Episode-02 ควมสุขส่วนตัว
หลายวันผ่านไป
ฉันซักเสื้อให้พี่ทิวแล้วนะคะ ตั้งใจไว้ว่าจะเอามาคืนแต่ยังหาจังหวะไม่ได้สักที จนกระทั่งถึงวันกีฬาสีไอ้จูนกับป๊อปมันแข่งวิ่งค่ะ ฉันมาเชียร์พวกมัน แน่นอนว่าชัยชนะเป็นของพวกเรา
“สุดยอด! กูไม่เคยรู้มาก่อนว่าพวกมึงจะวิ่งเร็วขนาดนี้” เอ่ยแซวมันสองคนค่ะ
“กูวิ่งหนีแม่บ่อย” ไอ้จูนเอ่ย
“หนีทำไมวะ”
“กวนตีนเขาไง แต่เขาไม่ได้วิ่งตามกูนะ ใช้รองเท้าขว้างมาแทน”
“ฮ่า ๆ สมควรแล้ว”
“แล้วเอ็งกับไอ้หมูล่ะได้ลงแข่งวอลเล่ย์บอลหรือเปล่า” ป๊อบถามขึ้นมาบ้าง
“ข้าลง ไอ้หมูเป็นตัวสำรอง”
“เออ แข่งกี่โมงวะ”
“สิบเอ็ดโมงมั้ง”
รอบนี้เป็นรอบชิงชนะเลิศ เอาจริง ๆ มันโคตรกดดันเลย โชคดีที่ถูกฝึกมาตั้งแต่ประถมไม่ได้จะอวดว่าเก่งนะ แต่ก็พอตัวแหละ ฮ่า ๆ
“สู้ ๆ เว้ย แพ้ก็ไม่เป็นไร แต่ไม่แพ้เลยจะดีมาก” ไอ้หมูมันว่าขึ้น แต่ฟังแล้วรู้สึกกดดันยังไงไม่รู้
“นี่ให้กำลังใจอยู่ใช่ไหม”
“ฮ่า ๆ เออ”
การแข่งขันกำลังจะเริ่มขึ้นในไม่กี่นาทีข้างหน้านี้แล้ว ฉันไม่ได้โฟกัสอะไรเลยนอกจากตัวเองในสนามเท่านั้น ถ้าไม่มีสมาธิขาดไหวพริบทุกอย่างคือจบค่ะ
แมตช์แรกชนะ แมตช์ที่สองแพ้ เท่ากับเสมอกันหนึ่งต่อหนึ่งจึงทำให้แมตช์ที่สามกลายเป็นแมตช์กดดันไปเลย แม้แต่แต้มเดียวก็พลาดไม่ได้
“ห้ามแพ้นะโว้ย”
“ไอ้ตาลพี่ทิวมา” เสียงแหกปากตะโกนของพวกมันดังเข้ามาในหูฉัน เหลือบไปมองเป็นกลุ่มเพื่อนพี่ทิวจริงด้วยค่ะ เห็นแบบนั้นแล้วประหม่าแปลก ๆ แต่ก็ต้องเรียกสติตัวเองกลับมาใหม่ ในสนามต้องจดจ่ออยู่กับคู่ต่อสู้เท่านั้น แต่เสียงใครบางคนกลับทำให้สติของฉันกระเจิงไปในชั่วพริบตา
“สู้ ๆ นะ”
“...” เขาไม่ได้เจาะจงบอกฉันหรอกค่ะ ก็พูดเชียร์สีตัวเองตามปกตินั่นแหละ แต่ว่านาทีนี้ขอเข้าข้างตัวเองก่อนแล้วกัน
เซตนี้เป็นอะไรที่สนุกมาก โต้กันไปมาไม่มีใครยอมใคร กว่าจะจบเกมส์เสียพลังงานไปเยอะเลยทีเดียว
“กรี๊ด...!! มันต้องอย่างงี้” ไอ้จูนค่ะ
“กรี๊ดได้ตอแหลมาก”
“โทษทีกูดีใจจนลืมตัว”
“ดีใจทำไม ไม่เห็นมีส่วนได้ส่วนเสียกับเขาเลย”
“ไม่ได้ ๆ เราจะแพ้ไม่ได้” พูดคุยหยอกล้อกันตามประสาก่อนจะพากันเดินไปโรงอาหาร
“มึง... เมื่อกี้พี่ทิวมาเชียร์ด้วยแหละ” ไอ้หมูมันกระซิบใส่พร้อมกับบิดเร้าไปมาประหนึ่งว่าตัวเองถูกสารภาพรัก
“ข้าเห็นเขาก็ดูไปทั่ว เราอย่าเข้าข้างตัวเองเกินความเป็นจริงดีกว่านะ” มันต้องมีพื้นที่สำหรับเซฟความรู้สึกตัวเองด้วยฉันคิดแบบนั้น
“ก็ชอบอะเลยอยากคิดเข้าข้างตัวเอง” มันว่าพลางป้องปากหัวเราะอย่างชอบใจ
เข้ามาด้านในพลอยก็จองโต๊ะไว้ก่อนแล้วค่ะ
“กูได้ข่าวว่าสนามวอลเล่ย์บอลดุเดือดมาก”
“ข่าวมึงไวเนอะพลอย”
“นี่ใคร? นี่เจ้พลอยไงคะ”
“จ้า ๆ”
ในแก๊งพวกเรามีทั้งหมดสิบคนค่ะ อย่างที่บอกว่าสนิทสุดก็คือไอ้จูนกับหมูเพราะว่ามันสองคนไม่เคยว่าหรือพูดอะไรให้ฉันเสียความมั่นใจเลยสักครั้ง นี่คงเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ฉันสนิทใจมากขึ้น
“เดี๋ยวกูไปซื้อข้าวเอง มึงเอาไรกูอยากกินกระเพราไข่ดาว” อีต้นหันมาพูดกับฉันพร้อมกับยื่นเงินค่าน้ำให้
“เออ เหมือนกันเลย กูไปซื้อข้าวเองมึงไปซื้อน้ำละกัน”
“เออ”
เอากระเป๋าวางไว้ที่โต๊ะ จากนั้นก็แยกกันไปซื้อข้าวซื้อน้ำ ฉันมากับไอ้จูน เราต่อคิวเข้าแถวตามปกติแต่ว่าคิวก่อนหน้าฉันเขาซื้อให้เพื่อนหลายคนค่ะ เลยรอนานหน่อย
“น้อง! ทำไมไม่สั่งล่ะยืนบื้ออยู่ได้” น้ำเสียงไม่พอใจดังมาจากด้านหลัง แน่นอนค่ะว่าฉันหันกลับไปมองหน้าเขา เป็นรุ่นพี่มอสาม
“ก็เห็นอยู่ว่ายังไม่ถึงคิวนี่คะ จะให้สั่งอะไร”
“แหกตาดูค่ะว่าคนข้างหน้าเขาสั่งเสร็จแล้ว ไม่เห็นเหรอว่าคนอื่นเขาก็รอเหมือนกัน”
... : แล้วตัวเองทำไมไม่รู้จักรอบ้างล่ะ มีเงินอย่างเดียวไม่ได้นะ ต้องมีมารยาทด้วย
“...” ฉันกับไอ้จูนมองหน้ากันนิ่ง ๆ เพราะประโยคเมื่อครู่นี้ถูกเอ่ยออกมาจากปากของพี่ทิว ซึ่งเขาเองก็กำลังต่อคิวอยู่เหมือนกันค่ะ ส่วนพี่มอสามคนนั้นก็เดินออกไปเลย ไม่รู้ว่าไม่พอใจหรืออายกันแน่
หันหน้าไปทางพี่ทิวอีกครั้งพร้อมกับก้มศีรษะให้เล็กน้อยเป็นเชิงขอบคุณเขา
“สั่งเผื่อกูด้วยนะเอาเหมือนมึง” สรุปกินเหมือนกันหมด ที่มันเดินตามมาด้วยเพื่อจะช่วยถือเท่านั้นเอง
ตัดมากิจกรรมช่วงบ่ายเลยแล้วกันนะคะ ทุกสีจะต้องขึ้นสแตนเชียร์เพราะกีฬาประเภทสุดท้ายก็คือฟุตบอลนั่นเอง พวกเรานั่งเชียร์กันปกติ พี่สตาฟก็จะคอยเอาน้ำกับขนมมาแจกให้
“ตาล ไปสีเขียวเป็นเพื่อนกูหน่อย”
“ไปทำไมวะ”
“เอาขนตาปลอมไปให้อ้อ มันฝากไว้ในกระเป๋ากูลืมหยิบให้”
“ไปดิ”
ลงจากสแตนเชียร์ก็เดินเลาะไปด้านหลัง ฉันยืนรออยู่ห่าง ๆ ให้ไอ้จูนมันเดินเข้าไปคนเดียว และจังหวะนี้เองก็เห็นพี่ทิวนั่งพักอยู่ มองซ้ายมองขวาไม่มีใครสนใจฉันจึงเดินตรงไปหาเขา
“หนูเอาเสื้อมาคืนพี่ ซักให้หลายวันแล้วแต่ไม่มีโอกาสสักที” ฉันว่าพลางหยิบเสื้อที่อยู่ในกระเป๋านักเรียนออกมาให้เขา
“ครับ” เหลือบมองฉันแวบหนึ่งก่อนจะหยิบเสื้อไป
“พี่... สู้ ๆ นะคะ” ไม่รู้ว่าเอาความมั่นใจที่ไหนมาถึงได้กล้าพูดกับเขาไปแบบนั้น พี่ทิวไม่ได้พูดอะไรแค่พยักหน้าให้พร้อมรอยยิ้ม
ตึกตัก! ตึกตัก!
ใจเต้นแรงเป็นบ้าเลยค่ะ ใครจะกล่าวหาว่าอ่อยหรือแย่งซีนคนอื่นฉันไม่สนหรอกนะ ฉันแค่มีความสุขในพื้นที่ของตัวเองก็เท่านั้น
“อะแฮ่ม! เบาได้เบา กูเผลอแป๊บเดียวมาแอบส่งยิ้มให้เฉยเลยนะ”
“ส้นตีนเถอะ! กูแค่เอาเสื้อมาคืนเขา มึงอย่ามั่ว”
“เสื้ออะไรวะ”
“ไม่บอกอย่าหลอกถาม”
“เออ... จำไว้นะ! เพื่อนป่ะล่ะ”
“กูเกลียดคำนี้”
หลังจากไม่ได้คำตอบอะไรมันก็ไม่เซ้าซี้ต่อ พวกเราเดินกลับสแตนเชียร์เหมือนเดิม ผลการแข่งขันสีส้มชนะค่ะ
กิจกรรมต่อไปคือการวิ่งเด็กสมบูรณ์ ในความหมายของคุณครูก็คงมองว่ามันน่ารักปุ๊กปิ๊กอะไรแบบนี้ แต่สำหรับฉันมันไม่ได้รู้สึกสนุกด้วยเลย เหมือนถูกวางลงสนามแล้วกลายเป็นตัวตลกมากกว่า
“น้องชื่ออะไร ลงวิ่งสิทำเพื่อสีเราหน่อย” พี่สตาฟคนหนึ่งบอกฉันพร้อมกับรั้งแขนให้ฉันลุกขึ้น
“ไม่ลงค่ะ สนามฟุตบอลตั้งกว้างหนูวิ่งไม่ไหวหรอก”
“เขาวิ่งผลัดกัน นะ ๆ ลงสนามให้หน่อย สีเรามีแต่คนหุ่นดี ๆ น้องแหละเหมาะสุดแล้ว” รู้สึกหน้าชามาก สายตาหลายคู่เอาแต่มองมาทางฉัน ถึงจะไม่มีใครพูดอะไรแต่คนตรงหน้าก็พูดออกไปแล้วอยู่ดี “น้อง! ให้ตายเถอะกูไม่เคยอ้อนวอนใครขนาดนี้เลยนะเนี่ย” เขาหันไปพูดกับเพื่อนด้วยน้ำเสียงติดตลก และนั่นก็ทำให้ฉันรู้สึกแย่เข้าไปอีก
“เขาเอาคนที่สมัครใจนะ พี่ก็ไปหาคนอื่นสิคนเขาไม่เต็มใจยังจะมาพูดจาแบบนี้อีก” ไอ้จูนพูดแทรกขึ้นมาบ้าง
“แหกตาดูเพื่อนก่อนค่ะน้อง ค่อยพูดแบบนี้น่ะ”
“แหกแล้วค่ะ!! ทั้งตาซ้ายตาขวา ก็เห็นอยู่ว่ามันไม่ได้สมัครใจยังมายืนว่าฉอด ๆ อยู่อีก เพื่อนตัวเองแต่ละคนก็ไม่ใช่น้อย ๆ สมบูรณ์กันทั้งนั้นไม่ไปตามมาวิ่งล่ะ เขาไม่ได้จำกัดสักหน่อยว่ามอต้นหรือมอปลาย” ไอ้จูนมันร่ายประโยคยาว ๆ เสียงดังฟังชัด จนคนอื่นได้ยินเกือบทั้งแสตนเชียร์เลยทีเดียว
“เออ ๆ ไม่วิ่งก็ไม่วิ่ง แค่นี้ต้องโวยวาย” พูดจบเขาก็ลงไปหาเพื่อนเพื่อดึงตัวไปวิ่ง มันเป็นวิ่งผลัดน่ะค่ะสีละหกคน ไม่จำกัดระดับชั้น
“ใจเย็น ๆ มึงอย่าเพิ่งของขึ้น”
“กูเกลียดฉิบหายเลยคนส้นตีนแบบนี้ มันมีวิธีพูดอีกมากมายนะไม่ให้คนอื่นดูแย่อ่ะ”
“เออ ช่างแม่งมันเหอะ” แน่นอนว่าอีพี่คนนั้นจะกลายเป็นศัตรูในสายตามันตลอดไป ฮ่า ๆ
หลังจากนั้นเด็กสมบูรณ์ก็ลงสนามค่ะ ล้มลุกคลุกคลานกันเลยทีเดียว บางคนก็วิ่งไม่ไหว สะดุดล้มก็มี เพราะว่าน้ำหนักตัวเยอะไง กิจกรรมวิ่งแข่งมันเลยไม่เหมาะ
รอบตัวฉันมีแต่เสียงหัวเราะเต็มไปหมด ต่างจากฉันที่รู้สึกว่ามันไม่น่าขำเลยสักนิด ใครจะคิดยังไงไม่รู้แหละ ... ฉันคนหนึ่งที่ไม่ชอบ!
พรึบ!
“ฝากของแป๊บนะ” ระหว่างที่ฉันกำลังใช้ความคิด กระเป๋านักเรียนใบหนึ่งก็วางลงบนตักฉันก่อนที่เจ้าของมันจะพูดขึ้นแล้วรีบวิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว ฉันได้แต่นั่งงงและมองมันอยู่แบบนั้น
“อะไรของเขาวะ”
“ทำไมพี่ทิวฝากกระเป๋าไว้กับเอ็งล่ะ” เพื่อนต่างห้องเอ่ยถามขึ้น
“ไม่รู้ เขาบอกฝากแป๊บหนึ่งแล้วก็วิ่งไปเลย”
“สงสัยรีบไปเข้าห้องน้ำมั้ง สภาพแบบนี้ถ้าพี่ทิวชอบกูก็หมดคำพูดว่ะ” ประโยคหลังมันหันไปพูดกับเพื่อนตัวเองค่ะ ถึงเสียงจะเบาแต่ฉันก็ได้ยินอยู่ดี
ไม่นานพี่ทิวก็วิ่งกลับมา ฉันยื่นกระเป๋าคืนให้เขา พี่ทิวรับไปและยื่นขนมมาให้ฉันแทน
“ให้หนูเหรอ”
“อืม”
“ขอบคุณค่ะ” รับมาแบบงง ๆ มันเป็นคุกกี้รสช็อกโกแลต พี่ทิวไม่ได้ลุกไปไหนเขานั่งดื่มน้ำอยู่ที่เดิมจนเพื่อนเขาตะโกนเรียก
“ไอ้สัสทิว กรุณาลงมาช่วยพวกกูด้วยครับ”
“พวกมึงเป็นประธานสีก็ทำไปสิ กูเป็นนักกีฬาขอโทษด้วย” น้ำเสียงกวนอารมณ์ตอบกลับ
“แล้วไม่ทราบว่าไปนั่งทำเหี้ยอะไรบนนั้นครับ มึงดูหน้าน้องด้วยเขากลัวมึงกันหมดแล้ว”
“ไม่ขึ้นมานั่งบนนี้จะเห็นเหรอว่ามึงกำลังหน้าม่ออยู่”
“ไอ้สัสอย่าเสียงดังเดี๋ยวเด็กกูได้ยิน”
“เด็กมึงไม่ใช่เด็กกู”
กิจกรรมทุกอย่างจบลง ตอนนี้ถึงเวลาประกาศรับถ้วยรางวัลค่ะ ใครแข่งอะไรคนนั้นก็ลงไปรับ จนกระทั่งถึงชื่อฉัน
“ยินดีด้วยนะ”
เป็นประโยคแผ่วเบาที่ลอยเข้ามาในหูอีกเช่นเคย ไม่ได้สนใจที่จะมองก่อนจะรีบเดินตามเพื่อนในทีมไปรับรางวัลกัน
ตอนนี้เป็นเวลาห้าโมงเย็นแล้วค่ะ กว่าจะจบกิจกรรมวันนี้ก็คือโคตรเหนื่อย ดีนะว่าเป็นวันศุกร์พรุ่งนี้จะนอนตื่นสายได้
“เพื่อนไปไหนหมด” เป็นพี่ทิวอีกแล้วค่ะ
“กลับประตูหน้าโรงเรียนค่ะ”
“แล้วทำไมเรากลับประตูหลังคนเดียวล่ะ”
“หนูกลับวินอะ ถ้าขึ้นรถเมล์มันก็ต้องต่อวินเข้าบ้านอีกทีเลยเลือกทางนี้สะดวกกว่า”
“อ๋อ...”
“แล้วพี่กลับยังไง”
“ไอ้ริวไปส่ง รถยางรั่วรอเปลี่ยนอยู่ฝั่งโน้นไง” มองตามไปพี่ริวกำลังช่วยช่างเปลี่ยนยางอยู่ค่ะ อย่างที่รู้ว่าอู่ซ่อมรถจะเต็มไปด้วยวัยรุ่นและตอนนี้หลายคนก็กำลังมองมาทางฉันกับพี่ทิวเช่นกัน
“วินมาแล้ว งั้นหนูไปก่อนนะ”
“อืม”
จากโรงเรียนมาบ้าน ไม่เกินสิบห้านาทีก็ถึงแล้ว โยนกระเป๋าไว้บนที่นอนแล้วอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนจะกลับมาเปิดกระเป๋าเพื่อหยิบขนมที่พี่ทิวให้ไว้มากิน
ไม่คิดมาก่อนเลยว่าวันนี้จะได้คุยกับเขาด้วย ก็อย่างที่บอกค่ะ ฉันแค่แอบชอบ ไม่ได้คาดหวังว่าเราจะต้องเป็นแฟนกัน แบบนี้ก็ดีเหมือนกันค่ะ อย่างน้อยก็มีความสุขได้เต็มที่
