บทที่ 4 ที่พักและงาน
เจียงเฉิงกับตู้หยุน หญิงท้องโตที่เดินนำหน้า ออกมาจากลานบ้านรวมด้วยกัน ทั้งคู่ไปหยุดยืนคุยกันในมุมอับสายตาผู้คน
"พี่หยุนคิดดีแล้วเหรอคะ?"
เจียงเฉิงเป็นฝ่ายเอ่ยปากถาม ตู้หยุนที่ถูกถามมองใบหน้าของเจียงเฉิงซึ่งถูกปอยผมบดบัง พลางนึกถึงตอนที่เธอเผชิญหน้ากับบ้านหลินในลานบ้านรวม
"คิดดีแล้ว" ตู้หยุนตัดสินใจแน่วแน่ "พรุ่งนี้เช้าเราสองคนไปทำเรื่องกัน ช่วงสองเดือนที่ฉันลาพักคลอดลูกอยู่ เธอมาทำงานแทนฉันชั่วคราว พอกลับไป..."
"พี่หยุนวางใจได้เลยค่ะ ถ้าพี่บอกฉันว่าจะกลับมาทำงานตอนเก้าโมง เก้าโมงหนึ่งนาทีฉันก็จะลุกออกไปทันที ไม่ยื้อแน่นอนค่ะ"
ความตรงไปตรงมาของเจียงเฉิงทำให้ตู้หยุนสบายใจขึ้นมากโข
หลังจากนัดแนะเวลากันเรียบร้อย ตู้หยุนก็ใช้มือยันหลังตัวเองเดินกลับไปก่อน ส่วนเจียงเฉิงยังคงพิงกำแพงอยู่ที่มุมนั้น เธอยกขาข้างหนึ่งเตะผนังเบาๆ พลางแหงนหน้ามองท้องฟ้า
"เดี๋ยวพอจัดการเรื่องที่อยู่เสร็จ ก็ถือว่าตั้งหลักได้ชั่วคราวแล้ว"
เจียงเฉิงไม่เคยคิดที่จะกลับไปที่หมู่บ้านเลย พ่อแม่ของเจ้าของร่างเดิมเสียชีวิตไปหมดแล้ว ตัวเธอเองก็ทำนาไม่เป็น แต่ในยุคสมัยนี้ การจะปักหลักอยู่ในเมืองก็ไม่ใช่เรื่องที่ใครๆ ก็ทำได้
ที่เธอเข้าไปทาบทามตู้หยุน ก็เพราะตอนนี้ตู้หยุนท้องแก่เก้าเดือนแล้ว
มีอยู่ครั้งหนึ่ง เจียงเฉิงบังเอิญได้ยินแม่สามีของตู้หยุนเกลี้ยกล่อมให้เธอยกงานที่ทำอยู่ให้น้องสาวสามีทำแทนชั่วคราวในช่วงที่เธอคลอดลูก
ตู้หยุนไม่ใช่คนโง่ เธอกลัวว่าถ้ายกงานให้น้องสาวสามีไปแล้ว จะทวงกลับมาไม่ได้ เจียงเฉิงจึงฉวยโอกาสนี้ เสนอตัวเข้าไปทำแทนเธอเป็นเวลาสองเดือน
ตอนแรกตู้หยุนไม่เชื่อ ไม่เชื่อว่าเจียงเฉิงจะมีความสามารถพอที่จะสลัดตัวเองหลุดจากบ้านหลินได้ จนกระทั่งวันนี้…
เจียงเฉิงยืดตัวตรง แผ่นหลังที่เคยงองุ้มถูกแทนที่ด้วยสันหลังที่เหยียดตรง คนยังคงเป็นคนเดิม แต่จิตวิญญาณและท่าทางกลับเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง
เจียงเฉิงเดินกลับเข้าไปในลานบ้านรวม
ในลานบ้าน ควันดำโขมงลอยออกมาจากทิศทางของบ้านหลิน
เจียงเฉิง: (สวรรค์มีตาแล้วงั้นเหรอ?)
พอเดินเข้าไปดูใกล้ๆ เจียงเฉิงก็แอบผิดหวังเล็กน้อย ที่แท้ก็เป็นแม่หลินที่กำลังนั่งก่อไฟทำกับข้าวอยู่ตรงระเบียงชายคานั่นเอง
ไม่รู้ว่าเธอทำอีท่าไหน เปลวไฟไม่เห็นสักนิด แต่ควันกลับลอยคลุ้งไปทั่วทั้งลาน มุมปากของเจียงเฉิงยกยิ้ม... แม่หลินไม่ได้แตะงานครัวมาสามปีเต็มแล้วนี่นา
"แค่กๆๆ... นี่! บ้านหลิน! พวกเธอรมควันไล่ยุงกันอยู่รึไง? ควันโขมงซะ... ขื่อบนหลังคาบ้านฉันจะโดนรมจนเข้าเนื้ออยู่แล้ว!"
เจียงเฉิงยืนดูเรื่องสนุกของบ้านหลินอย่างเปิดเผย
คนที่ตะโกนคือลูกสะใภ้คนโตของบ้านโจวที่อยู่เรือนแถวหน้า² ซึ่งไม่ถูกกับแม่หลินมาแต่ไหนแต่ไร
แม่หลินที่กำลังนั่งยองๆ ก่อไฟ ใบหน้าที่บำรุงบำเรอมาอย่างดีตลอดสามปีถูกควันรมจนดำเป็นปื้นๆ เทาเป็นปื้นๆ อยากจะด่ากลับก็โดนควันสำลักจนลืมตาอ้าปากไม่ขึ้น ภาพนั้นทำเอาเจียงเฉิงอารมณ์ดีอย่างบอกไม่ถูก
ช่วยไม่ได้ ก็เธอเป็นคนจริงใจแบบนี้แหละ
"เจียงเฉิง!"
หลินเจียวเจียวที่ยืนอยู่หน้าประตู ใช้มือข้างหนึ่งปิดจมูกปิดปาก แต่สายตากลับเหลือบไปเห็นเจียงเฉิงที่เพิ่งเดินกลับมาพอดี
เธอวิ่งตึงๆ เข้ามา ยื่นมือหมายจะกระชากแขนเจียงเฉิง
"เธอไปก่อไฟเดี๋ยวนี้!"
เจียงเฉิงยืนนิ่งไม่ขยับ เพียงแค่เอี้ยวตัวหลบแล้วยกมือไพล่หลัง ทำให้หลินเจียวเจียวคว้าได้แต่อากาศ
"หน้าด้านไร้ยางอาย โง่เง่าดั่งสุกร"
หลังจากวิจารณ์อย่างแม่นยำแปดพยางค์ เจียงเฉิงก็หันหลังเดินไปยังหน้าบ้านตระกูลเสิ่นซึ่งอยู่ห้องปีกตะวันออก³
แววตาของหลินเจียวเจียวลุกโชนด้วยความโกรธ แต่ยังไม่ทันจะได้อ้าปากด่า ก็ถูกแม่หลินตะโกนเรียกให้กลับไปเสียก่อน
หลินเจียวเจียวเดินกลับไปอย่างไม่เต็มใจนัก โดนแม่หลินถลึงตาใส่ไปหลายที
เป็นครั้งแรกที่แม่หลินรู้สึกเห็นด้วยกับคำพูดของเจียงเฉิง... โง่เง่าจริงๆ! เพิ่งจะฟาดฟันกันไปหยกๆ ตอนนี้โผล่หน้าเข้าไปจะไปได้อะไรดีๆ กลับมา? ต่อให้คิดจะกล่อมให้กลับมา ก็ต้องรอให้เรื่องมันซาๆ ไปก่อนสิ
"สมน้ำหน้า!"
ลูกสะใภ้บ้านโจวที่ชอบดูเรื่องสนุกไม่รู้จักเลิกรา มองแม่หลินอย่างสะใจแวบหนึ่ง ก่อนจะเดินกลับบ้านตัวเองไปอย่างอารมณ์ดี
เจียงเฉิงไม่มีเวลาไปสนใจโศกนาฏกรรมการก่อไฟของบ้านหลิน ตอนนี้เธอกำลังคุยกับคุณย่าเสิ่นอย่างถูกคอ
"คุณย่าเสิ่นคะ นี่ค่ะค่าเช่าห้องเดือนแรก สามหยวนห้าเหมา⁴ คุณย่านับดูนะคะ" "แล้วฉันก็ต้องขอยืมของใช้บางอย่างด้วยค่ะ แล้วก็... อยากจะขออาศัยข้าวก้นหม้อคุณย่าสักสองสามมื้อด้วย ฉันไม่กินฟรีหรอกค่ะ"
คุณย่าเสิ่นนั่งอยู่ที่โต๊ะแปดเซียน⁵ ฝั่งตรงข้าม เธอนับเงินต่อหน้าเจียงเฉิง ใบหน้าที่เต็มไปด้วยริ้วรอยเหี่ยวย่นแย้มยิ้มอย่างใจดี "พอดีเลย ย่ารับไว้นะ"
พูดจบคุณย่าเสิ่นก็ลุกขึ้น พาเจียงเฉิงไปเปิดประตูห้องนอนทางทิศใต้
ห้องนอนมีขนาดประมาณสิบห้าตารางเมตร มีเตียงคู่ตั้งชิดผนัง โต๊ะหนังสือหนึ่งตัวพร้อมเก้าอี้สองตัวตั้งอยู่ริมหน้าต่าง ส่วนผนังฝั่งตรงข้ามหน้าต่างมีตู้เสื้อผ้าบานคู่ขนาดใหญ่ และหีบไม้หลิวสองใบวางซ้อนกันอยู่
คุณย่าเสิ่นเดินนำเข้าไป หยิบฟูกกับผ้าห่มชุดหนึ่งออกมาจากตู้เสื้อผ้า
"นี่เป็นเครื่องนอนของแม่เจ้าเด็กสองคนนั่น ถ้าหนูไม่รังเกียจ..."
เจียงเฉิงยิ้มพลางก้าวเข้าไปรับเครื่องนอนชุดนั้นมาถือไว้ด้วยสองมือ
"ฝีเข็มละเอียดจังเลยค่ะ ดูปุ๊บก็รู้เลยว่าตั้งใจทำมากๆ ฝีมือก็สุดยอดจริงๆ"
เพียงประโยคเดียวของเจียงเฉิง ก็ทำให้คุณย่าเสิ่นยิ้มออกมาอย่างนึกถึงความหลัง มือที่เหี่ยวย่นลูบไล้ไปบนผืนผ้าห่ม
"ใช่จ้ะ หลานสะใภ้คนนี้ของย่า เขามือฉมังที่สุดแล้ว"
คุณย่าเสิ่นชักมือกลับ "หนูจัดข้าวของตามสบายนะ เดี๋ยวเสร็จแล้วออกมาทานข้าวด้วยกัน"
"ได้เลยค่ะ! ฉันอยากชิมฝีมือคุณย่ามานานแล้วค่ะ คุณย่าไม่รู้หรอกว่าทุกครั้งที่บ้านคุณย่าทำกับข้าว ฉันต้องแอบดมกลิ่นหอมๆ ตลอดเลย"
ท่าทางขี้เล่นของเจียงเฉิง ทำให้คุณย่าเสิ่นยิ้มกว้างขึ้นไปอีก
คุณย่าเสิ่นเดินออกไป และปิดประตูให้เธออย่างใส่ใจ
เจียงเฉิงวางเครื่องนอนลงบนเตียงแล้วปูให้เรียบร้อย โดยไม่รู้สึกรังเกียจเลยแม้แต่น้อย
‘หลานสะใภ้’ ที่คุณย่าเสิ่นพูดถึง คือคุณแม่เสิ่น เจ้าของบ้านหลังนี้ เมื่อสามเดือนก่อนเธอประสบอุบัติเหตุระหว่างทำงานในโรงงานจนเสียชีวิต
ส่วนคุณพ่อเสิ่นเสียชีวิตด้วยโรคภัยไข้เจ็บไปเมื่อหลายปีก่อน ลูกชายคนโตบ้านเสิ่นก็ไปเป็นทหารอยู่ต่างถิ่นนานหลายปี ตอนนี้บ้านเสิ่นจึงเหลือเพียงเด็กสองคน ส่วนคุณย่าเสิ่น... ท่านเป็นน้องสาวของปู่แท้ๆ ของเด็กๆ (มีศักดิ์เป็นย่า) ที่ย้ายมาช่วยดูแลหลานๆ ชั่วคราว
ที่เจียงเฉิงเลือกเช่าห้องอยู่ที่นี่ หนึ่ง... เพราะเธอคุ้นเคยกับลานบ้านรวมแห่งนี้ดีอยู่แล้ว สอง... เพราะเธอแอบสังเกตนิสัยใจคอของคุณย่าเสิ่นและเด็กทั้งสองคนมาสักพักแล้ว พวกเขาเป็นคนดีมาก
ในยุคสมัยนี้ ผู้หญิงตัวคนเดียว สวย แถมยังมีเงินติดตัว การจะไปเช่าบ้านอยู่เองคนเดียวมันไม่สงบสุขและไม่ปลอดภัยแน่
เมื่อพิจารณาโดยรวมแล้ว บ้านเสิ่นคือตัวเลือกที่ดีที่สุด
ในชาติก่อน เธอเป็นเด็กกำพร้าจากเหตุการณ์แผ่นดินไหว เป็นทหารกองทัพปลดแอกที่ใช้เวลาขุดซากปรักหักพังเกือบยี่สิบชั่วโมงกว่าจะช่วยเธอออกมาได้
ด้วยความเฉลียวฉลาด เธอเลื่อนข้ามชั้นเรียนมาตลอด จนกลายเป็นล่ามที่เชี่ยวชาญถึงห้าภาษา และได้ติดตามผู้นำเข้าร่วมการประชุมสุดยอดระดับนานาชาติ
ถ้าไม่ใช่เพราะอุบัติเหตุรถชนครั้งนั้น เธอก็คงไม่ได้มาอยู่ในยุคที่ขาดแคลนอาหารและเครื่องนุ่งห่ม แต่กลับเต็มไปด้วยโอกาสอันไร้ขีดจำกัดเช่นนี้
แต่โชคดีที่เธอมี 'มิติ'
รถจี๊ปคันใหญ่ของเธอกลายเป็น 'มิติ' ติดตัวเธอมาด้วย ท้ายรถมี 'อุปกรณ์กลัวตาย' ที่เธอเตรียมไว้เผื่อฉุกเฉินตลอดเวลา ทั้งกระเป๋าเป้แผ่นดินไหว กระเป๋าเป้หนีไฟ และกระเป๋าปฐมพยาบาล
แถมเธอยังไม่ได้กลับบ้านมาสองเดือน พอได้กลับก็เลยไปซื้อของตุนที่ซูเปอร์มาร์เก็ตมาเพียบ
ข้าวสาร ข้าวขาว แป้ง ธัญพืช เครื่องปรุงรส น้ำตาล น้ำส้มสายชู น้ำมัน เกลือ ผลไม้ ขนมขบเคี้ยว ถั่ว เนื้อสด อาหารปรุงสุก ไส้กรอก และแน่นอนว่ายังมีผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดอีกเพียบ
ที่สำคัญที่สุดคือ... ของในมิติสามารถหมุนเวียนได้ไม่จำกัด
พูดง่ายๆ ก็คือ ทันทีที่เธอหยิบของชิ้นหนึ่งออกจากมิติ มิติก็จะเติมของชิ้นนั้นกลับมาให้เต็มโดยอัตโนมัติ
ช่องโหว่ (Bug) สุดโกงนี้ทำให้เจียงเฉิงรู้สึกปลอดภัยมากจริงๆ
เจียงเฉิงรวบรวมสมาธิ เธอนำเงินหกร้อยหยวนที่ได้คืนมาจากบ้านหลินเก็บเข้าที่ เงินหกร้อยหยวนที่เป็นธนบัตรใบละสิบหยวน⁶ หนาหลายปึก ก่อนหน้านี้เจียงเฉิงเก็บมันไว้ในกระเป๋าสะพายสีเขียวลาย 'รับใช้ประชาชน' แต่ตอนนี้เธอย้ายมันเข้าไปเก็บในมิติแล้ว ปลอดภัยกว่าเยอะ
ทันทีที่เก็บเงินเสร็จ ก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น
"ก๊อกๆ... ก๊อก"
"พี่เจียงเฉิงคะ คุณย่าทวดเรียกไปทานข้าวค่ะ"
เสิ่นเยว่ที่ยืนอยู่หน้าประตูทำแก้มป่อง กำลังลังเลว่าจะตะโกนเรียกอีกรอบดีไหม
เอี๊ยด…
ประตูเปิดออกจากด้านใน
"ว่าไงจ๊ะ สหายเสิ่นเยว่"
(จบตอน)
เชิงอรรถจากผู้แปล:
² เรือนแถวหน้า (倒罩房): ในสถาปัตยกรรมลานบ้านรวม เรือนแถวหน้ามักอยู่ตรงข้ามกับเรือนประธาน (ทิศเหนือ) และมักใช้เป็นที่อยู่ของคนรับใช้หรือเป็นห้องเก็บของ แต่ในลานบ้านรวมที่แออัด ก็ใช้เป็นที่อยู่อาศัยของอีกครอบครัวไป
³ ห้องปีกตะวันออก (东厢房): ในลานบ้านรวม ห้องปีกตะวันออกมักเป็นที่อยู่ของลูกชายคนรองหรือสมาชิกครอบครัวรองลงมา
⁴ สามหยวนห้าเหมา (三块五毛钱): ไคว่ (块) คือหน่วยเรียกของเงินหยวน (元) และ เหมา (毛) คือ 1/10 ของหยวน (หรือ 10 เฟิน)
⁵ โต๊ะแปดเซียน (八仙桌): โต๊ะสี่เหลี่ยมจัตุรัสขนาดใหญ่ที่แต่ละด้านสามารถนั่งได้ 2 คน รวมเป็น 8 คน (จึงเรียกว่าโต๊ะแปดเซียน)
⁶ ธนบัตรใบละสิบหยวน (大团结): ในยุคนั้น ธนบัตร 10 หยวน ถือเป็นธนบัตรที่มีมูลค่าสูงสุด และมีภาพวาดสัญลักษณ์ของ "ความสามัคคีอันยิ่งใหญ่" (大团结) ของชนชั้นต่างๆ จึงมักถูกเรียกติดปากว่า "ต้าถวนเจี๋ย"
