซูกลับสะบัดออก
“ข้ามีเรื่องจะคุยกับเจ้า”
“แต่ข้าไม่มี”
“อวิ๋นซู”
“ข้าจำชื่อตนเองได้ มิจำเป็นต้องเรียกบ่อย ๆ “
หลานซูมองคนซ้ายทีขวาที ก่อนจะขอตัวจากไปจากตรงนั้นเงียบ ๆ แววตานางเปลี่ยนไปวูบหนึ่งก่อนจะยิ้มกลบเกลื่อน
“ข้าว่าข้า มีเรื่องต้องทำ ข้าไปก่อน ดีกว่า” หญิงสาวพูดติด ๆ ขัด ๆ และเมื่อเหลือแค่สองสามีภรรยาเจ้าของจวนความเงียบก็เข้ามาเยือนอีกครั้ง
“ทำไมเจ้าถึงทำตัวไร้เหตุผลเช่นนี้”
“ข้ายังไม่ได้ทำอะไรเลยนะเจ้าคะ” ถ้อยคำที่ดูไม่เหมือนเดิมทำไมเวิ่นโหยว่หานจะไม่รู้ เขาก็แค่ยังอธิบายเรื่องทุกอย่างยังไม่ได้ แต่ถ้ามันจะทำให้ชีวิตของเขาวุ่นวายขนาดนี้เขาคิดว่าหากบอกไปก็คงจะดีกว่า
“ที่จริงหลานซูนาง...”
“ไม่จำเป็นต้องบอกอะไรข้าหรอกเจ้าคะ ตอนนี้ข้าไม่อยากรู้อะไรแล้ว”
พูดจบไป๋อวิ๋นซูก็เดินออกจากตรงนั้น นางไม่ได้ตั้งใจทำตัวไร้เหตุผล แต่ทุกสิ่งที่นางทำก็เพื่อใช้เป็นเหตุผลต่างหาก
เพราะหากจะเดินออกจากจวนแห่งนี้ นางก็ต้องมีเหตุผลมาสนับสนุน ในเมื่ออีกฝ่ายไม่ได้ทำผิด เช่นนั้นแล้วนางยอมเป็นคนผิดก็ได้
ขอแค่มีสักหนึ่งข้อที่เข้าเงื่อนไขการหย่า นางก็สามารถเขียนหนังสือหย่าได้แล้ว จะใครเขียนก็คงไม่ต่างกัน
เวินโหย่วหานมองแผ่นหลังของไป๋อวิ๋นซูที่เดินห่างออกไป สีหน้าชายหนุ่มฉายแววไม่พอใจ หากแต่ลึกลงไปกลับมีบางอย่างคล้ายความลังเลเจืออยู่
ขณะที่เขาหันกลับมา หลานซูที่ปลีกตัวไปในคราแรกปรากฏตัวขี้น
“นาง… โกรธมากเลยหรือเจ้าคะ”
เวินโหย่วหานไม่ตอบในทันที แต่ถอนหายใจยาว “เจ้าจะพูดถึงนางทำไม”
หลานซูเม้มริมฝีปาก นัยน์ตาคู่นั้นวาววับขึ้นชั่วครู่ก่อนก้มหน้าลงต่ำ “ข้าเพียงรู้สึกผิด… ข้ามิได้ตั้งใจให้พี่หญิงเข้าใจผิด ว่าระหว่างเรามีสิ่งใดมากไปกว่านั้น…”
“นางก็เป็นเช่นนั้นเอง” เวินโหย่วหานเอ่ยเสียงแผ่ว แล้วเดินจากไป
คำพูดเพียงไม่กี่คำ แต่กลับเสียดแทงหัวใจของคนที่เพิ่งเดินพ้นระยะออกไป… เพราะไป๋อวิ๋นซูไม่ได้ไปไกลนัก นางได้ยินทั้งหมดอย่างชัดเจน
“นางก็เป็นเช่นนั้นเอง…”
ประโยคนี้ทำให้นางรู้สึกราวกับถูกตัดสิน ถูกตราหน้า ว่าตนเป็นเพียงหญิงงี่เง่าที่หึงหวงเกินกว่าเหตุ ทั้งที่ตลอดมานางไม่เคยเป็นคนโวยวาย นางอดทน รักษากิริยาต่อหน้าแขกเหรื่อทุกคนในจวน รักษาเกียรติของเขาแม้หัวใจของตนจะสั่นไหวแค่ไหนก็ตาม
แล้วเหตุใด เขาถึงเห็นเพียงด้านที่นาง แย่ เพียงด้านเดียว
