สอง แขกไม่ได้รับเชิญกิตติมศักดิ์
เมื่อเดินกลับมาถึงเรือนเล็ก ๆ อันเป็นสถานที่ที่ร่างนี้อาศัยโดยมีสาวใช้ส่วนตัวของตนวิ่งตามหลังมาอย่างเร่งรีบ
“คุณหนูเจ้าคะ...วันนี้คุณหนูดูเปลี่ยนไปมากเหลือเกิน ข้าน้อยเกรงว่าคุณหนูจะโดนลงโทษหนักจากการที่ท่านทำเช่นนั้น หากฉู่ฮูหยินและท่านประมุขไม่พอใจ”
เจียหลานหันมามองสาวใช้ที่มีนามว่า เสี่ยวฮวาที่กำลังมองมายังเจ้านายสาวด้วยสายตาเป็นกังวล รอยยิ้มเย็นยะเยือกปรากฏขึ้นบนใบหน้าของนาง
“ข้าไม่จำเป็นต้องเกรงกลัวผู้ใด พวกเขาทำได้มากที่สุดคงเป็นไล่ข้าออกจากจวนกระมัง”
สาวใช้มองคุณหนูใหญ่ติงฉินอวี้ด้วยความประหลาดใจอย่างยิ่ง นางส่ายหน้าเบา ๆ ก่อนจะถามเสียงแผ่ว
“แต่คุณหนูใหญ่เจ้าคะนั่นเป็นเรื่องน่าหวั่นใจยิ่งนี่เจ้าคะ แถมวันนี้ท่านดู...แปลกไป ทำไมวันนี้ถึงกล้าเถียงฉู่ฮูหยิน ทั้ง ๆ ที่แต่ก่อนท่านเคารพรักนางดั่งแม่แท้ ๆ ก็มิปาน”
เจียหลานยิ้มเยาะ “คนอย่างฮูหยินนั่นมีแต่ความลวง ข้าจะเคารพรักไปเพื่ออันใดกันเล่า ในอดีตข้าโง่งมมานาน วันนี้ข้าตาสว่างแล้ว จากนี้ไปข้าจะไม่ยอมให้ผู้ใดเอารัดเอาเปรียบข้าอีก”
“...”
เสี่ยวฮวามองคุณหนูใหญ่ที่เคยอ่อนแอต้องการความรักจากมารดาเลี้ยงจนยอมทำทุกอย่างที่สตรีผู้นั้นสั่งโดยไร้เงื่อนไขอย่างงุนงง นางไม่เข้าใจว่าเหตุใดคุณหนูผู้เคยอ่อนแอและเชื่อฟังทุกคำของฮูหยินติงซิ่วหรูจึงได้เปลี่ยนไปเพียงชั่วข้ามคืนเช่นนี้
หลายชั่วยามผ่านไป ความเงียบสงบภายในจวนตระกูลติงกำลังกลับคืนดั่งเดิมเมื่อหมอประจำตระกูลรักษาอาการป่วยกระทันหันของชายชราประมุขตระกูลเสร็จกำลังจะลาจากไป ทว่ายังไม่ทันได้หายใจกันได้คล่องจมูกก็มีแขกผู้มาเยือนอีกท่าน คนผู้นี้ไม่มีใครคาดคิดว่าเขาจะย่างกรายมายังจวนเล็ก ๆ แห่งนี้
บุรุษหนุ่มรูปงานที่ทั่วทั้งเมืองหลวงต่างรู้จักในนาม ‘พญามัจจุราชแห่งราชสำนัก’ หรือ ‘มือซ้ายขององค์ฮ่องเต้’ บุรุษมากด้วยชื่อเรียกผู้นั้นคือ หยางเจี้ยนหมิง กั๋วกงหนุ่มผู้ทรงอำนาจและเปี่ยมด้วยความเอาแต่ใจจนเป็นที่หวาดหวั่นแม้กระทั่งขุนนางในราชสำนักด้วยกันเอง
การมาถึงของหยางเจี้ยนหมิงนับว่าเป็นเรื่องยิ่งใหญ่ เพราะเขาเป็นบุคคลที่ไม่ปรานีผู้ใด กล้าต่อกร ไม่เคยก้มศีรษะให้ใคร เว้นแต่ฮ่องเต้เพียงผู้เดียว ความเกรงขามที่แผ่ซ่านออกมาจากเขา คือเหตุผลที่ผู้คนมักไม่ปรารถนาคบหาไปมาหาสู่ด้วยนั่นเอง ทว่าในวันนี้ที่หน้าจวนตระกูลติงกลับมีรถม้าที่ดูจากตราประทับและลวดลายสลักไม้ก็สามารถระบุได้ชัดเจนว่าเป็นรถม้าจากตระกูลหยางมาหยุดลงตรงหน้าจวน พ่อบ้านตระกูลติงรีบรุดเข้าไปแจ้งเจ้านายภายในเรือนใหญ่ให้ทราบทันที
ติงเจี้ยนหาวและฉู่ฮูหยินที่อยู่ในเรือนใหญ่พลันเกิดความประหลาดใจระคนยินดีที่ได้ทราบข่าวการมาเยือนอันไม่คาดฝันครานี้
“ท่านหยางกั๋วกงถึงกับมาถึงจวนของเราด้วยตัวเองเชียวหรือ” ติงเจี้ยนหาวพึมพำขมวดคิ้วอย่างครุ่นคิด สมองของชายชราคิดสิ่งแรกคือความเป็นไปได้ว่าที่ผ่านมาตนเองทำเรื่องใดสร้างความไม่พอใจให้กั๋วกงผู้นี้หรือไม่ก่อนเลยด้วยซ้ำ “แปลกยิ่งนัก”
ผิดกับฉู่ฮูหยินที่ทั้งปรบมือและยิ้มอย่างยินดีเป็นล้นพ้น
“นี่นับเป็นโอกาสอันดียิ่งนักเจ้าค่ะท่านพี่ หากมาด้วยเรื่องงานเพื่อมาคุยกับท่านพี่ก็ดี เราสามารถพาเหมยเอ๋อร์ของเราไปพูดคุยเผื่อเข้าตาท่านกั๋วกงผู้นี้ได้ ข้าได้ยินว่าป่านนี้แล้วเขายังไม่ได้แต่งงานมีฮูหยินสักคนนี่เจ้าคะ บางทีอาจได้เกี่ยวดองกับตระกูลหยางเชียวนะเจ้าคะท่านพี่ ความสำเร็จเช่นนี้ใครเล่าจะอยากปฏิเสธ”
“หากเป็นเรื่องธุระทั่วไปก็ดีไป ข้าหวังว่าการมาเยือนครั้งนี้จะมิใช่เหตุร้ายก็พอแล้ว ไปเถอะ ให้คนไปเรียกเหมยเอ๋อร์ไปต้อนรับแขกเถอะ”
“เจ้าค่ะท่านพี่ ข้าจะไปบอกให้ลูกสาวของเราแต่งตัวสวย ๆ ไปต้อนรับแขก”
“อืม”
ขณะเดียวกันนั้นเองท่านกั๋วกงหนุ่มผู้มีนามว่าหยางเจี้ยนหมิงถูกนำทางมายังห้องโถงใหญ่ ติงเจี้ยนหาวยกเก้าอี้สูงสุดให้แขกผู้นั้นเพื่อแสดงความเคารพแม้อีกฝ่ายจะเยาว์วัยกว่าก็ตามทว่าอำนาจบารมีที่สะท้อนออกมาทำให้ยากจะปฏิเสธเหลือเกิน
ฉู่ฮูหยินและบุตรีคนรองคนงามติงลี่เหมย ต่างรีบเดินตามหลังเข้ามาต้อนรับหยางเจี้ยนหมิงด้วยท่วงท่างามสง่าน่าชื่นชม ชั่วพริบตาที่ได้สบตากับกั๋วกงหนุ่ม คุณหนูคนรองแห่งจวนแม่ทัพใหญ่แดนเหนือ ติงลี่เหมยก็รู้สึกหัวใจเต้นแรง เลือดมากมายขึ้นมาสูบฉีดใบหน้าของสตรีตัวน้อยทำให้แดงซ่านราวกับสตรีเพิ่งเจอหนุ่มรูปงามเช่นนี้เป็นคราแรก
บุรุษผู้นี้นี่แหละที่เหมาะกับสตรีเช่นนาง
ติงลี่เหมยแย้มยิ้มหวานราวกับดอกไม้บานสะพรั่ง ดวงตาหวานเชื่อมส่งให้แขกผู้ไม่ได้นัดหมายมาเยี่ยมเยือนอย่างออกนอกหน้า
ใบหน้าหล่อเหลาของเขายิ่งตอกย้ำข่าวลือที่เคยได้ยินถึงความเยือกเย็นและคารมคมคาย ติงลี่เหมยรวบรวมความกล้าก้าวเข้าไปหาอย่างนอบน้อม พร้อมยกกาน้ำชาเตรียมรินให้เขาด้วยมือที่พยายามให้มั่นคง
“ท่านกั๋วกงเจ้าคะ ข้าน้อยนามว่าติงลี่เหมยเป็นบุตรีคนรองของท่านพ่อ ให้เหมยเอ๋อร์รินชาให้ท่านนะเจ้าคะ”
ติงลี่เหมยเอ่ยเสียงอ่อนหวาน แม้ว่าหยางเจี้ยนหมิงจะหยุดมองนางอยู่ครู่ใหญ่ไม่ตอบรับหรือปฏิเสธอันใดจนทำให้คนเสนอคนลังเลไม่น้อยทว่าสุดท้ายแล้วเมื่อได้เห็นรอยยิ้มตอบรับแม้เจือจางบางเบาก็รู้สึกใจชื้นขึ้นมามากโขทีเดียว
“ได้สิ”
กลิ่นชาหอมละมุนอบอวลในห้องโถง
“ชาในจวนของบิดาเหมยเอ๋อร์นี้ล้วนเป็นชาชั้นเลิศ มีเอกลักษณ์หอมละมุน หวังว่าจะถูกใจท่านกั๋วกงนะเจ้าคะ”
“กลิ่นหอมนี้ช่างเย้ายวน ชิมแล้วข้ารู้สึกราวกับได้รับการต้อนรับดั่งตนเองเป็นขุนนางในแดนสวรรค์”
คำเอ่ยชมเกินจริงนั้นสร้างความปลาบปลื้มแก่ติงลี่เหมยมากเข้าไปอีก นางตัดสินใจใช้โอกาสนี้พูดคุยต่อไป “ข้าน้อยยินดีที่ท่านชอบเจ้าค่ะ”
ก่อนที่จะเกิดบทสนทนาระหว่างหนุ่มสาวไปมากกว่านี้ประมุขตระกูลติงที่มีความสงสัยอยู่เต็มอก อดไม่ได้ที่จะชักจูงดึงหยางเจี้ยนหมิงให้หันมาสู่เรื่องสำคัญ
ชายชราอยากรู้เหตุผลที่อีกฝ่ายมาเยือนในวันนี้เหลือเกิน
“เอ่อ ไม่ทราบว่าท่านกั๋วกงมาหาข้อน้อยถึงที่จวน ไม่ทราบว่ามีสิ่งใดให้ข้าน้อยรับใช้หรือ”
“ไม่มีอันใดมากหรอก อย่าคิดมากเลยท่านแม่ทัพ สาเหตุที่ข้ามาในวันนี้เป็นเพราะได้ยินมาว่าตระกูลติงมีปัญหาเรื่องที่ดินในเขตตะวันออกของเมือง ตกลงเรื่องราคากันไม่ลงตัวใช่หรือไม่ ความจริงเขตแถวนั้นสหายสนิทของข้าดูแลอยู่จึงคิดว่าสามารถให้ความช่วยเหลือแก่ท่านได้”
“เอ่อ...”
“ไม่ต้องกังวลมากเกินไป ข้าจัดการให้ได้เรื่องเล็กน้อยแค่นี้เอง”
