บทที่ 1 เบื้องหน้ารอยยิ้ม เบื้องหลังน้ำตา (3)
“รบกวนหน่อยสิ ไปเปิดประตูแล้วเอาลูกกุญแจนี้ไปให้นายฉัตรที” ณหฤทัยหยิบเอาพวงลูกกุญแจจากกระเป๋าเสื้อมายื่นให้ “บอกไปด้วย ว่าฉันไม่สะดวกรับแขก”
“ใช้กันดื้อ ๆ เลยเหรอ”
“น่า สงสารฉันเถอะ ขี้เกียจเขยกแล้ว”
คนถูกใช้ค้อนคมใส่ แต่ทำหน้าที่แทนเจ้าของบ้านอย่างว่าง่าย ณหฤทัยได้แต่มองตามหลังเพื่อนสาวไป รู้สึกโล่งใจ อย่างน้อยเธอก็หลบหน้าแขกที่ไม่อยากเจอได้ล่ะนะ
ทุกอย่างน่าจะลงตัวหมด แต่กลายเป็นว่าอึดใจต่อมา ณหฤทัยได้ยินเสียงใครสักคนสะดุดขั้นบันได แล้วตามมาด้วยเสียงบ่นโวยวาย
“บันไดไล่แขกชัด ๆ ไม่รู้คนออกแบบคิดอะไรอยู่”
น้ำเสียงเล็กแหลมนั้นเป็นของผู้หญิง... แต่ไม่ใช่เสียงของพิชชาแน่นอน!
ณหฤทัยไม่กล้าทายว่าแขกที่มาถึงบ้านรายนี้เป็นใคร เพราะโดยปกติเธอไม่นิยมต้อนรับแขกอยู่แล้ว เมื่อผู้มาเยือนก้าวเข้ามาในบ้าน คำตอบที่ต้องการจึงตามมา...
ฉัตรกรส่งยิ้มมาแต่ไกล การได้เห็นหน้าหล่อสะดุดตามีผลต่อสีหน้าคนป่วยเลยทีเดียว
ใช่ว่ารังเกียจสถาปนิกหนุ่มนะ ถึงจะอกหัก แต่ก็ยังรักเหมือนเดิม เพียงแต่ณหฤทัยไม่รู้ว่าจะปั้นหน้ายังไงตอนเจอหน้าเขา ซ้ำฉัตรกรไม่ได้มาหาเธอลำพัง แต่มี ‘หวานใจ’ เดินตามหลังมาด้วย และนี่คงเป็นเจ้าของน้ำเสียงที่โวยวายเรื่องบันไดบ้านเมื่อครู่
“ไง คนป่วย?” ชายหนุ่มซึ่งมาพร้อมของฝากเยี่ยมไข้ฉีกยิ้มกว้างกว่าเดิมเมื่อหยุดข้างคนป่วย “หน้าตาสดใสกว่าที่ผมคิดไว้อีกนะ” ไม่ชวนคุยแจ้ว ๆ อย่างเดียวสถาปนิกหนุ่มยังส่งของเยี่ยมไข้มาให้ด้วย “ขาหักต้องดื่มนมเยอะๆ กระดูกจะได้เชื่อมต่อกันเร็ว ๆ”
แล้วอกหักล่ะ? ณหฤทัยคันปากอยากถามเหลือเกิน แต่เธอก็ไม่ทำเช่นนั้น นอกจากฝืนยิ้มตามมารยาทเท่านั้น
“ขอบใจมาก ไม่เห็นต้องลำบากเลย”
“ลำบากที่ไหนล่ะพี่ปูเป้ เนี่ย ลูกค้าซื้อมาฝาก เห็นไม่มีใครกิน ผมเลยหิ้วมาให้พี่”
คำพูดหยอกล้อนั้นพาให้พิชชาซึ่งยืนกอดอกพิงกรอบประตูถึงกับขำพรืด พอถูกณหฤทัยมองหน้า สาวแว่นกลับทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ ส่วนคนป่วยนั้นหน้าจ๋อยเลยทีเดียว
“ผมล้อเล่น”
ณหฤทัยฝืนยิ้มบาง แต่อดปรายตาไปมองหน้าพิชชาซึ่งเป็นหนึ่งผู้กุมความลับของเธอไว้ไม่ได้ “ขำอะไรยะ?”
พิชชาไหวไหล่ไม่ยี่หระ ทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ ก่อนปลีกตัวเดินออกไปนั่งเล่นหน้าบ้านเพื่อคืนความเป็นส่วนตัวให้เจ้าของบ้าน พออยู่กันแค่แขกผู้มาเยือนกับเจ้าของบ้าน ณหฤทัยจึงหันมายิ้มให้สาวสวยอีกราย ซึ่งส่งรอยยิ้มอย่างเป็นมิตรมาให้เธอแต่แรก ยอมรับจริง ๆ ว่าฉัตรกรตาถึงมาก จึงคว้าผู้หญิงคนนี้มาเป็นเจ้าสาว แม้สาวเจ้าจะไม่สวยจัดเข้าขั้นนางงาม แต่ด้วยบุคลิกและการแต่งตัวก็ทำให้ผู้หญิงคนนี้ดูดีมาก
“เกือบลืมแนะนำให้รู้จักกันเลย นี่เตยหอมว่าที่เจ้าสาวของผม” ฉัตรกรแนะนำแฟนสาวอย่างภาคภูมิใจ ซ้ำยังโอบไหล่คู่หมั้นสาวไว้อีกด้วย
นี่คือภาพบาดตาบาดใจที่คนฟังอย่างณหฤทัย เธออยากปล่อยโฮออกมาเลย! แต่เธอก็กลั้นน้ำตาไว้ ซ้ำยังฝืนยิ้มออกมาได้
“เตยหอมครับ นี่พี่ปูเป้ พี่ที่ทำงาน ที่ผมเคยเล่าให้ฟังบ่อย ๆ”
“สวัสดีค่ะ ฉัตรพูดถึงพี่ให้เตยฟังบ่อย ๆ พี่ดูเป็นผู้หญิงมากกว่าที่ฉัตรเล่าให้เตยฟังอีกนะคะ”
พอได้ยินเช่นนั้น ณหฤทัยจึงย้ายสายตาไปยังสถาปนิกหนุ่มทันที “นายเมาท์มอยอะไรฉันยะ?”
“เปล่านะครับ ผมก็แค่ชมเฉย ๆ ว่าพี่ปูเป้ทำงานเก่ง ถึกยิ่งกว่าผู้ชาย”
ฟังเถอะ! ฉัตรกรเคยเห็นเธอเป็นผู้หญิงบ้างมั้ย
“แค่นี้จริงเหรอ?” ณหฤทัยย้ายสายตามาที่แฟนสาวของสถาปนิกหนุ่มอีกครั้ง
“ฉัตรเขาชื่นชมพี่ปูเป้น่ะค่ะ”
รู้สึกปลื้มอยู่ แต่คำชมนั้นก็ไม่ทำให้หัวใจเบิกบานได้
มัณฑนากรสาวฝืนยิ้ม “นายตาแหลมว่ะ เจ้าสาวน่ารักมาก”
“ถ้าไม่น่ารัก ผมไม่เอามาเป็นแฟนหรอก” สถาปนิกหนุ่มอารมณ์ดี หันไปยิ้มเจ้าชู้ให้กับว่าที่เจ้าสาวคนสวย แต่เขาก็ถูกหญิงสาวหยิกพุงจนร้องโอดโอยน่าหมั่นไส้ ซึ่งภาพกระเซ้าเย้าแหย่ของคนทั้งคู่ ช่างบาดตาบาดใจณหฤทัยเหลือเกิน แต่เธอต้องฝืนยิ้มรับ ทั้งที่หัวใจกำลังร่ำไห้!
“ให้น้อย ๆ หน่อย คนโสดอิจฉาตาร้อนว่ะ”
พอถูกขัดคอ ฉัตรกรกลับหัวเราะอารมณ์ดี “พี่ก็รีบ ๆ หาบ้างสิ อยู่บนคานเหงานะจะบอกให้”
พอถูกจี้ใจดำเข้าให้ ณหฤทัยหุบยิ้มพูดอะไรไม่ออก
