บทย่อ
พรหมลิขิต...ทำให้เขาและเธอพบกัน คนใจร้ายใจดำ...ทำให้เขาและเธอจากกัน และโชคชะตา...ทำให้เขาและเธอ พบกันอีกครั้ง ดั่งสายลมหวนกลับมา ในสักวันหนึ่ง .... ไปรยาถูกกำจัดออกจากชีวิตมนัสชัย เพียงเพราะเธอท้อง ด้วยน้ำมือของบิดาคนรัก ชายจิตใจมืดดำที่ไม่เคยสนใจความรู้สึกใคร แม้แต่ลูกตัวเอง ภาสกรทำเพื่อผลประโยชน์ตนเองเท่านั้น เธอจำใจต้องจากเขา เพื่อความปลอดภัยของตนกับลูก แม้เสียใจเพียงใดก็ต้องยอม .... โครม... เสียงรถประสานงาดังสนั่นกลางสี่แยก รถยนต์มนัสชัยถูกรถกระบะแต่งซิ่งชนกลางคัน ด้วยความแรงและความเร็วของรถกระบะ ทำให้รถคันหรูหมุนกลางถนนหลายรอบ ก่อนพลิกคว่ำในสภาพหงายท้อง “ฝน” เป็นเสียงสุดท้ายจากปากมนัสชัย ก่อนเขาจะหมดสติ ในสภาพเนื้อตัวถูกเศษกระจกบาดช่วงแขน ดีที่ว่า เขาสวมเข็มขัดนิรภัย และถุงลมนิรภัยทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ ลดแรงปะทะช่วงร่างกายส่วนหน้าได้ดี แต่แม้ว่าจะมีระบบการป้องกันห้องผู้โดยสารมากแค่ไหน หากเกิดอุบัติเหตุลักษณะนี้ ย่อมมีบาดเจ็บไม่มากก็น้อย มนัสชัยไปหาไปรยาไม่ได้...ทั้งคู่ไม่ได้เจอกัน ไม่มีคำร่ำลาใดใดสักคำ นอกจากความทรงจำดีดีที่ตรึงในหัวใจเท่านั้น
1
สุรามักใช้เป็นเครื่องดับความทุกข์ ความเสียใจ เศร้าโศก ให้คนดื่มแอลกอฮอล์ดับความรู้สึกดังกล่าวได้ชั่วคราว เสมือนเป็นยานอนหลับไม่ให้ตนเองฟุ้งซ่าน แม้ว่าเขาผ่านช่วงเวลาอันแสนสาหัสมากว่าหนึ่งปีแล้วก็ตาม ทว่าความเจ็บปวดรรวดร้าวใจ ไม่พร่องเลยสักนิด กลับทับถมมากขึ้น จากความรักและคิดถึงคนรัก หรือเขามักแนะนำให้เพื่อนร่วมคณะว่า เป็นเมีย
อนาคตที่เคยคิดสร้างด้วยกัน พังทลายไม่มีชิ้นดี ไปรยาจากมนัสชัยอย่างไม่มีวันกลับ ไม่มีแม้แต่คำร่ำลา เป็นการจากไปโดยไม่มีลางสังหรณ์ เขาเสียใจมาก แทบไม่อยากเรียนต่อ หมดอาลัยตายอยาก ทว่าด้วยภาระหน้าที่ที่เขาต้องรับผิดชอบ แบกไว้เต็มบ่า ชายหนุ่มจึงใช้น้ำเมาไม่ได้หวังให้ดับกองทุกข์กองมหึมาจิตใจ เขาเพียงแค่ต้องการหลับสนิทในทุกคืนเท่านั้น
หลังจากเรียนจบ มนัสชัยตั้งใจบวช นอกจากทดแทนบุญคุณบิดามารดา เขาตั้งใจบวชให้ไปรยา เมียคนเดียวของตน และเลือกบวชที่วัดใกล้บ้านเกิดเธอ เพื่อที่เขาจะได้ดูแลเจดีย์เก็บกระดูกไปรยา
นอกจากปฏิบัติธรรมตามกิจของสงฆ์ พระมนัสชัยมาทำความสะอาดเจดีย์ทุกวัน กวาดใบไม้รอบด้าน ผ้าขี้ริ้วถูกนำมาเช็ดตัวเจดีย์ รูปภาพไปรยาที่ติดด้านหน้า เขาใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดอย่างทะนุถนอม และเปลี่ยนดอกไม้ให้เธอทุกวัน
“ลูกแมวน้อยของพี่”
ขณะพูด มือท่านลูบใบหน้าคนรัก น้ำตาคลอ “หนึ่งปีห้าเดือนกับอีกสิบสองวันแล้วนะ ที่ฝนไปเป็นนางฟ้าบนสวรรค์ ฝนรู้มั้ยว่า พี่ทรมานใจมาก พี่เจ็บปวด เสียใจจนอยากตายตามฝนไป พี่เพิ่งรู้ด้วยตัวเองว่า ในวันที่ไม่มีฝน ชีวิตพี่เหมือนคนรอเวลาตาย รอพี่หน่อยนะลูกแมวน้อย สักวันเราจะได้พบกันบนนั้น เราจะไม่จากกันอีกแล้ว ฝนยอดรักของพี่”
คำบอกรัก รำพันความคิดถึง ลอดผ่านปากมนัสชัยจนนับครั้งไม่ได้ เชื่อเหลือเกินว่า จะได้ยินสองประโยคนี้ไปอีกนาน หรือจนกว่า มนัสชัยหมดลมหายใจ และหัวใจดวงนี้ไม่เปิดรับหญิงสาวคนใดเข้ามาเช่นกัน เพราะหัวใจ มอบให้ลูกแมวน้อยของเขาคนเดียวเท่านั้น
สักวัน...เราจะได้พบกัน
หัวใจหญิงสาววัยยี่สิบเอ็ดปีสั่นหนักมาก ตกใจ สับสน พูดไม่ออก ขณะสายตามองเครื่องตรวจครรภ์สามอัน ที่วางอยู่ตรงเคาน์เตอร์อ่างล้างหน้า เธอจ้องมองมันอยู่อย่างนั้น อย่างคนคิดอะไรไม่ออก สมองตันไปหมด
เธอท้อง...ขีดแดงขึ้นสองขีดทั้งสามอัน
คือเรื่องน่ายินดีที่รู้ว่า มีเลือดเนื้อเชื้อไขอยู่ในท้องตน เพราะเลือดก้อนนี้เกิดจากความรักระหว่างพ่อกับแม่ ทว่ากลับไม่ใช่ หากเธอไม่อยู่ในสถานะนักศึกษา มีหน้าที่เรียนหนังสือ นำพาตัวเองไปสู่ความหวังอันสูงสุดของบิดามารดา เหลือเพียงหนึ่งปี ความฝันและความหวังของบุพการีจะเป็นจริง ทว่ากลับพังเพราะความผิดพลาดของเธอ ส่วนพ่อของลูก เป็นนักศึกษาแพทย์ปีที่หก ซึ่งเป็นปีสุดท้ายของการเรียน
ไปรยาไม่กังวลว่ามนัสชัย ชายคนรักไม่รับผิดชอบ หรืออาจคิดว่า ตนปล่อยให้ตนเองท้องเพื่อจับเขา เพราะคืนวันที่เธอคิดว่า พลาดตั้งครรภ์ หญิงสาวบอกมนัสชัยว่า ถุงยางอนามัยหมด มันไม่ปลอดภัยหากมีความสัมพันธ์กัน
“ไม่เป็นไรหรอก พรุ่งนี้ค่อยไปซื้อยาคุมฉุกเฉินกินก็ได้ หรือถ้าท้องก็ไม่เป็นไร ลูกพี่ พี่เลี้ยงได้ เลี้ยงทั้งแม่และลูกนี่แหละ”
วันรุ่งขึ้นไปรยาลืม เนื่องจากได้รับโทรศัพท์จากชัยวัฒน์ บิดาว่า สายฝนเข้าโรงพยาบาล เธอจึงต้องไปเยี่ยมมารดาที่สุพรรณบุรี มานึกขึ้นได้ว่า ต้องกินยาคุมฉุกเฉินก็อีกหนึ่งวันต่อมา ซึ่งถือว่าช้าเกินไป ณ ตอนนั้นไปรยาคิดในทางที่ดีว่า แค่ครั้งเดียวคงไม่พลาดท้อง แต่สุดท้ายก็พลาดจนได้
เรื่องที่ไปรยากลัวและกังวลคือ ตัวเองมากกว่า หากปล่อยให้เด็กคนนี้เกิดมา ตนต้องออกจากการเรียน ทำให้พ่อแม่ผิดหวัง เกิดความอับอายที่ลูกสาวอันเป็นความหวังท้องก่อนแต่ง แถมยังท้องในวัยเรียน ทั้งที่ความรู้ระดับนี้ และอายุ ควรรู้เรื่องการป้องกัน เป็นเรื่องที่เธอเข้มงวดมาตลอดหนึ่งปี คลอดลูกแล้วจะเรียนต่อคงยาก เพราะเธอต้องสวมบทบาทแม่
“ฝน ฝน แกตรวจเสร็จหรือยัง” ขณะจิตใจไปรยากำลังฟุ้งซ่าน เสียงเคาะประตูห้องน้ำดังขึ้น พร้อมกับเสียงเรียกหทัยพรรณ “ว่าไปฝน แกท้องหรือไม่ท้อง”
คนถูกถามยังไม่ตอบ แบกหน้ากลัดกลุ้มไปนั่งบนโซฟา
“แกท้องใช่มั้ย” หทัยพรรณเดาตามสีหน้าเพื่อน
“อืม แดงสองขีดทั้งสามอันเลย” เสียงตอบเบา ทว่าประโยคต่อมา โทนเสียงปรับสูงขึ้น “โอ๊ยๆ ฉันจะทำยังไงดีเนี่ย เรียนก็ยังไม่จบเลย พ่อกับแม่รู้ โดนด่าเปิงแน่”
แม้พอเดาออก พอเห็นเครื่องตรวจครรภ์ทั้งสามอัน หทัยพรรณเกิดความเครียดขึ้นมาทันใด เพราะปัญหาใหญ่ตามมา อย่างแรกที่แน่ๆ คือ ไปรยาต้องออกจากการเรียน
“แล้วแกจะทำยังไง แกจะเอาเด็กไว้มั้ย”
“แกจะบ้าเหรอ ฉันไม่มีวันทำร้ายลูกของฉันหรอก พี่เมฆก็คงไม่ยอมเหมือนกัน อีกอย่างนะ ไม่ใช่ความผิดของเด็กซะหน่อย เป็นความผิดของฉันกับพี่เมฆที่ผิดพลาดเอง”
“ฉันขอโทษ ฉันเครียดแทนแกน่ะ เลยพลั้งปากถามไปอย่างนี้ ฉันรู้นิสัยแกหรอกนะว่า แกไม่ทำแน่นอน” หทัยพรรณยอมรับว่าตนปากไว “แกต้องบอกให้พี่เมฆรู้เรื่องนี้นะ แกคิดคนเดียวไม่ได้หรอก”
“ฉันรู้ ฉันก็ต้องบอกพี่เมฆอยู่แล้ว” น้ำเสียงไม่ดีนัก “แต่คนที่ฉันบอกยากที่สุดคือพ่อน่ะสิ พ่อต้องโกรธ ด่าฉันเจ็ดวันเจ็ดคืนแน่ เพราะความผิดหวังในตัวฉัน โอ๊ยๆ โอ๊ย กลุ้มๆ กลุ้มๆ”
“ถึงกลุ้มยังไงแกก็ต้องบอกอยู่ดี เพราะท้องแกต้องโตตามอายุครรภ์ ไหนจะกลับไปหาท่านอีก มันปิดไม่ได้หรอกนะ นอกจากว่า แกจะหายไปจากชีวิตพ่อกับแม่ ซึ่งแกก็ทำไม่ได้” หทัยพรรณพูดอีกก็ถูกอีก “ฉันว่านะ เรื่องมาถึงนี้แล้ว มันไม่มีทางเลือกหรอกนะ ความจริงเรื่องนี้แกปิดไม่มิดหรอก ถ้าจะไม่ให้มีปัญหาอะไรตามมาเลยก็คือ แกไม่ปล่อยให้เด็กคนนี้เกิดมา แล้วฉันก็มั่นใจว่า แกไม่ทำ”

