หนึ่ง ล่วงเกินท่านแล้ว
ค่ำคืนเริ่มคล้อยต่ำลง เมฆครึ้มบดบังแสงจันทร์จนเหลือเพียงแสงเลือนลาง บรรยากาศรอบป่าลึกนั้นเย็นเยียบราวกับลมหายใจแห่งความตาย เจียหลานวิ่งฝ่าความมืดมิดอย่างไม่คิดชีวิต สองข้างทางเต็มไปด้วยพุ่มไม้และต้นไม้ใหญ่ที่บิดเบี้ยวราวกับยื่นมือออกมาคว้าจับนาง เงามืดทาบทับนางในทุกย่างก้าว ทำให้จิตใจของนางเริ่มร้อนรนมากขึ้น
“ต้องรีบเอาตัวออกห่าง...แฮ่ก จากผู้คน”
นางพึมพำกับตนเองพลางกัดริมฝีปากแน่นเพื่อสะกดกลั้นความร้อนรุ่มที่ไหลเวียนอยู่ทั่วร่าง
“ฮู่ว...จะทนไม่ไหวแล้ว”
เจียหลานรู้สึกถึงความเร่าร้อนที่ไม่อาจระงับได้ ฤทธิ์ยากำหนัดที่กินเข้าไปนั้นเริ่มก่อความรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ จนหัวใจเต้นแรง เลือดในกายพุ่งพล่านราวกับจะเผาผลาญตัวเองให้มอดไหม้ ทว่านางก็ไม่ย่อท้อ นางจำเป็นต้องหนีไปในที่ที่ไม่มีผู้ใดอยู่ ด้วยเพราะหวั่นเกรงจิตใจตนเองจะสูญเสียสติและทำสิ่งที่ไม่ควรแก่ผู้ใด
ในที่สุดเจียหลานก็ล้มลงหมดแรงใต้ร่มเงาของต้นไม้ใหญ่ นางพยายามสะกดกลั้นลมหายใจที่หนักหน่วง เอื้อมมือจับโคนต้นไม้เพื่อดันตนขึ้น แต่อาการสั่นสะท้านภายในทำให้นางอ่อนแรงจนต้องฟุบตัวลงไปอีกครั้ง
บางทีนางควรนอนพักอยู่ที่นี่จนกระทั่งฤทธิ์ของยาหมดลง
ท่ามกลางความร้อนรุ่มในร่างกายนั้นเจียหลานได้ยินเสียงหายใจแผ่วเบาจากด้านข้าง เมื่อเงยหน้าขึ้นไปมองในบริเวณเดียวกันใต้ต้นไม้ใหญ่ไม่ไกลจากตรงที่หญิงสาวนอนอยู่ ดวงตาหงส์พบเข้ากับร่างบุรุษผู้หนึ่งนอนอยู่ใต้ต้นไม้เดียวกัน
ชายหนุ่มในชุดดำนอนเอนอยู่ เขาเหมือนขยับตัวไม่ได้ ใบหน้าซีดเซียว แววตาแดงก่ำเล็กน้อยบ่งบอกว่าเขากำลังทรมานอย่างสุดขีด
ตอนล้มตัวลงที่นี่ไม่รู้ตัวเลยว่ามีบุรุษผู้หนึ่งนอนบาดเจ็บอยู่ใต้ต้นไม้เดียวกัน บุรุษในชุดดำคนนั้นท่าทางเหมือนถูกพิษบางอย่างจนขยับตัวไม่ได้ เขาผู้นั้นนอนในความมืดนางจึงไม่เห็นใบหน้าอีกฝ่าย ทว่ารู้สึกได้ว่าเขาเองก็มองเจียหนานด้วยความระมัดระวัง
แต่อีกฝ่ายไม่สามารถเปล่งเสียงใดๆ นอกจากเสียง "อื้อ อื้อ" เบา ๆ เท่านั้น
เจียหลานอ้าปากพยายามเปล่งเสียง
"คุณเป็นใคร"
แต่กลับไร้เสียงตอบรับ ร่างนั้นยังคงนอนนิ่งอยู่ในความเงียบ เพียงส่งสายตาอันเจ็บปวดมองมาที่นาง ขณะนั้นเอง เจียหลานเริ่มรู้สึกถึงพลังอันเร่าร้อนที่ไม่อาจห้ามได้อีกต่อไป
ราวกับพายุคลั่งที่พัดถาโถม...
เจียหลานทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว นางพุ่งเข้าหาร่างบุรุษชุดดำอย่างลืมตัว ในใจต้องการเพียงใครบางคนมาช่วยคลายความปรารถนาที่ร้อนแรงนี้ออกไปจากกายนางที
มือเล็กทั้งสองกำเสื้อผ้าของเขาไว้แน่นก่อนจับฉีกออกเพื่อล้วงมือร้อนเข้าไปสัมผัสเนื้อกาย ดวงตาแดงก่ำพร่ามัวไปด้วยฤทธิ์ยาที่เล่นงานจนนางขาดสติ เหงื่อผุดขึ้นตามผิวแก้มของนางที่เปล่งปลั่งขึ้นอย่างผิดปกติ นางกัดริมฝีปากอย่างสะกดกลั้น ทว่าก็ไม่อาจต้านทานได้อีกต่อไป
บุรุษในชุดดำส่งเสียงอื้ออึงอู้อี้ ร่างของเขาถูกพิษที่ทำให้ขยับไม่ได้จึงไม่อาจป้องกันตนเองได้เลย ทุกส่วนของร่างกายแทบไร้เรี่ยวแรง ยกเว้นเพียงส่วนเดียวที่ตั้งแข็งขึงราวกับบุรุษผู้นี้เองก็โดนพิษกำหนัดเองเช่นกัน ร่างกายอีกฝ่ายกำลังตอบสนองอย่างไม่อาจควบคุมได้ เขาทำได้เพียงมองนางด้วยสายตาหลากหลายทั้ง ตื่นตะลึง ร้อนแรง อิ่มเอมและจบด้วยเคียดแค้น
ท่วงทำนองวาบหวามดำเนินไปจนล่วงไปเกือบหนึ่งชั่วยามจนกระทั่งฤทธิ์ยากำหนัดตัวร้ายเริ่มจางหาย เจียหลานตัวต้นเหตุรู้สึกตัวได้สติขึ้นมา ร่างกายนางเย็นยะเยียบด้วยความตกใจ ดวงตาเบิกกว้างเมื่อมองเห็นร่างของบุรุษชุดดำตรงหน้า
เขายังคงนอนนิ่งพลางจ้องมองนางท่ามกลางความมืดด้วยดวงตาดุดัน
“ฉัน...เอ่อ ข้าขอโทษ” ก้มลงโขกศีรษะที่พื้นอย่างอับอายข้างกายเขา มือบางร้อนรนจัดแจงเสื้อผ้าให้กลับไปอยู่ในสภาพเรียบร้อยเช่นเดิมอย่างรู้สึกผิดมหันต์ "ข้าต้องขออภัยท่าน ข้าไม่ได้ตั้งใจจริง ๆ"
เรื่องนี้ในความรู้สึกของนางผิดบาปมากกว่าการสังหารคนชั่วเสียอีก เป็นนักฆ่าให้องค์กรรัฐมาทั้งชีวิตไม่เคยคิดสนใจรักใคร่ใคร โผล่มาเกิดในนิยายไม่ถึงวันนางก็ทำเรื่องผิดบาปขืนใจผู้ชายเสียแล้ว
"อื้อ..." บุรุษในชุดดำยังไม่สามารถพูดได้เต็มที่ แต่ดวงตาคมของเขาจ้องนางเขม็งราวกับแค้นเคือง
“ข้ารู้ว่าการกระทำของข้าผิดหนักหนายิ่งนัก...ฉะนั้นข้าจะชดเชยเจ้า” นางเริ่มปลดเครื่องประดับจากตัวออกมา ทั้งสร้อยข้อมือและแหวนเครื่องประดับทั้งหมดบนกายซึ่งแน่นอนว่าคุณหนูตระกูลขุนนางใหญ่นั้นมีของมีค่าซึ่งประกอบด้วยอัญมณีล้ำค่าพกติดตัว นางวางมันลงข้างตัวเขาด้วยความรู้สึกผิด
“นี่เป็นเพียงคำขอโทษและค่าตอบแทนเล็กน้อยที่ข้าพอจะมอบให้ท่านได้”
เจียหลานกล่าวจบก็รีบหันหลังและรีบออกจากป่าลึกโดยไม่เหลียวกลับมามองอีกเลย
เมื่อเจียหลานเดินทางออกจากป่ากลับถึงจวนตระกูลติงตามความทรงจำของร่างนางร้ายผู้นี้ ทันใดนั้นไม่ทันได้ตั้งตัวร่างของนางถูกสาวใช้หลายคนจับกุมลากออกไปตามทางเดินอย่างไม่แยแส พวกนางเดินตรงไปยังห้องโถงกลางอย่างไร้การกล่าวคำใด เมื่อเปิดประตูห้องโถงออก เสียงสนทนาซุบซิบของเหล่าบ่าวไพร่ก็เงียบลง สายตาทุกคู่จับจ้องมายังร่างของติงฉินอวี้...หรือก็คือเจียหลานอย่างสนใจ
ในห้องโถงกลาง มีฮูหยินใหญ่คนปัจจุบัน ติงซิ่วหรูนั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวใหญ่ แสดงท่าทีเยือกเย็นราวกับน้ำแข็งขาวขุ่น ข้างๆ กันคือคุณหนูรองติงลี่เหมย ผู้เป็นบุตรีของฮูหยินติงซิ่วหรูซึ่งมองนางด้วยสายตาเย้ยหยัน ร่างบิดาผู้เป็นประมุขตระกูล ติงเจี้ยนหาว ยืนอยู่กลางห้อง พร้อมบ่าวไพร่และสาวใช้ที่ทั้งนั่งและยืนจับกลุ่มมุงดูเหตุการณ์
ฮูหยินติงซิ่วหรูหรือฉู่ฮูหยินเหลือบมองนางด้วยแววตาเย็นชาทว่าในชั่วพริบตาสังเกตเห็นว่านางมีความพอใจบางอย่างผ่านวูบมาและหายไป
“อวี้เอ๋อร์” ฮูหยินติงซิ่วหรูเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนทว่ามันดูหวานจนเลี่ยนสำหรับเจียหลาน “นี่เจ้ากลับมาจากที่ใดหรือ เป็นสตรีในห้องหอหายไปทั้งคืนเช่นนี้ เจ้าอย่าลืมนะว่าตนเองเป็นถึงบุตรีคนโตของประมุขตระกูลติง คงไม่ใช่ไปทำเรื่องอับอายขายหน้าหรอกนะ”
