7
พี่เลี้ยงคนใหม่
“ฉันจะจ้างเธอให้มาดูแลลูกของฉันจนกว่าเธอจะหายดี ต้องการเงินเท่าไหร่ก็ว่ามา ไว้ให้ลูกน้องของฉันจัดการกับรายละเอียดการจ่ายเงินให้ทีหลัง”
หานเว่ยเฉิงเริ่มต้นบทสนทนา น้ำเสียงของเขาสงบนิ่งแต่เต็มไปด้วยอำนาจ
ซูเหยายังคงนิ่งฟังคำพูดของเขา แต่ท่าทีของเธอไม่ได้แสดงออกว่ากลัวหรือกังวลกับข้อเสนอใด ๆ
แต่เป้าหมายของเขาที่เรียกเธอมาคุยในตอนนี้ไม่ใช่เพื่อบอกเรื่องนี้เขามีสิ่งที่สำคัญกว่านั้นต่างหาก หานเว่ยเฉิงก้มหน้าลงจ้องเธอด้วยแววตาเคร่งขรึมยิ่งกว่าเก่า น้ำเสียงของเขายามเอ่ยประโยคต่อไปนี้ดูเข้มขึ้นอย่างน่ากลัว
"แล้วจำไว้อย่างหนึ่ง... ถ้าลูกสาวฉันเป็นอะไรไปในขณะที่เธอดูแล เธอไม่รอดแน่ และไม่ใช่แค่เธอ ครอบครัวของเธอด้วย ฉันจะจัดการทุกคนที่เกี่ยวข้องให้หมด"
บรรยากาศในห้องพลันเงียบลง เหมือนความมืดของห้องทำงานนี้กลืนกินทุกสิ่ง ซูเหยารับรู้ได้ถึงแรงกดดันของชายหนุ่มตรงหน้า แต่เธอไม่ได้สะทกสะท้าน เธอสูดหายใจลึกและเอ่ยคำพูดที่ทำให้หานเว่ยเฉิงแปลกใจออกมา
“เรื่องดูแลลูกของคุณฉันจะทำอย่างสุดความสามารถโดยที่คุณไม่ต้องมาขู่ฉันค่ะ อีกอย่างฉันไม่มีครอบครัวอีกแล้ว คุณขู่ไปฉันก็ไม่กลัวหรอก...”
ซูเหยาพูดเรียบนิ่ง สายตาของเธอจ้องเขากลับโดยไม่หลบ
“ที่จริงเป็นเพราะคุณส่งทหารกลุ่มใหญ่ไปที่บ้านหลี่ ไม่ว่ามันจะเป็นเรื่องจริงหรือไม่ แต่คนที่นั่นเห็นว่าฉันถูกพาตัวมาก็เท่ากับว่าฉันถูกจับไปแล้ว พวกเขากลัวถูกดึงไปเกี่ยวข้องมั้งก็เลยตัดขาดฉันออกจากครอบครัวบ้านหลี่ทันที”
หานเว่ยเฉิงนิ่งงันไปครู่หนึ่ง เขาไม่ได้คาดคิดว่าคำพูดของเธอจะตรงและเฉียบแหลมเช่นนี้ แววตาของเขาเปลี่ยนไปเล็กน้อย แต่เขากลับไม่แสดงความรู้สึกใดๆ นอกจากความนิ่งเฉย
“ถ้าเป็นแบบนั้นผมจะจัดการให้พวกเขายอมรับคุณกลับคืนสู่สกุลเอง”
เขาพูดอย่างไม่ใส่ใจเหมือนเรื่องนี้เป็นแค่ปัญหาเล็กๆ ที่เขาแก้ได้ง่ายดาย
แต่แน่นอนเรื่องออกมาจากสกุลหลี่นี่นับเป็นโชคดีอย่างที่สุดของเธอมีหรือจะยอมให้เขามาทำลายได้
“ไม่ต้องลำบากคุณหรอกค่ะ ฉันไม่สนใจคนพวกนั้นต่อไปแล้ว” เธอพูดด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาเล็กน้อย แต่ก็แฝงความมุ่นมั่นชัดเจน "ตอนนี้ฉันเลือกจะมีชีวิตใหม่แล้ว หากไม่ลำบากคุณมากช่วยให้สวัสดิการกับฉันคนนี้ดีดีก็พอแล้วค่ะ"
คำตอบของซูเหยาทำให้เขายิ่งประหลาดใจมากขึ้นไปอีก หานเว่ยเฉิงมองเธอด้วยแววตาที่เข้มข้น ความคิดของเขาเริ่มวนเวียนไม่ออกไปจากผู้หญิงนิสัยแปลกตรงหน้านี้ เขาไม่เคยพบผู้หญิงคนไหนที่ยินดีกับการที่ตนออกจากสกุลแบบนี้มาก่อน ความกล้าหาญและท่าทีที่ไม่ยอมแพ้ของเธอช่างแตกต่างจากผู้หญิงทั่วไปที่เขาเคยเจอ
“สิ่งที่ฉันต้องการจากคุณนอกจากเงินตอบแทนแล้ว ฉันต้องการที่พักด้วยค่ะ หากเป็นไปด้วยคุณช่วยนำฉันเข้าไปในสกุลธรรมดาสักสกุลหนึ่งเพื่อที่ฉันจะได้ทำการค้าหรืออะไรบางอย่างได้อย่างเปิดเผยในอนาคตหลังจากจบหน้าที่ดูแลลูกของคุณได้ ฉันขอเพียงเท่านี้ค่ะคงไม่เกินความสามารถของคุณหรอกนะคะ”
ซูเหยาพูดจบก็หาวออกมาหนึ่งวอดอย่างอดไม่ไหว ท่าทางเหนื่อยล้าจากการที่เธอนอนไปแค่นิดเดียวก่อนหน้านี้ หานเว่ยเฉิง
มองเธอด้วยความรู้สึกที่ยากจะอธิบาย เธอช่างขัดกับภาพลักษณ์ที่เขาคิดไว้ ใบหน้าสวยงามของเธอดูสะอาดและเย้ายวน แต่ท่าทีและนิสัยที่แข็งแกร่งนั้นทำให้เขารู้สึกถูกสะกิดในใจแบบที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน
"คุณไปพักก่อนที่จูจูจะตื่นเถอะ"
หานเว่ยเฉิงพูดเสียงเรียบแต่แฝงความเห็นใจที่เขาไม่ค่อยแสดงออกมา ซูเหยาพยักหน้าแล้วลุกขึ้นจากเก้าอี้ เดินออกจากห้องไปอย่างไม่รีบร้อน แม้วิญญาณจะเป็นอดีตสายลับแต่กายหยาบตอนนี้ก็เป็นแค่ผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้น ตอนนี้เธออยากโน้มตัวลงนอนบนเตียงนุ่มๆแทบทนไม่ไหวแล้ว
เช้าวันถัดมา ซูเหยาได้รับหน้าที่ดูแลเด็กน้อยหานจูอย่างจริงจัง เธอสังเกตเห็นได้ทันทีว่าเหตุใดเด็กคนนี้ถึงต้องการเธอมากกว่าหมอผู้หญิงที่หานเว่ยเฉิงจ้างมา แม้หมอจะเป็นผู้หญิงและอ่อนโยน แต่เพียงแค่หมอพยายามเข้าใกล้เตียงของจูจู เด็กน้อยก็เริ่มสั่นและถอยหลังหนีไปจนสุดเตียง ใบหน้าเล็กๆ เต็มไปด้วยความกลัว น้ำตาเริ่มคลอเบ้าและเริ่มร้องไห้ออกมาอย่างไม่มีเหตุผล
"ไม่! อย่าเข้ามา!"
จูจูร้องเสียงดังลั่น ขอบตาแดงก่ำ ขณะที่หมอพยายามปลอบโยนและเข้าหา เด็กน้อยกลับยิ่งถอยห่าง จนดูเหมือนว่ากำแพงแห่งความหวาดกลัวจะพุ่งขึ้นรอบตัวเธออย่างที่ไม่มีใครสามารถข้ามไปได้
ซูเหยาเฝ้าดูเหตุการณ์นี้ด้วยความเข้าใจและไม่แปลกใจเลย การที่จูจูกลัวคนอย่างหนักนั้นชัดเจนจากสิ่งที่เด็กคนหนึ่งเพิ่มเจอมา และซูเหยาคือข้อยกเว้นนั้น
"จูจู..." ซูเหยาเรียกเบาๆ แล้วเดินเข้ามาใกล้
ทันทีที่เด็กน้อยได้ยินเสียงของซูเหยา ความกลัวในดวงตาของเธอก็เริ่มจางหายไป เธอหันมามองซูเหยาและรีบวิ่งไปหาทันที พร้อมกับโผเข้าสู่อ้อมแขนของซูเหยา ราวกับว่าซูเหยาคือคนเดียวในโลกที่สามารถทำให้เธอรู้สึกปลอดภัยได้
"พี่ซูเหยา..."
จูจูซบหน้าเข้ากับเสื้อของซูเหยาอย่างอ้อนๆ ราวกับลูกแมวตัวน้อย ดวงตากลมโตที่เพิ่งมีน้ำตาเอ่อออกมากลับดูสว่างและสดใสขึ้นเมื่อได้อยู่ใกล้ซูเหยา เธอหันมามองหมอผู้หญิงที่ยืนอยู่ห่างๆ ด้วยท่าทางระแวดระวัง แต่ยังคงกอดซูเหยาแน่นไม่ยอมปล่อย
"ไม่ต้องกลัวนะ พี่อยู่ที่นี่" ซูเหยาพูดอย่างอ่อนโยน พร้อมลูบหลังเด็กน้อยเบาๆ
จูจูยิ่งกอดแน่นขึ้น ขณะที่หมอพยายามจะเข้ามาอีกครั้ง คราวนี้ซูเหยาเอ่ยขึ้นด้วยเสียงเพื่อปลอบเด็กน้อยและพยักหน้าให้สัญญาณหมอ
หมอพยักหน้าและค่อยๆ เข้ามาใกล้เพื่อเริ่มตรวจอาการ แต่ทุกอย่างกลับราบรื่นเกินคาด เพราะจูจูไม่ร้องไห้อีกแล้ว เพียงแค่มองหมอด้วยสายตาสงสัยแต่ไม่หวาดกลัว เมื่อมีซูเหยานั่งอยู่ข้างๆ เธอ
"ดีมาก เด็กดีของพี่"
ซูเหยากระซิบปลอบใจ จูจูเงยหน้าขึ้นมามองเธอพร้อมรอยยิ้มเล็กๆ ที่ทำให้ซูเหยารู้สึกใจอ่อนยวบ ดวงตาใสซื่อของจูจูสื่อถึงความไว้วางใจอย่างที่สุด เด็กน้อยดูเหมือนจะมีพลังพิเศษในการทำให้หัวใจแข็งแกร่งของซูเหยาสั่นไหว
"พี่ซูเหยา พี่ไม่ทิ้งหนูไปใช่ไหม" จูจูกระซิบถาม ขณะที่ยังคงกอดเธอไว้แน่น
"ไม่หรอก พี่จะอยู่ที่นี่จนกว่าหนูจะหายดีจ๊ะ"
ซูเหยาตอบเสียงนุ่มพร้อมยิ้มบางๆ พลางลูบหัวจูจูอย่างเอ็นดู ความน่ารักของเด็กคนนี้ทำให้หัวใจของซูเหยาที่เคยแข็งกระด้างจากประสบการณ์ชีวิตที่ผ่านมาอ่อนลงอย่างไม่รู้ตัว
จูจูยิ้มกว้างทันทีเมื่อได้ยินคำตอบของซูเหยา เธอขยับเข้าใกล้ซูเหยามากขึ้น คลอเคลียเหมือนลูกแมวที่ต้องการความอบอุ่น และเธอก็ซุกตัวอยู่ในอ้อมกอดนั้นอย่างสบายใจ
ซูเหยาอดไม่ได้ที่จะยิ้มบางๆ พลางคิดในใจอย่างอดไม่ได้
เด็กคนนี้...น่ารักเกินไปแล้ว
ความน่ารักขี้อ้อนของเด็กหญิงตัวน้อยทำให้เธออดที่จะเอ็นดูไม่ได้ แม้เธอจะรู้ว่าความผูกพันนี้อาจนำมาซึ่งปัญหาในอนาคต แต่เธอก็ไม่อาจปฏิเสธความรู้สึกอบอุ่นที่เกิดขึ้นในหัวใจได้
หลังจากที่เด็กน้อยหานจูหลับไปแล้ว ซูเหยากำลังนั่งคิดอะไรเพลินๆ อยู่ใกล้เตียง จู่ๆ ก็มีนายทหารคนหนึ่งวิ่งเข้ามารายงานเสียงหอบ
“คุณหลี่ครับ! มีคนสกุลหลี่มาตะโกนโวยวายขอพบที่หน้าบ้าน ไล่ยังไงก็ไม่ยอมไป บอกว่ามาตามหาคนในครอบครัวที่ถูกจับมา!”
