บทที่ 7 สมัครเรียนภาคค่ำ
เพียงไม่กี่คำพูดของเจียงเฉิง สีหน้าของเหอตานก็พลันซีดเผือด ดูไม่ได้อย่างที่สุด
พอแม่หลินได้ฟังก็แอบคล้อยตาม แต่พอนึกขึ้นได้ว่าเงินหกร้อยหยวนนั่นเหอตานเป็นคนจ่าย เธอก็เลยยังไม่กล้าทำอะไรออกไป
เมื่อคิดได้ดังนั้น แม่หลินก็รีบดึงมือเหอตานมากุมไว้ "เจียงเฉิง เธอย่ามาพูดยุแยงตะแคงรั่วเลยนะ เหอตานน่ะก็เหมือนลูกสาวแท้ๆ ของฉัน!"
เจียงเฉิงอดหัวเราะออกมาไม่ได้ เสียงของเธอดังกังวานใส "ตำแหน่งลูกสาวแท้ๆ ของแม่นี่มันช่างไร้ค่าจริงๆ"
พอเจียงเฉิงพูดเตือนสติ ทุกคนถึงได้นึกขึ้นได้ว่า เมื่อวานแม่หลินก็พูดแบบนี้กับเจียงเฉิงเป๊ะเลย
"แม่คะ ฉันเชื่อแม่ค่ะ ยังไงเราก็ครอบครัวเดียวกัน" เหอตานไม่ใช่คนโง่ เธอรีบพูดให้แม่หลินมีทางลง
แม่หลินได้ทีก็รีบข่มกลับทันที "นั่นสิ! พวกเราต่างหากคือครอบครัวเดียวกันจริงๆ!"
เจียงเฉิงไม่สนใจแม่หลินที่ทำเสียงประหลาดๆ อีก เธอหันหลัง โบกมืออย่างไม่ไยดี พลางฮัมเพลงเบาๆ
"ปลาก็ว่ายไปหาปลา กุ้งก็ว่ายไปหากุ้ง สมกันดีจริงๆ ครอบครัวเดียวกันแท้ๆ! ลำบากคนเดียว สบายกันทั้งบ้าน เวรกรรมมันยังไม่ถึงเวลาทำงานเท่านั้นแหละ"
เจียงเฉิงทิ้งคำพูดเป็นชุดๆ ไว้ ก่อนจะเดินเข้าบ้านเสิ่นไป ปิดประตูตัดขาดสายตาจากภายนอก
ให้แม่หลินโกรธจนแทบกระอัก เธอรู้สึกว่าเจียงเฉิงกำลังแช่งชักหักกระดูกและแขวะเธอ แต่ก็อาละวาดไม่ได้ เมื่อวานหลินเฉิงหย่วนเพิ่งกำชับว่าช่วงนี้ให้สงบเสงี่ยมไว้หน่อย ไม่อย่างนั้นถ้างานของเขาเกิดปัญหาขึ้นมา มันจะไม่คุ้มเสีย
แม่หลินเลยต้องหันไประบายอารมณ์ทั้งหมดลงที่หลินเจียวเจียวซึ่งยังยืนอึ้งอยู่แทน "ยังจะมองอะไรอีก? มองจนตาถลนออกมาเลยไหม! วันๆ ไม่ทำอะไร ปากก็มีไว้กินอย่างเดียว! วันนี้แกทำกับข้าว!"
หลินเจียวเจียวโดนแม่หลินตวาดใส่จนหลุดจากภวังค์ "แม่คะ... เจียงเฉิง..."
"อย่ามาเอ่ยชื่อมันให้แม่ได้ยิน!"
แม่หลินหงุดหงิดกับความโง่เง่าของหลินเจียวเจียว ถ้ามีปัญญาก็กำจัดเจียงเฉิงให้สิ้นซากไปสิ แต่นี่กลับไม่มีปัญญา ทำได้แค่หาเรื่องเดือดร้อนให้ตัวเอง
หลินเจียวเจียวเบะปาก "แม่คะ หนูจะไปทำกับข้าวเป็นได้ยังไง?"
"ทำไม่เป็นก็หัดทำสิ!"
แม่หลินตะคอกอย่างหัวเสีย แล้วก็เริ่มเถียงกันอีกพักใหญ่ว่าใครจะเป็นคนทำ สุดท้ายก็ลงเอยที่แม่หลินต้องลากเหอตานไปทำด้วย ส่วนหลินเจียวเจียวก็ไม่รอด
เจียงเฉิงไม่สนใจเรื่องเหล่านี้ บ้านหลินยังมีเรื่องให้ทะเลาะกันอีกเยอะ!
ในขณะเดียวกัน ที่บ้านเสิ่นซึ่งอยู่ตรงข้าม เจียงเฉิงก็หยิบลูกอมผลไม้ออกมาเจ็ดเม็ด แจกให้เสิ่นซิง เสิ่นเยว่ และคุณย่าเสิ่นคนละสองเม็ด และหยิบเข้าปากตัวเองเม็ดหนึ่ง "กินให้ปากหวานๆ กันค่ะ"
เสิ่นซิงกับเสิ่นเยว่หันไปมองคุณย่าเสิ่นที่กำลังทำท่าจะปฏิเสธ
"คุณย่าคะ เมื่อกี้คุณย่าเพิ่งช่วยพูดแทนฉันไปหยกๆ ตอนนี้แค่อยากให้ทุกคนกินลูกอมเพื่อรับคำขอบคุณจากฉันสักเม็ดสองเม็ดเอง คงไม่ใช่ว่าเห็นว่ามันน้อยไปเลยจะปฏิเสธหรอกนะคะ"
คุณย่าเสิ่นถึงกับพูดไม่ออก ถึงท่านจะยังไม่รู้จักเจียงเฉิงดีนัก แต่ท่านก็รู้สึกว่าเด็กคนนี้... พูดจาฉลาดหลักแหลมจริงๆ
"เอ้าๆ กินก็กิน"
พอคุณย่าเสิ่นอนุญาต เสิ่นซิงกับเสิ่นเยว่ก็กล่าวขอบคุณ รับลูกอมผลไม้ไป พอฉีกเปลือกลูกอมแล้วก็ไม่ทิ้ง แต่เก็บเปลือกสวยๆ นั้นไว้คั่นหนังสืออย่างหวงแหน
กลิ่นส้มหอมฟุ้งไปทั่วโต๊ะอาหารตัวเล็ก หอมหวาน... หวานลึกเข้าไปในหัวใจ
.
.
.
มื้อเย็นวันนี้คือแป้งจี่ธัญพืช ซุปผักกาดขาว และผักกาดดองเส้น
หลังอาหารเย็น คุณย่าเสิ่นเป็นคนไปล้างจาน เจียงเฉิงเห็นดังนั้น ก็เลยมานั่งดูเด็กน้อยทั้งสองคนทำการบ้านแทน
เสิ่นซิงอยู่ชั้นประถมสอง ส่วนเสิ่นเยว่อยู่ชั้นเตรียมอนุบาล ซึ่งจะขึ้นประถมหนึ่งในเดือนกันยายนนี้ เจียงเฉิงเห็นเสิ่นซิงทำโจทย์เลขผิดก็ช่วยเตือน พยักหน้าให้เมื่อเห็นเขาแก้จนถูกต้อง
"พี่เจียงเฉิงครับ พวกเขาบอกว่าพี่ไม่เคยเรียนหนังสือ แล้วทำไมพี่ถึงรู้เรื่องพวกนี้ล่ะครับ?"
เจียงเฉิงที่กำลังถือตำราเรียนภาษาจีนชั้นประถมอยู่ในมือ พลิกหน้ากระดาษเบาๆ ก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยที่สุด "ก็เพราะว่าฉันมีพรสวรรค์อัจฉริยะติดตัวมาแต่เกิดน่ะสิ"
เสิ่นซิงตาโตเท่าไข่ห่าน หัวใจดวงน้อยๆ ถูกจู่โจมอย่างรุนแรง... มีคนชมตัวเองแบบนี้บนโลกด้วยเหรอ? "ปกติมันต้องเป็น 'งดงามแต่กำเนิดยากจะละทิ้ง' ไม่ใช่เหรอครับ?"¹
เจียงเฉิงวางหนังสือลง สบตาเสิ่นซิงอย่างจริงจัง "เสิ่นซิง พี่จะบอกอะไรให้อย่างนะ บนโลกนี้มันก็มีคนประเภทที่พิเศษกว่าคนอื่นอยู่"
"อย่างเช่นพี่นี่ไง ทั้งสวย ทั้งอัจฉริยะ บางทีพี่ก็คิดนะ ว่าสวรรค์นี่ช่างไม่เหลือทางเดินให้คนอื่นบ้างเลย ในเมื่อส่งพี่มาเกิดแล้ว จะส่งคนอื่นมาเกิดให้ขายขี้หน้าอีกทำไม?"
เสิ่นซิงฝืนยิ้มแห้งๆ เขาคิดผิด คนเราไม่เพียงแต่ชมตัวเองแบบนี้ได้ แต่ยังชมได้เว่อร์วังกว่านี้อีก
"พี่สาวสวยที่สุด!" เสิ่นเยว่ที่อยู่ข้างๆ ไม่ได้คิดซับซ้อนอะไร เธอแค่ชอบใบหน้าของเจียงเฉิง มองแล้วมีความสุข
เจียงเฉิงหันไปมองเสิ่นเยว่ ใช้นิ้วชี้แตะจมูกเล็กๆ ของเธอ "ตาแหลมมาก อนาคตไกลนะเรา!"
เสิ่นเยว่โดนหยอกจนหัวเราะคิกคัก อ้าปากจนเห็นเหงือกที่ฟันหน้าหลอ มือสองข้างรีบยกขึ้นมาปิดปากตัวเอง ท่าทางน่าเอ็นดูเสียจริง
ทั้งสามคนพูดคุยหัวเราะกันอย่างสนุกสนาน คุณย่าเสิ่นที่ล้างจานเสร็จกลับมาเห็นภาพนี้แล้วถึงกับอยากปาดน้ำตา... เด็กสองคนนี้ไม่ได้มีความสุขแบบนี้มานานแค่ไหนแล้วนะ
เจียงเฉิงเงยหน้าขึ้นมองคุณย่าเสิ่นแล้วลุกขึ้นยืน "คุณย่าคะ ฉันว่าจะไปโรงเรียนภาคค่ำสมัครเรียนหน่อยค่ะ"
"โอ้? ดีๆ! ย่ามีไฟฉายอยู่นี่ หนูเอาติดตัวไปนะ รีบกลับมาล่ะ แล้วก็เดินแต่ถนนใหญ่ล่ะ"
"ค่ะ เดี๋ยวหนูรีบไปรีบกลับ"
เจียงเฉิงหยิบไฟฉายสีเงินมาถือไว้ สะพายกระเป๋าสีเขียวสายเดี่ยว ออกจากลานบ้านรวม มุ่งหน้าไปยังโรงเรียนภาคค่ำ
เจียงเฉิงไม่เคยคิดจะเก็บงำความสามารถของตัวเอง ไม่เพียงแต่ไม่เก็บงำ เธอยังตั้งใจจะสร้างภาพลักษณ์ 'อัจฉริยะด้านภาษา' ขึ้นมาด้วยซ้ำ ยิ่งเธอได้กลับไปทำงานแปลเร็วเท่าไหร่ เธอก็ยิ่งจะได้ใช้ความสามารถของตัวเองทำประโยชน์เร็วขึ้นเท่านั้น
เท่าที่เธอรู้ ยุคนี้ขาดแคลนล่ามและนักแปลอย่างหนัก เอกสารสำคัญมากมายต่างก็ต้องการการแปล
เธอเดินพลางถามทางไปตลอดทาง และด้วยความช่วยเหลือจากคุณลุงคุณป้าผู้แสนกระตือรือร้นและจริงใจ ในที่สุดเจียงเฉิงก็มาถึงหน้าโรงเรียนภาคค่ำ
โรงเรียนภาคค่ำถูกจัดตั้งขึ้นเพื่อยกระดับความรู้ของประชาชนทั่วไป แบ่งออกเป็น 'ชั้นเรียนขั้นพื้นฐาน' และ 'ชั้นเรียนขั้นสูง'
'ชั้นเรียนขั้นพื้นฐาน' ก็ตรงตามชื่อ ส่วน 'ชั้นเรียนขั้นสูง' ส่วนใหญ่จะเป็นคนที่โรงงานต่างๆ แนะนำให้มาเรียนต่อ พอกลับไปก็จะได้รับการเลื่อนตำแหน่ง แถมคนที่ถูกแนะนำมายังได้เรียนฟรีอีกด้วย
ส่วนคนที่ดั้นด้นมาเองอย่างเจียงเฉิง จะต้องจ่ายค่าเล่าเรียนเอง และต้องมาลุ้นด้วยว่าโรงเรียนจะมีที่ว่างเหลือหรือไม่
หลังจากชวนคุณลุงยามหน้าประตูคุยสัพเพเหระอย่างเป็นกันเองอยู่พักใหญ่ เจียงเฉิงก็หาห้องธุรการเพื่อลงทะเบียนจนเจอ
เจ้าหน้าที่ที่รับลงทะเบียนเป็นผู้หญิง เธอกวาดสายตามองเจียงเฉิงตั้งแต่หัวจรดเท้า
(คงเป็นอีกคนที่คิดจะใช้หน้าตามาจับผู้ชาย! พวกหัวกะทิที่มาเรียนต่อที่นี่ก็มีไม่น้อย เด็กสาวบางคนก็เลยฉวยโอกาสมาเรียนเพื่อหาคู่ ช่างไม่อายจริงๆ)
เจ้าหน้าที่สาวไม่อยาก 'สนับสนุนคนทำเรื่องไร้ยางอาย' จึงตอบไปว่า "ที่เต็มแล้วค่ะ"
เจียงเฉิงทำท่าประหลาดใจ บ่นพึมพำอย่างไม่เข้าใจ "เอ... แต่คุณลุงหวังบอกว่ายังเหลืออีกสองที่นี่นา"
(ลุงหวังยามหน้าประตู: ฉันโดนลดขั้นเป็น 'ลุง' ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?)
เจ้าหน้าที่ที่ชื่อจ้าวหน่าใจกระตุก... ลุงหวังเหรอ? ผู้อำนวยการโรงเรียนภาคค่ำก็นามสกุลหวังนี่นา... แถมที่จริงมันก็ยังเหลืออีกสองที่จริงๆ ด้วย
"รอเดี๋ยวนะ!"
จ้าวหน่าแกล้งทำเป็นพลิกเอกสารไปมาสองสามที ก่อนจะถามด้วยท่าทีเหมือนกำลังให้ความช่วยเหลือครั้งยิ่งใหญ่ "มีวุฒิอะไร?"
"ไม่มีวุฒิการศึกษาค่ะ"
คำตอบของเจียงเฉิงทำให้เจ้าหน้าที่สาวเบ้ปาก บรรยากาศรอบตัวเต็มไปด้วยความรำคาญ เธอสะบัดกระดาษแผ่นหนึ่งส่งให้
"ชั้นเรียนขั้นพื้นฐาน เทอมละเจ็ดหยวนแปดเหมา กรอกใบสมัครเองเลย"
"อุ๊ยตาย ลืมไปว่าเธออ่านหนังสือไม่ออก" รอยยิ้มเยาะเย้ยและความรู้สึกเหนือกว่าของเธอแทบจะล้นออกมาจากมุมปาก
"ฉันแค่บอกว่าฉันไม่มีวุฒิการศึกษา ไม่เคยพูดว่าฉันอ่านหนังสือไม่ออก"
เจียงเฉิงหยิบใบสมัครขึ้นมาดูแวบหนึ่ง "ฉันไม่ต้องการชั้นเรียนขั้นพื้นฐานค่ะ ฉันจะสมัครชั้นเรียนขั้นสูง"
"ปัง!"
"ให้ทำอะไรก็ทำไปเถอะ ไม่เคยเรียนที่โรงเรียนสักวัน จะมาเข้าชั้นเรียนขั้นสูงเพื่ออะไร!" เจ้าหน้าที่สาวแค่นเสียงอย่างรำคาญเต็มทน
เจียงเฉิงไม่โกรธ ไม่ฉุนเฉียว
"ฉันมาสมัครเรียน และได้ชี้แจงเหตุผลไปแล้วว่าทำไมไม่จำเป็นต้องเข้าชั้นเรียนขั้นพื้นฐาน ฉันอยากทราบว่าคุณใช้อำนาจอะไรมาขัดขวางไม่ให้ฉันสมัครเรียนชั้นขั้นสูงคะ?"
"เมื่อกี้คุณบอกว่าที่เต็ม ตอนนี้กลับมีที่ว่าง หรือว่าโรงเรียนภาคค่ำแห่งนี้ คุณเป็นเจ้าของควบคุมทุกอย่างงั้นเหรอ?"
"ฉันมาเรียนหนังสือก็เพื่อรับใช้ปิตุภูมิ เพื่อเป็นกำลังเสริมในการสร้างชาติ แต่คุณกลับขัดขวางทุกวิถีทาง... มันหมายความว่ายังไงกันแน่?"
เจียงเฉิงพูดเสียงดังฟังชัด จนคนข้างนอกเริ่มหันมามอง จ้าวหน่าถึงกับนั่งไม่ติดเก้าอี้
นี่เธอกลายเป็นคนขัดขวางการสร้างชาติไปตั้งแต่เมื่อไหร่??? ข้อกล่าวหานี้มันร้ายแรงเกินไป หนักหนาจนเธอแทบหายใจไม่ออก
ทุกอย่างเงียบไปสิบวินาที
เจียงเฉิงค่อยๆ วางใบสมัครในมือลงบนโต๊ะ พูดอย่างใจเย็น "คุณคงหยิบมาผิดใบ รบกวนขอใบใหม่ด้วยค่ะ"
จ้าวหน่ากัดฟันฝืนยิ้ม ยอมถอยให้แต่โดยดี
เจียงเฉิงสมัครเรียนได้สมใจ เธอยิ้มบางๆ ให้เจ้าหน้าที่สาว "พรุ่งนี้เจอกันนะคะ ต่อไปนี้เราก็เป็นสหายที่ก้าวหน้าไปด้วยกันแล้ว"
(จบตอน)
เชิงอรรถจากผู้แปล:
¹ งดงามแต่กำเนิดยากจะละทิ้ง (天生丽质难自弃): เป็นวรรคทองจากบทกวี "ฉางเฮิ่นเกอ" (长恨歌) ที่บรรยายถึงความงามของหยางกุ้ยเฟย เจียงเฉิงจงใจดัดแปลงคำว่า "ความงาม" (丽质) เป็น "ความอัจฉริยะ" (聪颖) เพื่อชมตัวเอง
