5
“แกบอกเรื่องนั้นกับพี่เมฆหรือยัง”
“ยังเลย ฉันบอกพี่เมฆว่า กลับมาค่อยคุยกัน เพราะตอนที่ฉันจะบอก คนดูแลคุณปู่โทรมา บอกว่าคุณปู่อยู่โรงพยาบาลน่ะ ฉันเลยคิดว่า บอกตอนพี่เมฆกลับมาก็ได้”
“แกก็รีบบอกพี่เมฆล่ะกัน จะได้หาทางออก ว่าจะเอายังไงต่อไป แกอย่าลืมนะว่า แกจะต้องบอกพ่อแม่แกด้วย ทางที่ดีที่สุดคือ พาพี่เมฆไปพูดกับพ่อแม่แก แกจะได้ถูกด่าน้อยลงหรืออาจไม่โดนด่าก็ได้”
“ไอ้เรื่องไม่โดนด่า ฉันยอมรับได้ เพราะฉันผิดจริง ฉันพลาดในเรื่องที่ไม่ควรพลาด ทั้งที่ป้องกันมาตลอด ฉันกลัวว่าพ่อกับแม่จะผิดหวังในตัวฉันน่ะสิ เพราะตอนที่ฉันบอกว่า พี่เมฆเป็นแฟนฉัน พ่อกับแม่ไว้ใจฉัน ท่านต้องผิดหวังแน่ๆ ข้อนี้แหละสำคัญที่สุด” เรื่องอื่นไม่ทุกข์ใจเลย ทุกข์มากเรื่องนี้เรื่องเดียว “แกก็รู้ว่า พ่อแม่ฉันหวังกับฉันมาก ฉันรู้สึกผิดมากเลยแก”
พูดถึงข้อนี้ น้ำตาไปรยารินไหล
“ตอนนี้การร้องไห้เสียใจและรู้สึกผิด มันไม่ใช่เรื่องใหญ่ เท่ากับเรื่องแกท้องหรอกนะ เพราะเรื่องนี้แกไม่ได้เตรียมตัวไว้ก่อน ผลกระทบตามมาแน่นอน นี่แหละที่แกต้องรับมือให้ได้” ชญาภาพูดตามตรง “อีกเรื่องที่แกต้องทำคือ อย่าให้คนในมหาลัยรู้ว่าแกท้อง แกต้องยื้อไปอีกสามเดือน ให้จบปีสามก่อน ค่อยดรอปเรียนไว้หนึ่งปี แกพร้อมมาเรียนเมื่อไหร่ ค่อยกลับมาเรียนจะย้ายไปเรียนภาคค่ำก็ได้ แล้วแต่แกสะดวก”
“จริงตามที่ส้มพูดนะ มันแก้ไขอะไรไม่ได้ แล้วแกก็ต้องยื้อไปจนกว่าจบปีสาม แต่จะยื้อยังไง ถ้าแกแพ้ท้องอย่างนี้น่ะ คนก็รู้กันน่ะสิ คนสอดรู้สอดเห็นยิ่งเยอะอยู่”
“มันเหลืออีกสามเดือนกว่าๆ กว่าจะจบปีสาม ท้องสาวยังไม่ออกหรอก พี่สะใภ้ฉันท้องแรก กว่าท้องจะโตให้เห็นก็ห้าเดือน ตอนนี้แกน่าจะท้องแค่เดือนเดียว รอจนจบปีสามอายุครรภ์ก็น่าจะสี่เดือนกว่า ท้องไม่ออกหรอก กันไว้ก็คือ ใส่เสื้อตัวใหญ่กว่าตัวแค่นี้เอง” ชญาภาพูดตามรู้มา ซึ่งคิดว่าท้องสาวคนเหมือนกัน “แต่การแพ้ท้องนี่สิ มันห้ามกันยาก แกต้องไปหาหมอ เอายาแก้แพ้มากิน มันช่วยได้นะ ไปวันนี้เลย เลิกเรียนก็ไปเปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วไปโรงพยาบาล คนจะไม่ได้รู้ว่าแกเรียนอยู่”
“ฉันเห็นด้วยกับส้มนะ ทำตามที่ส้มว่ามาเถอะ ไม่ต้องรอไปฝากท้องพร้อมพี่เมฆหรอก” ไปรยาเห็นด้วย
“ก็ได้ ฉันไม่อยากโอ๊กอ๊ากที่นี่ด้วย” ว่าที่คุณแม่เห็นพ้องต้องกัน “งั้นไปกันเย็นนี้เลย”
ทั้งสามนัดหมายกันเสร็จ หทัยพรรณกับชญาภานั่งมองดูไปรยากินของเปรี้ยว ที่ไม่รู้สึกเปรี้ยวสักนิด กินอย่างเอร็ดอร่อย ต่างกับคนมอง มองไปเข็ดฟันไป
17.30 น.
รถยนต์สองคันจอดรถในโรงพยาบาล อีกคันจอดในช่องวีไอพีอยู่ชั้นสอง ส่วนอีกคันจอดตรงลานจอดรถหน้าโรงพยาบาล ก่อนที่เจ้าของรถทั้งสองคันจะก้าวลงมา แล้วเดินเข้าไปในอาคาร
ภาสกรมาโรงพยาบาลทันที เมื่อกลับมาถึงกรุงเทพ เขาขึ้นไปยังห้องพักฟื้น ห้องที่ภรรยาน้อยพักรักษาตัว ส่วนสามสาวเพื่อนสนิทในชุดไปรเวท ตรงไปยังห้องทะเบียน
เหตุผลที่ไปรยาเลือกโรงพยาบาลปัญจรักษ์ เพราะเป็นโรงพยาบาลของคนรัก หากครั้งหน้ามาตามหมอนัด คงได้รับการบริการอย่างดี หายห่วงเรื่องตอนคลอดลูก ขณะซักประวัติเพื่อลงทะเบียนคนรับบริการ ไปรยาบอกว่า ตนไม่ได้อยู่ในสถานะนักศึกษา บอกว่าทำอาชีพอิสระ
ไปรยากับสองเพื่อนรักไปยังแผนกสูตินารี เพื่อทำการตรวจตามขั้นตอน เพราะต้องแน่ใจก่อนว่า เธอตั้งครรภ์จริง จึงจะจ่ายยาแก้แพ้ ส่วนเรื่องการฝากครรภ์ เธอตั้งใจว่าจะมาพร้อมกับมนัสชัย
“ค่ะพี่เมฆ” ขณะรอผลมนัสชัยโทรหาไปรยา ก่อนที่ทั้งคู่จะสนทนากันแบบหวานหยด
“พี่รักฝนนะครับ รักที่สุดในปฐพี” เขาบอกรักผ่านมือถือ
“ฝนรักพี่เมฆเช่นกันค่ะ ดูแลตัวเองด้วยนะคะ” ไปรยากดตัดสาย เมื่อจบการพูดคุย
“คู่แกเนี่ย น้ำตาลยังเรียกพี่ ฉันละอิจฉาแกจริงๆ เลยฝน มีแฟนทั้งหล่อ ทั้งรวย แถมรักและเอาใจใส่แกมากๆ อีก” แม้คำพูดจะอิจฉา ทว่าใบหน้ากลับยิ้ม
“คนรักกันก็งี้แหละ เราสองคนก็ทนเลี่ยนต่อไปก็แล้วกัน เพราะได้เห็นอีกนาน” ชญาภาพูดเสริม การพูดคุยหยุดลง เมื่อเจ้าหน้าที่เรียกไปรยาให้ไปตรวจปัสสาวะ
ห้องพักฟื้นวีไอพีที่แยกเป็นสัดส่วน ห้องแรกเป็นห้องรับรองแขก ห้องพักฟื้นจะอยู่ด้านในสุดของห้อง ภาสกรนั่งบนโซฟาใกล้เตียงคนไข้ โดยมีลูกชายคนเล็กนั่งข้างกัน ทั้งสองนั่งคุยกันตามปกติ แม้ภาสกรรักมนัสชัยมากกว่าชัชชัย ทว่าเขาก็ให้ความรักลูกคนนี้ และไม่ค่อยกดดันเรื่องเรียน หรือเรื่องส่วนตัว ชัชชัยเป็นอิสระทางความคิด การใช้ชีวิตมากกว่า พี่สาวกับพี่ชาย อาจเพราะภาสกรฝากความหวังไว้กับมนัสชัยมากที่สุด และคิดว่า เป็นไปตามตนต้องการ
ความที่สุนีย์ยังไม่ฟื้นจากฤทธิ์ยาสลบ ภาสกรจึงลงมาชั้นล่างเพื่อหากาแฟดื่ม และตั้งใจว่าจะไปคุยกับแพทย์สุเมธ เพื่อนสนิท ที่ไม่ได้เจอกันร่วมหนึ่งเดือน และวันนี้สุเมธอยู่เวรตอนบ่าย โดยสุเมธเป็นแพทย์แผนกสูติ-นรีเวช หลังจากซื้อเครื่องดื่มทั้งของตนเองและนำมาฝากเพื่อนเสร็จ ภาสกรขึ้นไปชั้นห้า แผนกดังกล่าว
เย็นวันนี้แผนกนี้คนไข้มีนัดกับแพทย์ราวสิบคน และเป็นคนไข้ใหม่อีกราวหกคน คนที่นั่งรอในห้องโถงของแผนกจึงมีค่อนข้างมาก อาจเพราะมีญาติคนไข้มานั่งรอด้วย ภาสกรไม่ได้สนใจคนนั่งด้านนอก ทว่าสายตาเขาสะดุดเห็นสตรีคนหนึ่ง ที่นั่งอยู่กับเพื่อน จากนั้นเสียงเจ้าหน้าที่เรียกชื่อให้เข้าพบหมอรัตนา
ตอนไปรยาลุกเดินไปห้องตรวจ เธอไม่ทันได้มองข้างหลัง จึงไม่รู้ว่า มีสายตาภาสกรมองด้วยความสงสัยว่า ไปรยามาหาหมอแผนกนี้ทำไม แม้ว่าแผนกนี้ไม่ได้ตรวจเฉพาะสตรีตั้งครรภ์ ตรวจรักษาโรคทางนรีเวช ที่แยกออกเป็นหลายโรค ไปรยาอาจเป็นโรคใดโรคหนึ่งของสตรี ทว่าในความรู้สึกส่วนลึก กลับมีความคลางแคลงใจมาก มากเสียจนอยากรู้ ซึ่งคนอย่างเขา อยากรู้ต้องได้รู้ แล้วมันเป็นเรื่องที่ง่ายแสนง่ายกับคำตอบที่ตนอยากรู้
