บทที่ 2 ปัญหา (1)
เพราะความห่วงใยนั่นล่ะพิชชาถึงออกปากห้าม ก็เพื่อนรักของเธอรายนี้เป็นพวกไฮเปอร์ อยู่เฉยไม่ค่อยจะเป็น วันหยุดก็มักหากิจกรรมทำเสมอ ซึ่งเวลาส่วนใหญ่ณหฤทัยจะทุ่มเทไปที่เรื่องแต่งบ้านนี่ล่ะ
“ไม่ทำงาน ได้อดตายพอดี”
“เงินเก็บของแกไง เบิกออกมาใช้ตอนฉุกเฉินก่อน ธนาคารไม่เอียงหรอกมั้ง” พิชชาแนะนำขำ ๆ เพราะรู้ว่าณหฤทัยมีเงินเก็บอยู่พอสมควร ยังไงก็ไม่อดตายอย่างที่พูดหรอก
“ไม่มีจะเบิกให้สิ ตอนปลูกบ้านหลังนี้ฉันเบิกออกมาใช้จนหมดแล้ว”
“อ้าว เป็นงั้นไป ถ้างั้นฉันให้ยืมก่อน”
ณหฤทัยโบกมือปฏิเสธทันที “ขอบใจมาก แต่อย่าเลย ฉันไม่อยากเป็นหนี้เพิ่ม”
“จนแล้วยังจะหยิ่งอีก พิลึกคนจริง ๆ” พิชชาเหน็บให้ พอเห็นสีหน้าเศร้า ๆ ราวแบกโลกไว้ทั้งใบของมัณฑนากรสาวจึงรู้สึกละเหี่ยใจอีก “ตามใจก็แล้วกัน จะให้ช่วยอะไรก็บอกได้นะ ไม่ต้องเกรงใจ”
“ขอบใจ”
พิชชายิ้มบาง พอจัดการกับอาหารเช้าเรียบร้อยจึงคว้ากระเป๋าสะพายขึ้นมาคล้องไหล่เตรียมตัวออกทำธุระทันที แต่ก็อดเหล่ตามายังคนป่วยซึ่งเอาแต่นั่งเงียบและเปิดโทรทัศน์ไว้เป็นเพื่อน
ณหฤทัยหันมามองเพื่อนสาวด้วยสีหน้าและแววตาเศร้าสร้อย “ไปไหนล่ะ?”
“หาคุณนายจันทร์เจ้าขา ตอนแรกว่าจะชวนแกไปด้วย แต่สภาพนี้อยู่บ้านนั่นล่ะดีแล้ว”
สาวแว่นพูดเองเออเองเสร็จสรรพ คนฟังอย่างณหฤทัยได้แต่พยักหน้ารับ เพราะเธอเองก็ไม่อยากออกไปไหนในภาพนี้เช่นกัน ใช่ว่าอายที่มีเฝือกและมีไม้ค้ำนะ แต่เธอไม่อยากตกเป็นเป้าสายตาของใคร ๆ มากกว่า พอพิชชาฮัมเพลงกำลังออกจากบ้าน เสียงโทรศัพท์มือถือซึ่งวางทิ้งไว้บนโต๊ะทำงานจึงดังขึ้น
“พิชจ๋า ช่วยหยิบโทรศัพท์ให้ทีสิ”
พิชชาจิกสายตาใส่มายังคนอ้อนเสียงอ่อนเสียงหวาน แต่ก็เดินกลับมาหยิบโทรศัพท์ให้คนป่วยโดยดี เรียบร้อยแล้วคนมีธุระจึงเดินไปใส่รองเท้า แต่ก็ปรายตามายังคนป่วยอีกจนได้ สีหน้าของณหฤทัยในตอนนี้ไม่สู้ดีนัก และบทสนทนาที่ได้ยินคือเรื่องผัดผ่อนหนี้ล้วน ๆ
ก็อยากถาม... แต่รู้ว่า ‘เรื่อง’ น่าจะยาว พิชชาจึงระงับไว้แค่นั้น เพราะเธอมีธุระต้องไปจัดการก่อน
“อย่าเพิ่งคิดสั้นฆ่าตัวตายล่ะ เย็น ๆ ฉันจะมารับไปกินข้าว”
ณหฤทัยพยักหน้าส่ง ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพิชชาพูดอะไรบ้าง ทุกอย่างดูย่ำแย่หมด ปัญหาใหญ่ทำให้เธอทุกข์ใจจนอยากร้องไห้หนัก ๆ ออกมา แต่พอมือบางวางลงบนไหล่และบีบเบา ๆ เท่านั้น เธอจึงหลุดจากภวังค์ความคิด
“ยังโอเค ใช่มั้ยยายปูเป้?”
“อือ” คนป่วยพยักหน้า “น่าจะ... โอเค”
พิชชาหยิกแก้มขาวซีดไม่มีเครื่องประทินผิวใด ๆ เป็นการให้กำลังใจ “เข้มแข็งเข้าไว้ ยายณหฤทัยที่ฉันรู้จักจะยิ้มทุกครั้งที่เจอปัญหา ฉันคิดถึงผู้หญิงคนนั้นว่ะ”
นี่คือถ้อยคำที่ให้กำลังใจได้เป็นอย่างดี ณหฤทัยยิ้มบาง ส่วนคนปลอบใจบ่นงึมงำว่าสายแล้ว จากนั้นจึงวิ่งหน้าตั้งออกจากบ้านไป
“ระวังบันไดด้วยล่ะ”
สิ้นคำณหฤทัยได้ยินเสียงโครมตามมา แต่ไม่ยักมีเสียงร้อง เธอชะงักแค่นั้น คอยเงี่ยหูฟังว่าพิชชาจะร้องโวยวายอะไรมั่ง แต่เมื่อไม่ได้ยินเสียงอะไร จึงรู้ว่าทุกอย่างผ่านพ้นไปได้ด้วยดี
พอความเงียบสงบแทรกตัวเข้ามาในบ้าน ณหฤทัยจึงถอนหายใจออกมายาว ก่อนเปลี่ยนอิริยาบถเป็นเอามือกุมขมับ ความเครียดจากเรื่องหนี้สินกองอยู่ตรงหน้าอีกครั้ง ปัญหาทำให้เธอรู้สึก ‘ตื้อไปหมด’ เพราะหาทางแก้ปัญหาไม่ได้
เธอจะหาเงินร่วมห้าหมื่นจากที่ไหนมาใช้หนี้ล่ะ ในเมื่อเงินเก็บถูกนำมาใช้ตกแต่งบ้านหมดแล้ว สิ่งที่ทำได้ในตอนนี้แค่การพูดคุยและผัดผ่อนเจ้าหนี้ไปพลาง ๆ เท่านั้น
แต่เธอก็รู้ดีว่ายื้อเวลาเรื่องนี้ออกไปไม่นาน เดือนเดียวก็มากพอกับเครดิตที่ได้รับจากร้านวัสดุก่อสร้างแล้ว ส่วนสาเหตุที่ต้องมาแบกหนี้มาจากลูกค้าเฮงซวยล้วน ๆ!
เธอกับสถาปนิกในบริษัทรับงานออกแบบตกแต่งเรือนหอไว้ คู่บ่าวสาวที่เป็นลูกค้าชื่นชอบผลงานของเธอมาก ตลอดระยะเวลาที่ทำงานร่วมกัน ค่อนข้างราบรื่นและไม่มีปัญหาใด ๆ
ทว่าดำเนินการก่อสร้างได้เพียงสามสิบเปอร์เซ็นเท่านั้น ลูกค้าที่น่ารักกลับก่อปัญหาใหญ่ขึ้น นอกจากไม่จ่ายเงินค่าวัสดุก่อสร้างตามที่ตกลงกันไว้แล้ว คนทั้งคู่ยังพากันชิ่งหนีบินไปต่างประเทศอีก!
แล้วจะไปตามจับมือใครที่ไหนดม!
ส่วนสถาปนิกที่ร่วมงานด้วยก็ปฏิเสธความรับผิดชอบ ซ้ำยื่นซองขาวลาออกดื้อ ๆ อีกคน ความซวยต้องรับใช้หนี้ค่าวัสดุก่อสร้างจึงตกมาที่เธอคนเดียว ยังดีที่ทางร้านค้าวัสดุก่อสร้างให้เครดิตกับเธอ เพราะเธอเป็นลูกค้าประจำร้านนี้ เรื่องผัดผ่อนหนี้จึงทำได้ไม่ยาก แต่เรื่องยุ่งยากและปวดหัวอยู่ที่ว่า เธอจะหาเงินจากที่ไหนมาใช้หนี้ต่างหาก
