โอ้อวดและดูแคลน
“ใช่นางที่มาจากสกุลอวี้หรือไม่” เสียงซุบซิบนินทาดังเป็นระลอก ยามเห็นว่าแขกที่มาเยือนคนล่าสุดเป็นผู้ใด
“ใต้เท้าเฉียนฉลาดเฉลียวเช่นนั้น ไม่น่าคิดสั้นแต่งสตรีเช่นนางเข้าจวน นอกจากนางจะไม่สามารถสนับสนุนหน้าที่การงานสามีได้แล้ว เนื้อตัวของนางยังเปลือยเปล่าไร้ซึ่งทรัพย์สมบัติอีก”
“หรือว่านางจะทำคุณไสย์ใส่ใต้เท้าเฉียน เขาถึงได้ลุ่มหลงนางถึงขั้นแต่งนางเป็นฮูหยินเอก”
“อะ...แฮ่ม” เสียงฮูหลินผู้เป็นเจ้าของงานกระแอมเสียงดัง หลังจากต้อนรับแขกคนสุดท้ายซึ่งก็คือฮูหยินเซี่ย เป็นการตักเตือนว่าไม่ควรพูดจาเช่นนี้ในวันมงคล
“ฮูหยินเฉียนเจ้าอย่าได้นำคำพูดของพวกนางไปใส่ใจเลย” ฮูหยินเซี่ยที่นั่งข้างนางเอ่ยขึ้น ด้วยความที่เป็นสตรีรุ่นราวคราวเดียวกัน ทั้งยังเป็นนายหญิงของจวนตั้งแต่อายุยังน้อยทำให้นางไม่ได้รู้สึกเกร็งเท่าใดนัก
“ข้าไม่สนใจสิ่งที่พวกนางพูดหรอกเจ้าค่ะ ข้าได้ยินคำพูดทำนองนี้จนชินเสียแล้ว ใช่ว่าข้าเป็นคนบังคับขืนใจเขาให้แต่งกับข้าเสียเมื่อใดกัน”
“ข้าได้ยินมาว่าใต้เท้าเฉียนส่งแม่สื่อไปสู่ขอท่านถึงที่จวน นับว่ามีความจริงใจต่อเจ้ายิ่งนัก”
“ทั่งแผ่นดินนี้คงมีเพียงสามีข้าผู้เดียวกระมัง ที่คิดแต่งสตรีไร้ซึ่งอำนาจและเงินทองมาเป็นฮูหยินเอก”
“ผู้คนต่างบอกว่าสองสิ่งนี้สำคัญ หากต้องเลือกแต่งงานกับใครสักคน แต่ข้ากลับไม่ได้คิดเช่นนั้น ชายหญิงมีใจตรงกันนี่ถึงนับว่าสำคัญ ดูจากที่ท่านมาร่วมงานแทนใต้เท้าเฉียนแล้ว เขาคงรักท่านมากทีเดียว”
อวี้จวินหรงเพียงส่งยิ้มให้สตรีตรงหน้าอย่างสงวนท่าที นางไม่ได้ตอบอันใดกลับไปเพราะรู้ดีแก่ใจว่าความจริงหาได้เป็นเช่นนั้น อีกอย่างนางไม่ควรไว้ใจใครง่าย ๆ ยิ่งคนตรงหน้าเป็นถึงนายหญิงของตระกูลเซี่ยด้วยแล้วยิ่งไม่ควรไปข้องแวะด้วย เพราะไม่อาจรู้ได้ว่านางมาดีหรือร้าย
“สามีข้าซื้อสร้อยประดับมุกนี้ให้ข้า ข้ารู้สึกมีความสุขยิ่งนัก”
“สร้อยเส้นนี้ราคาไม่ต่ำกว่าร้อยตำลึง ใต้เท้าเหลียงคงรักท่านมากถึงได้ยอมควักเงินจำนวนมากถึงเพียงนั้นเพื่อซื้อมันมาให้ท่าน”
“อาภรณ์ที่ท่านสวมอยู่ใช่ผ้าสูจิ่นที่องค์ฮ่องเต้พระราชทานให้ใช่หรือไม่”
“ฮูหยินเหลียงช่างตาแหลมจริง ๆ สามีข้ายกให้ข้านำมาตัดชุดน่ะเจ้าค่ะ”
“ข้าล่ะอิจฉาท่านจริง ๆ”
สตรีแทบทุกคนในห้องโถงนี้ต่างโอ้อวดสิ่งของกันไม่หยุดหย่อน พลันทำให้นางที่นั่งอยู่ด้วยเริ่มรู้สึกเบื่อหน่ายเต็มที แต่ก็ต้องอดทนรอจนกว่างานเลี้ยงจะจบลง
“แล้วฮูหยินเฉียนเล่า สามีท่านมอบของสิ่งใดให้ท่านบ้างหรือไม่” เหอลี่หลินถามขึ้นจนทำให้ทุกคนหันมาให้ความสนใจนางเป็นตาเดียว เพราะสามีนางเป็นบุรุษรูปงามทั้งยังเฉลียวฉลาด และมีอนาคตไกล ทำให้สตรีจากตระกูลชั้นสูงต่างหมายหมองปองอยากได้เขามาเป็นสามี
“หึ ดูจากอาภรณ์กับเครื่องประดับที่นางสวมมาวันนี้ก็รู้คำตอบแล้วไม่ใช่หรือ” หลีลี่หยางถือวิสาสะตอบแทนพร้อมกับใช้สายตาเหยียดมองนางตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วยความดูถูก
“แม่นางสูงศักดิ์ทั้งหลายช่างให้คุณค่ากับสิ่งของพวกนั้นเสียเหลือเกินนะขอรับ” เสียงบุรุษที่นางคุ้นเคยดังขึ้นที่หน้าห้องโถงจนทุกคนต่างหันไปมอง
“คุณชายท่านนี้ มาที่นี่ได้อย่างไร โถงจัดงานเลี้ยงของบุรุษอยู่อีกฝั่งนะเจ้าคะ”
“ข้าย่อมรู้ เพียงแต่ได้ยินเสียงนกเสียงกาดังไม่หยุดจนทำให้ข้ารู้สึกรำคาญถึงได้มาที่นี่เพื่อดูว่าเป็นเสียงของผู้ใดที่แท้ก็เป็นเสียงของแม่นางจากสกุลหลีนี่เอง ข้าเข้าใจผิดไปรึนี่”
“คุณชาย ท่านหาว่าข้าเป็นนกงั้นหรือ” ลี่หยางเอ่ยขึ้นด้วยความไม่พอใจ
“ข้ายังไม่ได้พูดถึงแม่นางหลีเสียหน่อย เหตุใดถึงได้ร้อนตัวเช่นนี้”
“คุณชายหม่า เชิญท่านกลับไปฝั่งงานเลี้ยงของบุรุษเถิด” ฮูหยินหลินพูดขึ้น
“ข้าไปแน่ แต่หลังจากที่ฮูหยินเฉียนตามข้ามาน่ะขอรับ”
