บทที่ 1 ลมหายใจเดียวกัน
บทที่ 1 ลมหายใจเดียวกัน
เสียงพิณแว่วหวานดังแทรกสายลมยามเช้าขณะแสงแดดอ่อนลอดผ่านม่านไหมบางเบา ภายในเรือนนอนหลักกลางจวนเวินเวลานี้อบอวลไปด้วยกลิ่นดอกเหมยที่จัดวางไว้ในแจกันหยกอย่างประณีต
ไป๋อวิ๋นซูเอนกายอยู่บนตั่งไม้หอม มือเรียวบรรจงจัดดอกไม้ในกระถางเล็ก เสียงฝีเท้าหนักแน่นแผ่วเบาเดินเข้ามาจากด้านหลังบุรุษผู้หนึ่งในชุดคลุมยาวสีเข้ม ทอดสายตามองนางด้วยแววตาละมุนดั่งสายน้ำ
“ยังไม่นอนหรือ” เสียงทุ้มต่ำของเขาดังขึ้น ก่อนที่อ้อมแขนกว้างจะโอบไหล่นางไว้จากด้านหลัง
นางส่ายหน้าช้า ๆ แต่ไม่ได้ผลักเขาออก ดวงหน้างามแนบชิดอกเขาโดยไม่รู้ตัว
เขาไม่พูดอะไรต่อ เพียงเอาเสื้อนอกของตนคลุมบ่านางไว้ แล้วพานางเดินเข้าไปด้านในช้า ๆ
ภายใต้แสงตะเกียง เงาไฟสลัวทอดทาบลงบนผ้าม่าน เสียงหยกกระทบกันเบา ๆ เมื่อชายแขนเสื้อของทั้งสองแตะกัน
เวินโหย่วหานพานางนั่งลง แล้วก้มลงจัดหมอนหนุนให้นางอย่างแผ่วเบา มือหยาบกร้านของนักรบแตะข้างแก้มของอวิ๋นซูด้วยสัมผัสที่อ่อนโยนจนนางแทบกลั้นลมหายใจ
เขากระซิบเบา ๆ ข้างใบหูนาง “และข้าก็ไม่เคยคิด… ว่าจะรักใครได้เท่านี้”
หัวใจของไป๋อวิ๋นซูสั่นสะท้าน นางเคยได้ยินถ้อยคำหวานจากบุรุษมานักต่อนัก แต่คำที่ออกจากปากของเขากลับหนักแน่นจนหัวใจนางสะท้อน
“หากภรรยาของข้าเปลี่ยนเป็นดอกเหมย ข้าคงไม่มีแก่ใจไปดูดอกไหนในโลกอีกแล้ว”
เวินโหย่วหานเอ่ยด้วยน้ำเสียงกึ่งหยอกล้อ มืออุ่นสัมผัสเบา ๆ ที่ปลายผมของนางอย่างแผ่วเบา
นางหันมามองเขา ยิ้มละไมแต่ไม่ไร้ความเขินอาย “พูดจาเช่นนี้กับทุกสตรีหรือ“
“กับเจ้าเท่านั้น” เขาตอบไม่ลังเล ใบหน้าคมโน้มลงมาจุมพิตกลางหน้าผากนางอย่างอ่อนโยน
นับแต่วันแต่งงาน ทั้งสองแม้จะแต่งตามพระราชโองการ แต่กลับใช้ชีวิตเช่นคู่รักที่ตกลุมรักกันมานาน ทั้งคำพูด อ้อมกอด และเวลาร่วมกัน ล้วนทำให้อวิ๋นซูเผลอหลงใหลในความอบอุ่นที่ได้รับ
ยามค่ำ เขาจะกลับจวนตรงเวลาเสมอ แม้มีราชการหนักเพียงใดก็ไม่เคยปล่อยให้นางนอนเพียงลำพัง
มือของเขาจะคอยจับมือนางไว้ใต้ผ้าห่ม แม้เพียงลมหายใจก็แสดงถึงความห่วงใย
บางคืนเขาจะพิงนางไว้แนบอก แล้วกระซิบเล่าวันที่เหนื่อยล้ามาให้นางฟังด้วยเสียงต่ำ ๆ
“อยู่กับเจ้า ข้าไม่ต้องวางท่า ไม่ต้องถือดาบ เพียงได้กอด ก็เหมือนได้พัก”
ไป๋อวิ๋นซูไม่เคยรู้ว่า… ความรักจะอบอุ่นเช่นนี้มาก่อน
พวกเขาไม่ต้องการถ้อยคำมากมาย เพียงจุมพิตที่แนบแน่น เพียงอ้อมกอดที่ไม่คลาย และเสียงหัวใจที่เต้นเป็นจังหวะเดียวกัน ก็เพียงพอแล้ว
นางเชื่อว่าเขาคือผู้ชายที่ฟ้าลิขิตมาให้คู่กับนาง และนางหวังว่าจะมีชีวิตคู่กันนิรันดร์
แต่แล้ว… ห้วงเวลาที่หอมหวาน กลับกลายเป็นภาพในความทรงจำ เพราะไม่นานหลังจากนั้น ทุกสิ่งที่เคยมั่นใจ กลับค่อย ๆ แปรเปลี่ยน…
ไม่นานหลังจากนั้นสิ่งที่เคยแน่นแฟ้นขอบสามีภรรยากลับกลายเป็นเพียงเงาจาง ๆ ในใจ
เวินโหย่วหานเริ่มกลับจวนช้าลง จากเคยรีบกลับกลายเป็นเพียงให้บ่าวมาบอกว่า
ติดราชการ
ยามค่ำคืนที่เคยมีเสียงกระซิบกลับเหลือเพียงเสียงลมหายใจของนางเพียงลำพัง มือที่เคยกุมแน่นใต้ผ้าห่ม บัดนี้เหลือเพียงอุณหภูมิของเตียงเย็นว่างข้างกาย
ไป๋อวิ๋นซูเฝ้ามองความเปลี่ยนแปลงเหล่านั้นโดยไม่ปริปากถาม เพราะนางไม่อยากเป็นภรรยาที่จู้จี้
แต่ยิ่งเงียบ ความเจ็บปวดในใจก็ยิ่งลึกขึ้นทุกที
ยิ่งฝืนเชื่อว่าเป็นเพียงช่วงเวลายากลำบาก ก็ยิ่งหลอกตัวเองมากขึ้นเท่านั้น
กระทั่ง…คืนหนึ่งที่เขากลับมาในยามสาม
กลิ่นของน้ำมันหอมที่ไม่ใช่ของนาง กลิ่นเสื้อผ้าที่ไม่คุ้นเคย และสายตาที่หลบเลี่ยง
ไป๋อวิ๋นซูเฝ้ามองเขาที่นั่งปลดกระดุมเสื้อด้วยท่าทางเหนื่อยล้า และเอ่ยถามเพียงเบา ๆ
“ท่านกลับดึกอีกแล้ว…”
เวินโหย่วหานไม่ตอบ เพียงพยักหน้าเล็กน้อย และหันหลังให้นาง ขณะที่เขาหลับไปอย่างไม่ใส่ใจ นางกลับลืมตาโพลง นอนกอดตัวเองแน่น
สิ่งที่เคยเป็นบ้าน กลับกลายเป็นเพียงเรือนว่าง ๆ ที่ไม่มีที่ให้หัวใจพักพิงอีกต่อไป
ความรักที่เคยอบอุ่นดั่งแสงแดดยามเช้า
กลับกลายเป็นเพียงความเย็นเฉียบของยามค่ำ…ที่ไม่มีแม้แต่แสงจันทร์
