2
“มันก็จริงอีก” ไปรยาทิ้งตัวพิงพนักโซฟา ไม่อยากเชื่อว่า แค่ครั้งเดียวสายใยรักก้อนนี้ถือกำเนิด เป็นความผิดพลาดที่เธอต้องรับผิดชอบ
“เรื่องพ่อกับแม่แก ยังพอประวิงเวลาได้ ท้องสาวที่ฉันรู้มา กว่าจะนูนพอให้คนสังเกตเห็นก็ห้าหกเดือน แกยังมีเวลาเตรียมใจ อันดับแรกคือไปบอกพี่เมฆ เขาจะได้รู้ว่ามีลูก แล้วพาแกไปฝากท้อง”
“พี่เมฆไปภูเก็ตกับครอบครัว กลับพรุ่งนี้บ่าย ฉันจะบอกพี่เมฆพรุ่งนี้ อยากพูดกับตัวมากกว่า ไม่อยากคุยทางโทรศัพท์”
“ก็ตามนั้น” สองเพื่อนสนิทพูดคุยกันต่อ หัวข้อเรื่องคือจะบอกความจริงให้ชัยรัตน์กับสายฝนรู้เมื่อไหร่ อย่างไร เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ ตามหทัยพรรณเอ่ยไปเมื่อครู่ เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ ท้องโตก็ต้องออกจากมหาลัย จะลาออกหรือดรอปไว้ก็ว่ากันไป แต่คงเรียนต่อขณะท้องไม่ได้ เนื่องจากผิดระเบียบ อย่างไรเสียทั้งสองย่อมรู้ท้องในวัยเรียนของไปรยาอยู่ดี ทว่าไปรยากับหทัยพรรณไม่รู้ว่า ยังมีคนที่พูดยากกว่า ชัยรัตน์กับสายฝนอีกหนึ่งคน
ณ จังหวัดภูเก็ต
ไม่บ่อยครั้งนักที่ครอบครัวเจษฎ์วารี จะได้มาเที่ยวกันแบบพร้อมหน้าพร้อมตาห้าชีวิต ครบองค์ประชุม คนที่นัดหมายยากสุดคงเป็นมนัสชัย ลูกคนที่สองของบ้าน ที่เวลาเรียนคณะแพทย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยขั้นชื่อของเมืองไทย ซึ่งปีนี้เป็นปีสุดท้าย
ความที่มนัสชัยใช้ทุนตัวเองในการเรียน จบมาจึงไม่ต้องใช้ทุนกับภาครัฐ และครอบครัวมีธุรกิจโรงพยาบาล นามว่าโรงพยาบาลปัญจรักษ์ โรงพยาบาลเอกชนที่มีสาขากระจายทั่วประเทศกว่าสิบห้าแห่ง เขาจะเป็นแพทย์ประจำสาขาในกรุงเทพสองถึงสามปี หาประสบการณ์จะได้รู้ว่า อยากเรียนสาขาใดเป็นพิเศษ เพื่อเรียนแพทย์เฉพาะทางต่อไป ในอนาคตมนัสชัยคือผู้บริหารงานแทนบิดา เขาจึงเปรียบเสมือนความหวังและความภาคภูมิใจของภาสกร
ต่างกับอีกคนดาราพรลูกสาวคนโต คนหัวอ่อน จิตใจดี ไม่ค่อยมีปากมีเสียงกับใคร เรียนไม่เก่ง เรียนแพทย์ตามภาสกรหวังไม่ได้ และเรียนในสาขาที่บิดาไม่ชอบ ส่งผลให้ภาสกรไม่พอใจ แต่ยังดีที่ดาราพรมีแก้วมณีที่ช่วยพูดให้ ไม่อย่างนั้นภาสกรคงโกรธหนัก ถึงขั้นทำร้ายร่างกายบุตรสาว
“ฉันจะให้แกเรียนไอ้สาขาบ้าๆ แต่แกต้องแต่งงานกับผู้ชายที่ฉันหาให้ เพราะถ้าฉันให้แกหาเอง คงไปคว้ากุ๊ยข้างถนนมาเป็นผัว”
เมื่อได้อีกอย่างก็ต้องเสียอิสรภาพเรื่องนี้ ซึ่งดาราพรยอม เพื่อได้ทำในสิ่งที่ตัวเองรักและชอบ สักครั้งก็ยังดี และการเข้าประตูวิวาห์กับชายที่บิดาเลือกให้ ที่ใครอาจคิดว่า ตนคงมีความสุข ทว่ามันกลับตรงกันข้าม ซึ่งทุกคนในบ้านไม่มีใครรู้
บรรยากาศบนโต๊ะอาหารสำหรับครอบครัวใหญ่ นานครั้งกับการอยู่กันพร้อมหน้า น่าจะมีความสุข อบอวลความอบอุ่น กลับไม่ใช่สักนิด ทุกคนคล้ายปั้นหน้าเข้าหากัน
“แม่ดีใจนะที่เราได้มาเที่ยวด้วยกัน ไม่ได้มาแบบนี้นานแล้ว น่าจะหกเจ็ดปีแล้วมั้ง” แก้วมณีในวัยเจ็ดสิบสามปีพูดด้วยรอยยิ้ม เพราะนางต้องการเห็นภาพนี้มาหลายปี
“เวลามันไม่ลงตัวกันน่ะครับคุณแม่” ลูกชายตอบ “ผมตั้งใจว่า หลังจากเมฆเรียนจบ พวกเราจะไปเที่ยวปารีสกันครับ ถือเป็นการเลี้ยงฉลองเมฆเรียนจบ”
ยามพูดถึงมนัสชัยใบหน้าภาสกรยิ้มมีความสุข ภูมิใจในตัวลูกชายคนนี้มาก ทุกคนต่างรู้ดีว่า มนัสชัยคือลูกรัก ลูกคนโปรด
“คุณพ่อครับ ผมอยากหมั้นกับฝนก่อนครับ ฝนเรียนจบค่อยแต่งงาน แล้วผมคิดว่าไม่เป็นปัญหากับการเรียนแพทย์เฉพาะทาง หากผมแต่งงานแล้ว” ทุกคนบนโต๊ะอาหารเงียบกันหมด สายตาของผู้ร่วมโต๊ะมองไปยังมนัสชัยเป็นตาเดียวด้วย
“เอาไว้พูดกันทีหลังนะเมฆ วันนี้เรามาเที่ยวกันนะลูก แม่ไม่อยากให้บรรยากาศเสีย” วงเดือนมารดามนัสชัยบอกลูกชาย ก่อนสามีจะเคืองขุ่น เป็นเพราะภาสกรไม่ชอบไปรยา คนรักมนัสชัย เนื่องจากฐานะต่างกันมาก
“พูดวันไหนก็พูดเหมือนกันครับ ผมว่าตอนนี้ล่ะเหมาะแล้ว อยู่กันครบทุกคน จะได้ไม่ต้องพูดต้องบอกกันหลายครั้ง” มนัสชัยรู้ว่า บิดาไม่ปลื้มไปรยา ซึ่งเขาไม่สนใจ “ว่าไงครับคุณพ่อ ตกลงตามนี้นะครับ”
ภาสกรไม่ตอบรับ เขาวางช้อนกับส้อมลงบนจาน ลุกเดินออกจากห้องอาหาร ไม่พูดไม่จาสักคำ ทุกคนต่างรู้ว่า การเดินออกไปดื้อๆ ของภาสกรคือการไม่ยอมรับ
“แม่ไม่อยากให้คุณพ่ออารมณ์เสีย แม่บอกเมฆแล้วนี่ลูกว่าอย่าเพิ่งพูด”
“ใช่ นานๆ ทีพ่อแกจะอารมณ์ดี ไม่น่าพูดให้บรรยากาศเสียเลย” แก้วมณีเห็นด้วย
“คุณย่ากับคุณแม่แคร์คุณพ่อจังเลยนะครับ น่าแปลกที่คุณพ่อไม่เคยแคร์ใครเลยสักคน เอาตัวเองเป็นที่ตั้งเสมอ โดยไม่สนใจใคร” มนัสชัยอาจเป็นคนเดียวที่กล้าพูดตรงๆ “ดูอย่างพี่ดาราสิครับ แต่งงานไปก็ใช่ว่ามีความสุข ถูกผัวตบตีเสมอ มาบอกคุณพ่อ คุณพ่อก็บอกให้อดทน ไม่ยอมให้หย่าเพราะกลัวตัวเองเสียชื่อเสียง คุณย่ากับคุณแม่ก็รู้เรื่องนี้ด้วย แต่ก็เลือกไม่สนใจ รู้ทั้งรู้ว่า ถูกผัวทำร้ายหรือมีคนอื่นมันเจ็บปวดแค่ไหน ก็ไม่คิดยื่นมือเข้าช่วยพี่ดารา กลับเห็นดีกับคุณพ่อ มันผิดวิสัยของแม่ที่ปกป้องลูก ให้พ้นจากเรื่องเลวร้าย ซึ่งคุณแม่ไม่เคยทำเลยสักครั้ง และแม่ที่พร้อมสั่งสอนลูกในทางไม่ดี ไม่ถูกไม่ควรอย่างคุณย่า นี่ไงครับคุณพ่อถึงได้ใจ ทำอะไรก็ได้ตามใจคิด แต่ไม่ใช่สำหรับผม”
ไม่มีใครกล้าเถียงหรือค้านคำพูดมนัสชัย กลับทำให้แก้วมณีกับวงเดือนสะอึก พูดอะไรไม่ออกมากกว่า ได้แต่มองมนัสชัยที่ลุกเดินไปอีกคน ด้วยความรู้สึกผิด
“ดาราขอตัวนะคะ” ดาราพรเดินออกไปอีกคน คงเหลือสองชีวิตที่ยังคงนั่งตามเดิม ไม่แม้แต่มีเรี่ยวแรงลุกขึ้นยืน แล้วก้าวเดินออกไป แม้มนัสชัยจะพูดตรงแค่ไหน คงเปลี่ยนอะไรไม่ได้ มันคงเป็นเช่นนี้ตลอดไป
