บทที่ 2 จุดเปลี่ยน
บทที่ 2 จุดเปลี่ยน
“บ่าวไม่เคยคิดเลยจริง ๆ ว่านายท่านจะตาต่ำถึงเพียงนี้” ชุนซื่อสาวใช้คนสนิทของไป๋อวิ๋นซูเอ่ยอย่างคับข้องใจขณะรินน้ำชาให้กับเจ้านายของตน
“รับสตรีที่ไหนก็ไม่รู้เข้ามาในจวนโดยไม่ปรึกษาฮูหยินเลยสักคำ…ทั้งยังจะให้นายหญิงของเราคอยดูแลนางอีก”
ไป๋อวิ๋นซูเหลือบตามองคนของตนราวกับตำหนิที่อีกฝ่ายพูดจาเช่นนั้นออกมา
“ถึงเขาจะผิดอย่างเจ้าว่า แต่ก็อย่าพูดจาล่วงเกินเขาเช่นนั้น” อย่างไรอีกฝ่ายก็เป็นเจ้าของจวน เป็นประมุขของตระกูลยามนี้
สาวใช้กัดปากน้อย ๆ อย่างไม่พอใจ แม้น้ำเสียงของไป๋อวิ๋นซูจะไม่แปรเปลี่ยน แต่แววตากลับไร้ประกายแห่งความสุขอย่างเช่นที่เคยมี
นางข้องใจว่าเพราะเหตุใดถึงได้เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น และใช่คำของชุนซื่อล้วนเป็นสิ่งที่นางก็คิด หากบอกว่านางไม่คิดเช่นนั้นด้วยก็คงนับว่าโกหก เพราะนางก็ไม่อาจเข้าใจสามีของตนได้เช่นเดียวกัน
วันนั้นสามีของนางที่ออกไปทำภารกิจที่ได้รับจากฮ่องเต้กลับมาที่จวนพร้อมกับหญิงสาวผู้หนึ่งในอาภรณ์ที่ดูไม่ได้มีค่ามีราคานักคราแรกนางคิดว่าอีกฝ่ายต้องการรับสาวใช้เพิ่ม แต่เมื่อได้ยินถ้อยคำที่ออกจากปากของเวินโหย่วหาน ใจของนางก็เหมือนถูกบีบรัดจากมือที่มองไม่เห็น
“นางชื่อ หลานซู ต่อไปจะมาอยู่ที่นี่ ข้าอยากให้เจ้าช่วยดูแลนางให้ดี อย่างไรเจ้าก็เป็นฮูหยินของจวนแห่งนี้” คำนั้นทำให้ไป๋อวิ๋นซูต้องกลืนน้ำลายลงคอที่แห้งผากของตน ไม่อยากตอบรับ และก็ไม่กล้าปฏิเสธ
นางพยายามไตร่ตรองว่าสตรีผู้นี้เข้ามาอยู่ในจวนด้วยฐานะใด แต่เพียงไม่นานก็พลันหน้าซีดเผือด เมื่อได้กลิ่นเครื่องหอมที่ลอยออกมาจากกายของอีกฝ่าย กลิ่นนั้นช่างคล้ายกับที่เคยติดอยู่บนตัวสามีของนางไม่ผิดเพี้ยน ความจริงที่คิดได้ราวกับน้ำเย็น ๆ ที่สาดมาที่ใบหน้าของนางที่ตอนนี้ขยับแทบจะไม่ได้ ไม่ใช่เพราะชาจนไร้ความรู้สึก แต่เพราะไม่รู้ว่าควรจะรู้สึกเช่นไรมากกว่า
บุรุษที่เคยเอ่ยคำสาบานว่าจะไม่มีสตรีอื่นใดนอกจากนาง…วันนี้กลับเป็นผู้นำหญิงอื่นเข้ามาในจวนด้วยตนเอง
“พวกเจ้าไปจัดเรือนพักรับรองให้แขก”
และต่อให้นางจะไม่อยากทำแต่สุดท้ายก็สั่งสาวใช้ให้จัดเรือนพักรับรองให้กับอีกฝ่าย สาวใช้และคนงานรับคำและกำลังจะเดินออกไปอยู่แล้วหากแต่มีเสียงของเวินโหย่วหานดังขึ้นเสียก่อน
“เจ้าให้พักเรือนในเลยก็ได้ นางจะอยู่อีกนาน” มือของไป๋อวิ๋นซูกำแน่น ใบหน้าเรียบนิ่งไร้รอยยิ้ม นางไม่ได้พูดอะไร ทำเพียงแค่พยักหน้าให้สาวใช้ทำตามคำของสามีก่อนที่ตัวนางจะเดินหันหลังกลับไปยังเรือนนอนของตนทามกลางเสียงซุบซิบนินทาของบรรดาสาวใช้และคนงาน ถ้อยคำหรือก็ล้วนไม่ต่างกันกับคำที่ชุนซื่อเอ่ยออกมา
คืนนั้นไป๋อวิ๋นซูเข้านอนตั้งแต่ยามซวี ไม่สนใจด้วยซ้ำว่าคืนนี้สามีของนางจะมาที่เรือนไหม ทั้ง ๆ ที่ปกติหากอีกฝ่ายไม่กลับมานางก็จะไม่นอน และทั้ง ๆ ที่เขามีเรือนนอนของตน แต่ไม่ว่าจะทำงานจนดึกดื่นเพียงใดก็มักจะมาหานางเสมอ
“เรื่องเช่นนั้นคงไม่มีอีกแล้ว” ไป๋อวิ๋นซูพูดกับตนเอง แต่ยังไม่ทันที่แสงโคมไฟในเรือนจะถูกดับ ร่างของเวินโหย่วหานก็ปรากฏขึ้น
“ทำไมวันนี้เจ้าเข้านอนเร็ว ไม่สบายอย่างนั้นหรือ” ถ้อยคำที่ดูห่วงใยทำให้หญิงสาวยิ่งรู้สึกอึดอัด
“เจ้าค่ะ ข้าไม่สบาย...ใจ” ไป๋อวิ๋นซูไม่ได้ปิดบังความรู้สึกอีกต่อไปในเมื่อตรงนี้ไม่ได้มีใครนอกจากนางและสามี
“เจ้าพูดเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร”
“แม่นางหลานซูท่านคิดจะให้นางอยู่ที่นี่ในฐานะอะไรกันแน่” เวินโหย่วหานอึกอักราวกับไม่อยากจะอธิบาย
“เจ้าไม่ต้องรู้หรอก ก็แค่ดูแลนางเหมือนกับน้องสาวคนหนึ่ง”
“เหอะน้องสาวหรือ ช่างเลือกใช้คำดีนัก แต่ข้าไม่มีน้องสาว”
“ไว้ข้าจะอธิบายให้เจ้าฟังเอง หากวันนี้เจ้าเหนื่อยก็นอนเถอะ”
“หากอยากอธิบายก็ทำเสียเดี๋ยวนี้ ไม่เช่นนั้นข้าก็ไม่คิดจะฟัง” เป็นอีกครั้งที่เวินโหย่วหานไม่ยอมพูด
“ที่ไม่พูดเพราะยังไม่รู้จะให้ตำแหน่งอะไรกับนางดี หรือว่ากลัวว่าจะผิดคำสัตย์ของตนจึงทำราวกับลักกินลอบกินเช่นนี้”
“เจ้าไปกันใหญ่แล้ว” เวินโหย่วหานพูดเสียงดังเพื่อกลบเสียงอีกฝ่าย
“ใช่ข้ามันไม่มีเหตุผล ข้าคนที่ใจเย็นมาตลอดกลับถูกท่านขึ้นเสียงใส่”
“เจ้าอย่าคิดมากเลย วันนี้คงคุยกันไม่รู้เรื่องแล้วเจ้านอนเถอะ วันนี้ข้าไม่กวนเจ้าแล้ว”
“ที่แท้ก็มาเพื่อบอกว่าจะไปที่อื่นใช่หรือไม่”
“เจ้าเลอะเลือนไปใหญ่แล้ว ข้ามาเพราะอยากจะดูว่าเจ้าหลับหรือยัง”
“ข้าจะหลับได้เช่นไร ในเมื่อท่านทำเรื่องให้ปวดใจเช่นนี้”
เวินโหย่วหานถอนหายใจ
“ล้วนเป็นเจ้าคิดมากไปเองทั้งนั้น”
“หากไม่มีอะไรจริง ๆ ก็บอกมาให้ชัดเจนสิ หากทำไม่ได้ ก็อย่ามาว่าหากข้าจะคิด” ไป๋อวิ๋นซูจ้องสามีของนางด้วยดวงตาที่แดงเรื่อ น้ำเสียงของนางเริ่มสั่นและดวงตาก็เริ่มมีน้ำใส ๆ คลออยู่
“เวินโหย่วหาน...” หญิงสาวเอ่ยชื่ออีกฝ่ายชัดเจนทุกถ้อยคำ “ข้าอยากรู้ ว่าคำสัตย์ที่เคยให้ไว้กับข้า ที่ท่านเคยบอกว่าจะไม่มีสตรีอื่น จะไม่มีอนุ...มันยังคงเป็นเช่นนั้นอยู่หรือไม่”
แต่แค่เพียงบุรุษตรงหน้านิ่งไปไป๋อวิ๋นซูก็เข้าใจความหมาย ความอึดอัดฉายชัดบนใบหน้าที่นางคุ้นเคย ริมฝีปากของชายหนุ่มขยับเพียงน้อย แต่ไร้คำใดเล็ดลอดออกมา
“คำสัตย์ของท่าน… เคยเป็นเหมือนผ้าคลุมไหล่ในคืนหนาว แต่วันนี้มันกลับเย็นชาและหลุดลุ่ย ไม่หลงเหลือแม้แต่ไออุ่น”
