บท
ตั้งค่า

บทที่ 6 มีของฟรี ทำไมไม่ใช้

เจียงเฉิงเดินตามตู้หยุนอยู่หนึ่งวันเต็มๆ งานนี้ไม่ยากเลยจริงๆ

หน้าที่ของเธอมีเพียงคอยดูการชั่งน้ำหนักหลังจากการคัดแยกสิ้นสุดลง ลงบันทึกของเก่าแต่ละประเภทเข้าแฟ้ม และลงบันทึกอีกครั้งเมื่อของเหล่านั้นถูกขายออกไป

ตอนแรกตู้หยุนก็แอบกังวลว่าเจียงเฉิงจะทำได้ไม่ดี เพราะอย่างไรเสียเจียงเฉิงก็มาจากชนบท แถมยังได้ยินมาว่าไม่เคยเรียนหนังสือ ถ้าไม่ใช่เพราะก่อนหน้านี้เจียงเฉิงเคยอ่านหนังสือพิมพ์ให้เธอฟังเพื่อพิสูจน์ว่าอ่านออกเขียนได้ ตู้หยุนก็คงไม่กล้าให้เจียงเฉิงมารับช่วงต่อ

ที่จริงแล้ว ตู้หยุนเองก็มีแผนในใจ อย่างไรเธอก็เรียนจบมัธยมต้น ส่วนเจียงเฉิงเป็นแค่คนที่ยังไม่จบประถม ไม่มีทางแย่งงานของเธอไปได้แน่

บ่ายสองโมงกว่า พี่หวังที่รับผิดชอบงานลงบันทึกเหมือนตู้หยุนก็เลิกงานแล้ว

ตู้หยุนยิ้มแย้มเดินไปส่งพี่หวังโดยไม่ปริปากบ่นสักคำ เจียงเฉิงจึงดูออกทันทีว่าพี่หวังคนนี้ต้องมีเส้นสาย

บ่ายสี่โมง ตู้หยุนก็เตรียมเลิกงาน

ทั้งคู่เดินกลับพร้อมกันโดยไม่ได้ปิดบังอะไร

"สองสามวันนี้ฉันรู้สึกท้องแข็งๆ บ่อย สงสัยจะใกล้คลอดแล้ว พรุ่งนี้เธอมาเองคนเดียวไหวไหม?"

เจียงเฉิงพยุงตู้หยุนพลางพยักหน้า "พี่วางใจได้เลยค่ะ ฉันไม่ทำให้พี่เสียหน้าแน่นอน"

คำพูดประโยคเดียวของเจียงเฉิงทำให้ตู้หยุนรู้สึกสบายใจอย่างยิ่ง รู้สึกว่าตัวเองเลือกคนไม่ผิด

ในขณะเดียวกัน ที่ลานบ้านรวมก็กำลังคึกคักได้ที่ หลินเจียวเจียวยืนอยู่ที่หน้าประตูบ้านเสิ่น ท่าทางหยิ่งผยองราวกับไก่ชนที่เพิ่งชนะ

"หัวหน้าจางคะ เจียงเฉิงต้องแอบไปซ่อนตัวอยู่แน่ๆ! คนไม่มีงานทำอย่างเธอ จะออกไปเตร็ดเตร่ข้างนอกทั้งวันได้ยังไง!"

"เธอต้องจงใจหลบการตรวจสอบของทางการแน่ๆ พวกเราจะรออยู่ที่นี่ ฉันไม่เชื่อว่าเธอจะไม่กลับมา ถึงตอนนั้นลุงต้องไล่เธอกลับบ้านนอกไปเลยนะคะ"

เสียงของหลินเจียวเจียวดังลั่น เธอจ้องไปที่ประตูทางเข้าอย่างลำพองใจ ราวกับมองเห็นภาพเจียงเฉิงถูกไล่ออกไป ร้องไห้ฟูมฟาย และคุกเข่าอ้อนวอนเธอ

เมื่อคืนนี้เหอตานเป็นคนสะกิดเตือนหลินเจียวเจียวว่าเจียงเฉิงไม่มีงานทำ ไม่มีสิทธิ์อยู่ในเมือง ดังนั้น วันนี้ตอนที่เธอไปเป็นเพื่อนเหอตานทำเรื่องย้ายทะเบียนบ้าน เธอก็เลยถือโอกาสแจ้งเรื่องของเจียงเฉิงไปด้วยเลย

คนอื่นๆ ในบ้านหลินก็ไม่มีใครคัดค้าน พวกเขาเห็นพ้องต้องกันอย่างน่าประหลาดว่าควรจะสั่งสอนเจียงเฉิงให้หลาบจำ โดยเฉพาะแม่หลินที่คิดไปไกลว่า แค่เจียงเฉิงรู้สำนึก เธอก็จะยอมให้กลับมาอยู่ที่บ้านหลินได้

มื้อเย็นเมื่อวานกับมื้อเช้าวันนี้ทำให้แม่หลินรู้สึกไม่ชินอย่างแรง และไม่อยากทำกับข้าวหุงหาอาหารอีกแล้ว

ลุงซุน ผู้ดูแลลานบ้าน ไม่พอใจท่าทีโวยวายของหลินเจียวเจียว มีเรื่องอะไรทำไมไม่มาคุยกับเขาก่อน จึงเดินเข้าไปหาหัวหน้าจางจากสำนักงานเขต¹ ที่ยืนทำหน้าไม่สบอารมณ์อยู่

"หัวหน้าจางครับ เมื่อคืนเจียงเฉิงโดนบ้านหลินไล่ออกมา ดึกป่านนั้นไม่มีรถกลับแล้ว ผู้หญิงตัวคนเดียวจะเดินทางกลางคืนก็อันตราย ไม่ใช่ว่าเธอจงใจจะอยู่ต่อโดยไม่ได้รับอนุญาตนะครับ"

คำพูดของลุงซุนทำให้สีหน้าของหัวหน้าจางผ่อนคลายลงเล็กน้อย อันที่จริง เรื่องอยู่เกินกำหนดสักสิบวันครึ่งเดือนก็มีให้เห็นบ่อยๆ มีแต่หลินเจียวเจียวนี่แหละที่ต้องโวยวายให้เป็นเรื่องใหญ่โต

แต่เมื่อเรื่องมันดังขึ้นมาแล้ว เขาก็ต้องแสดงท่าทีในฐานะหัวหน้าสำนักงานเขต เขาจึงต้องมา ทว่าทั้งเจียงเฉิงและบ้านหลิน เขาไม่ชอบหน้าเลยสักฝ่าย

"ไม่จริงค่ะ! เจียงเฉิงเช่าห้องแล้วนะคะ แบบนี้จะไม่เรียกว่าจงใจอยู่ต่อได้ยังไง?" หลินเจียวเจียวโพล่งขึ้นมาอย่างร้อนรน วิ่งไปคาดคั้นคุณย่าเสิ่นเรื่องค่าเช่า

คุณย่าเสิ่นสะบัดมือ ทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ "ค่าเช่าอะไร? ย่าไม่เห็นรู้เรื่อง"

"ย่าเสิ่นโกหก!"

หลินเจียวเจียวชี้หน้าคุณย่าเสิ่นอย่างโกรธจัด ให้เสิ่นซิงกับเสิ่นเยว่รีบวิ่งเอาร่างเล็กๆ มาบังไว้ข้างหน้าคุณย่าทันที

เสิ่นเยว่เป็นเด็กขี้อาย แต่ก็ยังยืนทำแก้มป่องอย่างแน่วแน่ ส่วนเสิ่นซิง ในฐานะลูกผู้ชายคนเดียวของบ้าน ก็ยืนอกผายไหล่ผึ่ง ทำหน้าขรึม

"เธอเป็นพยาธิในท้องพวกเราหรือไง? ถึงได้รู้ดีนัก?"

"อย่าไปดูถูกพยาธิสิ" เจียงเฉิงกลับมาแล้ว

ทุกคนในลานบ้านหันไปมองตามเสียง และเสียงฮือฮาก็ดังขึ้นไม่หยุด

นี่คือเจียงเฉิงเหรอ?

เธอสวยขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่?

เจียงเฉิงเดินเข้ามาอย่างไม่รีบร้อน ขยับไปยืนในตำแหน่งที่บังครอบครัวเสิ่นไว้ข้างหลังอย่างแนบเนียน

เรื่องนี้เกิดขึ้นเพราะเธอ ไม่มีเหตุผลที่จะให้คนอื่นมารับหน้าแทน

หลินเจียวเจียวจ้องเขม็งไปที่ใบหน้าของเจียงเฉิง หัวใจเต็มไปด้วยความอิจฉาริษยา

เป็นไปได้ยังไง? ทำไมกัน?

ผู้หญิงบ้านนอกอย่างเจียงเฉิง มีสิทธิ์อะไรมามีใบหน้าแบบนี้!

เจียงเฉิงเมินหลินเจียวเจียวโดยสิ้นเชิง หันไปยิ้มให้หัวหน้าจางอย่างพอดิบพอดี "หัวหน้าจางคะ ฉันอยู่ที่นี่มาสามปี ก็ถือเป็นส่วนหนึ่งของชุมชนเรามาตลอด คุณก็สอนพวกเราเสมอว่า 'ชุมชนคือบ้านของเรา ทุกคนต้องช่วยกันดูแล' ฉันซาบซึ้งในคำสอนของคุณหัวหน้าจางเสมอมา แล้วฉันจะทำตัวให้เสื่อมเสียเกียรติส่วนรวมได้อย่างไร?"

หัวหน้าจาง: (ฉันพูดแบบนั้นด้วยเหรอ??? แต่คำนี้ใช้ได้เลยแฮะ ต้องจดไว้)

"หลายปีมานี้คุณทำงานอย่างละเอียดรอบคอบไม่เคยขาดตกบกพร่อง พวกเราเห็นกันอยู่เต็มตา ภายใต้การนำของคุณ ชุมชนของเราถึงได้รับรางวัลดีเด่นมาทุกปี ในช่วงเวลาสำคัญแบบนี้ ฉันจะทำผิดกฎทั้งที่รู้ดี จนสร้างความเสื่อมเสียให้คุณกับชุมชนของเราได้ยังไงกัน"

เจียงเฉิงพูดด้วยท่าทีจริงจัง จนหัวหน้าจางเริ่มรู้สึกคล้อยตาม

พูดถูกเผงเลย!

คนอื่นถ้ามีความตื่นตัวทางการเมืองได้ครึ่งหนึ่งของสหายเจียง เขาก็คงไม่ต้องมาปวดหัวจนผมร่วงเป็นกระจุกเพื่อแย่งชิงรางวัลดีเด่นแล้ว

"ตั้งแต่เมื่อวานถึงวันนี้ ฉันพยายามหาทางที่จะปักหลักอยู่ในชุมชนของเราต่อค่ะ พอดีได้เจอพี่ตู้เข้า ก็เลยตกลงรับช่วงต่องานของพี่เขาสักสองเดือน นี่ค่ะเอกสารของฉัน พรุ่งนี้เช้าฉันจะรีบไปลงทะเบียนที่สำนักงานเขตเลยค่ะ จะไม่ทำให้ชุมชนของเราเสียชื่อเด็ดขาด!"

เจียงเฉิงพูดอย่างจริงใจ จนความโกรธของหัวหน้าจางมอดลงโดยไม่รู้ตัว

สหายเจียงคนนี้มีความตื่นตัวสูง ทำงานเรียบร้อยดี ใช้ได้ๆ

ถึงจะรู้ว่าเป็นการเยินยอ แต่เธอก็เยินยอได้ถูกที่ถูกเวลา ฟังแล้วสบายใจ ไม่เหมือนหลินเจียวเจียวคนนั้น

หัวหน้าจางเหลือบมองหลินเจียวเจียวแวบหนึ่ง ก่อนจะกระแอมเล็กน้อย "สหายเจียงมีความตื่นตัวสูงมาก ปฏิบัติตามกฎระเบียบดีแล้ว มีแต่ทำแบบนี้ ชุมชนของเราถึงจะก้าวหน้าต่อไปได้"

"แปะๆๆ"

เจียงเฉิงปรบมือทันที ใบหน้าแสดงความเลื่อมใสอย่างสุดซึ้ง

เมื่อเธอปรบมือแล้ว คนอื่นจะไม่ปรบตามได้ยังไง

หัวหน้าจางยืนอยู่ท่ามกลางเสียงปรบมือเกรียวกราว มุมปากยกยิ้มขึ้นโดยไม่รู้ตัว ก่อนจะรีบหุบยิ้มแล้วพูดกับเจียงเฉิงว่า "ไม่ต้องขนาดนี้ๆ... ต่อไปถ้ามีเรื่องลำบากอะไร ก็มาหาที่สำนักงานได้ พวกเราก็ทำเพื่อชุมชนของเราทั้งนั้น"

เจียงเฉิงก็ขานรับอย่างแข็งขัน ปรบมือจนมือแดงไปหมด

เธอไม่ได้ทำท่าทีประจบสอพลอหรือต่ำต้อย แต่คำพูดที่ออกมากลับทำให้หัวหน้าจางรู้สึกพึงพอใจไปทั้งตัว

สุดท้าย หัวหน้าจางก็ไม่แม้แต่จะชายตามองหลินเจียวเจียวอีก เขาเดินไพล่หลัง กำชับเจียงเฉิงว่าถ้ามีปัญหาให้รีบแจ้งสำนักงาน แล้วก็เดินจากไป

หลังจากส่งหัวหน้าจางกลับไป เจียงเฉิงก็ยังคงเมินหลินเจียวเจียว หันไปหาลุงซุนแทน "ลุงซุนคะ ทำให้ลุงต้องลำบากไปด้วยเลย"

ลุงซุนโบกมือ "เรื่องแค่นี้เอง"

"ไม่ได้สิคะ ยังไงก็ทำให้ลุงต้องเป็นห่วงไปด้วย"

เจียงเฉิงพูดจาฉอเลาะอีกสองสามประโยค จนลุงซุนยิ้มหน้าบาน ลุงซุนพูดปรามๆ อีกสองสามคำ คนในลานบ้านก็แยกย้ายกันไป เหลือเพียงบ้านหลินที่ยังยืนนิ่งตะลึงงัน

"เจียงเฉิง... นี่เธอ... เธอ..."

หลินเจียวเจียวพูดตะกุกตะกักอยู่นาน แต่ก็พูดไม่จบประโยค

เหอตานที่ยืนอยู่บนขั้นบันได จู่ๆ ก็รู้สึกหวาดหวั่นขึ้นมาในใจ สายตาที่เธอมองเจียงเฉิงแฝงไปด้วยความรังเกียจและความหวาดระแวงที่ซ่อนไว้อย่างแนบเนียน

ใบหน้าแบบนั้น... หลินเฉิงหย่วนเห็นแล้วจะไม่หวั่นไหวจริงๆ เหรอ?

เหอตานจิกเล็บลงบนฝ่ามือ

แต่ถึงหวั่นไหวแล้วยังไง? ก็เป็นได้แค่พวกสวยแต่รูป ไร้การศึกษา ไม่มีทางมาเทียบกับเธอได้ เหอตานปลอบใจตัวเอง จนรู้สึกใจเย็นลงเล็กน้อย

เจียงเฉิงที่ยืนอยู่เมินหลินเจียวเจียวอีกครั้ง ก่อนหันไปมองครอบครัวเสิ่น "คุณย่าเสิ่นคะ เสิ่นซิง เสิ่นเยว่ คุณย่าพาเด็กๆ เข้าบ้านก่อนนะคะ ฉันขอจัดการกับแมลงวันแถวนี้แป๊บเดียว"

เสิ่นซิงยิ้มแฉ่ง เสิ่นเยว่เอามือปิดปากหัวเราะคิกคัก ขณะที่คุณย่าเสิ่นพยักหน้าเบาๆ ทั้งสามคนจึงเดินเข้าบ้านไป

ในที่สุดเจียงเฉิงก็หันไปมองหลินเจียวเจียวและครอบครัวหลินที่อยู่ข้างหลังเธอ สีหน้าเรียบเฉย ไร้รอยยิ้ม ไร้ความโกรธ น้ำเสียงราบเรียบ

"ความสัมพันธ์ระหว่างฉันกับบ้านหลินก็คือ ถ้าพวกคุณตายหมดเมื่อไหร่ ฉันจะจุดประทัดฉลองเมื่อนั้น เพราะฉะนั้น เลิกเอาความคิดต่ำๆ ของพวกคุณมายุ่งกับฉันซะที"

"แค่ด่าพวกคุณ ฉันยังเสียดายเวลาเลย"

"ที่พวกคุณเป็นแบบนี้ ก็แค่รู้สึกว่าขาดคนทำงานไปคนหนึ่งใช่ไหมล่ะ? แต่ในเมื่อฉันไปแล้ว ก็มีคนใหม่ที่ 'มีใบอนุญาตถูกต้อง'³ มารับตำแหน่งใหม่แล้วนี่? จะสนใจฉันไปทำไมล่ะคะ"

"มีของฟรีให้ใช้ ทำไมจะไม่ใช้ล่ะคะ จริงไหม?"

(จบตอน)

เชิงอรรถจากผู้แปล:

¹ สำนักงานเขต (街道): หรือ "คณะกรรมการชุมชน" เป็นหน่วยงานปกครองระดับย่อยในเมืองของจีนยุคนั้น มีอำนาจในการจัดการทะเบียนราษฎร การปันส่วน และดูแลความสงบเรียบร้อย

² องค์กร (组织): ในยุคนั้น หมายถึง หน่วยงานของรัฐหรือพรรคคอมมิวนิสต์ เป็นที่พึ่งและผู้มีอำนาจตัดสินใจในชุมชน

³ มีใบอนุญาตถูกต้อง (持证上岗): (สำนวน) หมายถึง ได้รับการรับรองให้ทำงาน (ในที่นี้เจียงเฉิงประชดเหอตาน ว่าเป็นภรรยาที่ "จดทะเบียนถูกต้อง" ก็ควรจะทำงานบ้านแทนเธอได้แล้ว)

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel