บท
ตั้งค่า

ตอนที่ 3 ครอบครัว

สองสหายกำลังวางแผนที่จะเขียนนิยายออกมา โดยเลือกเขียนแนวพระเอกที่ปิดบังตัวตนเพื่อตามหารักแท้

“เธอต้องกลับบ้านนี่ จะเอาเวลาไหนมาช่วยฉันเขียน” นักเขียนหนุ่มถามขึ้นหลังจากที่นึกถึงความเป็นไปได้

“บ้านเหรอ” เจียงหมิ่นพึมพำ แล้วภาพความทรงจำของเจ้าของร่างเดิมก็พรั่งพรูเข้ามาในหัวอีกครั้ง

ภาพบ้านหลังเก่าที่เต็มไปด้วยความคับแคบ พ่อที่ไม่เคยแยแส และซูหย่าแม่เลี้ยงใจร้ายที่มักจะใช้ถ้อยคำเชือดเฉือนและใช้งานเจียงหมิ่นเยี่ยงทาส

ชีวิตในบ้านหลังนั้นเต็มไปด้วยการกดขี่ข่มเหง เจียงหมิ่นมักจะถูกตบตีและดุด่าจากแม่เลี้ยงอยู่เสมอ เธอต้องทำงานบ้านทุกอย่างโดยไม่ได้รับการเหลียวแล การกลับไปอยู่กับครอบครัวนั้นเท่ากับกลับไปสู่ขุมนรกดีๆ นี่เอง

ในยุคนี้ การแต่งงานคือหนทางเดียวที่จะทำให้ผู้หญิงหลุดพ้นจากครอบครัวเดิมได้ ยิ่งไปกว่านั้น หลี่หมิงเหว่ยยังเป็นคนเดียวที่ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือเธอในยามนี้ และดูเหมือนจะเป็นคนที่เชื่อใจได้มากที่สุดในสถานการณ์ที่เธออ้างว้างเช่นนี้

“หรือฉันจะแต่งงานกับนายดี”

“จะบ้าเหรอ เธอก็รู้ว่าฉัน... ไม่ได้ชอบผู้หญิง” หลี่หมิงเหว่ยกล่าวเสียงเบาด้วยความขัดเขินเล็กน้อย เขาไว้ใจสหายรักคนนี้มาก ไม่เคยปิดบังเธอสักเรื่อง

“แค่แต่งงานบังหน้า พาฉันออกจากบ้าน พ่อแม่นายเองที่อยู่บ้านนอกก็จะได้วางในด้วยไงเล่า”

“ไม่เอาด้วยหรอก ขนลุก” เขาพูดพลางทำท่าทีขนลุกจริงๆ เจียงหมิ่นถึงกับถอนหายใจอย่างหนักอก

“แล้วถ้าฉันอยากย้ายมาอยู่ที่นี่ต้องทำยังไง”

“ฉันอยู่ที่นี่เพราะใช้สิทธิ์ของพ่อ หัวหน้าอาคารที่พักของที่นี่ทำการจัดสรรให้ ฉันจะลองไปคุยดู ว่าแต่เธอมีเงินจ่ายค่าเช่าไหม” เขาถามถึงปัญหาโลกแตก

“ไม่มีหรอก จะเอาที่ไหนมามี” หญิงสาวพูดด้วยความสิ้นหวัง

“เดี๋ยวฉันจะลองดูว่าที่นี่มีใครปล่อยเช่าห้องไหม บางคนเอาสิทธิ์ที่พักแต่ไม่ได้มาอยู่ ต้องหาคนมาอยู่เพื่อรักษาสิทธิ์ของตัวเอง บางทีเธออาจไม่ต้องจ่ายเงินก็ได้” หลี่หมิงเหว่ยบอกในสิ่งที่ทำให้เธอมีหวัง

“งั้นฉันต้องรบกวนนานด้วยนะ แต่ตอนนี้ฉันต้องกลับบ้านก่อน ถึงไม่อยากจะกลับก็เถอะ” เธอกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เหนื่อยใจ

อาคารอพาร์ตเมนต์หลายชั้นเก่าคร่ำคร่าตั้งตระหง่านอยู่กลางชุมชนแออัด ผนังปูนเปลือยเผยให้เห็นร่องรอยของกาลเวลาที่กัดกร่อน ในยุคนี้บ้านของคนในเมืองมักจะเป็นห้องชุดในอพาร์ตเมนต์มากกว่าบ้านหลังเดี่ยว

เจียงหมิ่นเดินขึ้นบันไดอย่างเหนื่อยอ่อน ห้องพักของเจ้าของร่างเดิมอยู่บนชั้นสาม ประตูไม้ที่หลุดลุ่ยส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดเมื่อเธอเปิดเข้าไป

ทันทีที่ก้าวเท้าเข้าสู่ห้อง กลิ่นอับชื้นและกลิ่นอาหารที่ค้างคืนก็ลอยมาปะทะจมูก ภายในห้องมืดสลัวและเต็มไปด้วยข้าวของวางระเกะระกะ เสียงโทรทัศน์ที่ดังมาจากห้องนั่งเล่นบ่งบอกว่ามีคนอยู่

ยังไม่ทันที่หญิงสาวจะได้วางกระเป๋า เสียงตวาดแหลมสูงก็ดังขึ้นจากด้านหลัง

“แกไปไหนมา ทำไมเพิ่งกลับ เงินค่าจ้างวันนี้เอามาให้ฉันเดี๋ยวนี้” ซูหย่า แม่เลี้ยงของเจียงหมิ่น ซึ่งเป็นหญิงวัยกลางคนรูปร่างท้วม ใบหน้าเหี่ยวย่นตามกาลเวลาแต่แฝงไปด้วยความร้ายกาจ กำลังก้าวพรวดเข้ามา

ใบหน้าของเธอบิดเบี้ยวด้วยความโกรธ ดวงตาเต็มไปด้วยความโลภ และไม่รอช้า ฝ่ามือหนาอวบเงื้อมือขึ้นตบฉาดลงมาบนใบหน้าของเจียงหมิ่นอย่างรวดเร็วและรุนแรง

แต่เจียงหมิ่นคนนี้ไม่ใช่เจียงหมิ่นคนเดิมที่อ่อนแออีกต่อไป สัญชาตญาณการป้องกันตัวของเธอทำงานทันที หญิงสาวเอี้ยวตัวหลบฝ่ามือของแม่เลี้ยงได้อย่างว่องไวราวกับสายฟ้า ก่อนจะจับข้อมือของอีกฝ่ายหมุนบิดไปด้านหลังอย่างชำนาญตามหลักศิลปะการต่อสู้ที่เธอเคยเรียนมาเพื่อใช้ในการแสดง

“โอ๊ย! แกทำอะไรของแก” ซูหย่าร้องลั่นด้วยความเจ็บปวด ใบหน้าบิดเบี้ยวจนน่ากลัว พยายามดึงข้อมือกลับแต่ก็สู้แรงของเจียงหมิ่นไม่ได้

เสียงเอะอะโวยวายทำให้ชายวัยกลางคนผู้มีใบหน้าซูบตอบและดวงตาไร้แววเดินออกมาจากห้องนั่งเล่น เขามองเหตุการณ์เบื้องหน้าด้วยสีหน้าไม่พอใจ

“แกทำอะไรแม่แกน่ะอาหมิ่น รีบปล่อยมือเดี๋ยวนี้!”

เจียงหมิ่นปล่อยข้อมือของแม่เลี้ยงอย่างช้าๆ ใบหน้าของเธอนิ่งเรียบไร้อารมณ์ แต่ดวงตากลับฉายแววเย็นชาจนซูหย่าถึงกับสะดุ้งเล็กน้อย

“หึ! แกร้ายกาจขึ้นนะนังเด็กนี่” ซูหย่าถูข้อมือที่บวมแดงของตัวเอง ดวงตาจ้องมองเจียงหมิ่นอย่างอาฆาต

“พอได้แล้วน่า” เจียงหย่งฉีก้าวเข้ามาใกล้ มองเจียงหมิ่นด้วยแววตาตำหนิ

“แกนี่มันสร้างแต่ปัญหาจริงๆ ว่าไง เงินค่าจ้างวันนี้ได้มาเท่าไร เอามาให้ฉันเดี๋ยวนี้” หญิงสาวมองบิดาที่เอาแต่ถามหาเงินค่าจ้างอย่างไม่ไยดี ภาพความทรงจำของเจียงหมิ่นที่ถูกทอดทิ้งและถูกใช้งานหนักวนเวียนอยู่ในหัว ทำให้ความโกรธผุดขึ้นในใจ

“ไม่มีค่ะ ฉันถูกไล่ออกจากกองถ่ายแล้ว” เธอตอบเสียงเรียบ แต่แฝงความหนักแน่น

คำตอบของเธอสร้างความตกตะลึงให้กับทั้งพ่อและแม่เลี้ยง

“อะไรนะ! ถูกไล่ออก” ซูหย่าร้องกรี๊ดเสียงแหลม

“แกนี่มันไร้ประโยชน์จริงๆ จะหางานหาเงินมาให้ฉันไม่ได้เลยใช่ไหม”

“แกจะเอาอะไรกิน ข้าวของในบ้านก็ต้องซื้อ แกไปหาเงินมาเดี๋ยวนี้” พ่อของเจียงหมิ่นตวาดเสียงดัง ใบหน้าแดงก่ำด้วยความโมโห

หญิงสาวไม่โต้ตอบ เธอเพียงแค่ถอนหายใจออกมาอย่างเงียบเชียบ เธอรู้ว่าการต่อล้อต่อเถียงกับคนทั้งสองไม่ได้ช่วยอะไร

เธอหันหลังเดินตรงไปยังห้องส่วนตัวของเจียงหมิ่น ซึ่งเป็นเพียงมุมเล็กๆ ที่ถูกแบ่งด้วยฉากกั้นเก่าๆ ภายในห้องมีแค่ที่นอน ผ้าห่มเก่าๆ และโต๊ะเครื่องแป้งเล็กๆ ที่เต็มไปด้วยฝุ่น

เธอนั่งลงบนเตียงไม้เก่าๆ สัมผัสได้ถึงความขรุขระของเนื้อไม้ ความโกรธที่อัดอั้นอยู่ในใจปะทุขึ้นมา การถูกดูถูกเหยียดหยามซ้ำแล้วซ้ำเล่าจากคนที่ควรจะรักและปกป้อง มันช่างน่าหดหู่ใจยิ่งนัก

“ครอบครัวบ้าบออะไรกัน!” เจียงหมิ่นกำมือแน่นจนเล็บจิกเข้าเนื้อ เธอไม่เคยคิดเลยว่าจะมีชีวิตที่ต้องมาเผชิญกับสภาพแบบนี้

นี่คือสิ่งที่เจ้าของร่างเดิมต้องทนมาตลอดชีวิตงั้นหรือ ความรู้สึกโมโห โกรธแค้น และสมเพชเวทนาตีตื้นขึ้นมาจนเธอแทบจะควบคุมตัวเองไม่อยู่

แต่แล้วเธอก็สูดหายใจลึกๆ พยายามสงบสติอารมณ์ สิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้เป็นบทเรียนราคาแพงที่ทำให้เธอเข้าใจสถานการณ์ของเจียงหมิ่นอย่างถ่องแท้ มันเป็นเชื้อเพลิงที่เติมเต็มความมุ่งมั่นในใจของเธอให้ลุกโชนยิ่งกว่าเดิม

เธอจะไม่ยอมให้ชีวิตนี้จบลงแบบเจ้าของร่างคนเดิมเด็ดขาด เธอจะเปลี่ยนชะตาชีวิตนี้ให้ได้อย่างที่ตั้งใจ และสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้จะเป็นแรงผลักดันให้เธอก้าวไปข้างหน้าอย่างไม่หยุดยั้ง

ตอนนั้นเอง เสียงเคาะประตูที่ดังรัวทำให้เจียงหมิ่นที่กำลังครุ่นคิดถึงแผนการในอนาคตต้องหลุดจากภวังค์ เธอถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะเดินไปเปิดประตู ซูหย่ายืนกอดอกอยู่ตรงหน้า ใบหน้าของเธอยังคงบึ้งตึง แต่แววตาเปลี่ยนจากความโกรธแค้นเป็นความคาดหวังบางอย่าง

“ออกมานี่หน่อย! มีเรื่องจะคุยกับแก” แม่เลี้ยงพูดเสียงห้วน ก่อนจะหันหลังเดินนำไปยังห้องนั่งเล่นที่เต็มไปด้วยเฟอร์นิเจอร์เก่าๆ เจียงหย่งฉีพ่อของเจียงหมิ่นนั่งอยู่บนโซฟาเก่าๆ จ้องมองมาที่เจียงหมิ่นด้วยแววตาตำหนิ

หญิงสาวยืนกอดอกพิงวงกบประตู ไม่เข้าไปใกล้กว่านั้น เธอรู้ดีว่าเรื่องที่กำลังจะคุยต้องไม่พ้นเรื่องเงินๆ ทองๆ เป็นแน่

“แกนี่มันทำให้ฉันปวดหัวไม่เว้นวันจริงๆ” แม่เลี้ยงเริ่มเปิดประเด็น น้ำเสียงของเธอแหลมสูงขึ้นกว่าเดิม

“ไหนจะถูกไล่ออกจากงาน ไหนจะมาทำร้ายฉันอีก” เธอยกมือขึ้นลูบข้อมือที่ยังคงบวมแดงเล็กน้อย

“พอแล้วน่า เข้าเรื่องเลยเถอะ” เจียงหย่งฉีเอ่ยขัด ก่อนจะหันมามองเจียงหมิ่นด้วยสายตาที่แข็งกร้าว

“เรามีเรื่องสำคัญจะคุยกับแก”

เจียงหมิ่นยืนนิ่งรอฟัง

“เมื่อวานเถ้าแก่หวังมาทาบทาม เขาพอใจในตัวแกมาก ถึงกับเสนอสินสอดมาให้ถึง แปดพันหยวน!” ซูหย่าพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงกระหยิ่มยิ้มย่อง เน้นเสียงคำว่า ‘แปดพันหยวน’ ราวกับมันเป็นสมบัติล้ำค่าที่ไม่อาจประเมินได้

แต่ก็คงจริง แปดพันหยวนในยุคนี้ถือเป็นเงินจำนวนมหาศาล ยิ่งกว่าทองคำล้ำค่าในยุคของเจียงหมิ่นเสียอีก ด้วยเงินจำนวนนี้สามารถซื้อบ้านเดี่ยวขนาดใหญ่ได้สบายๆ หรือแม้แต่สร้างธุรกิจเล็กๆ ขึ้นมาได้เลยทีเดียว

หญิงสาวเข้าใจทันทีว่าทำไมแม่เลี้ยงถึงได้แสดงท่าทางราวกับถูกหวยรางวัลที่หนึ่งเช่นนี้

“เถ้าแก่หวังอายุเยอะก็จริง แต่เขาร่ำรวยมาก มีกิจการค้าขายใหญ่โต แกไปอยู่กับเขาจะสบายไปทั้งชาติ” ผู้เป็นพ่อเสริมด้วยน้ำเสียงที่ปราศจากความเห็นใจ

ดาราสาวฟังแล้วรู้สึกขยะแขยง เธอจะไม่มีวันยอมให้ตัวเองต้องตกเป็นเบี้ยล่างของใคร และที่สำคัญ เธอมีแผนการใหญ่ที่ต้องทำให้สำเร็จ การแต่งงานกับเถ้าแก่เฒ่าที่อายุคราวพ่อ ไม่ใช่สิ่งที่เธอปรารถนาเลยแม้แต่น้อย

“ไม่ค่ะ ฉันไม่แต่งงานกับเถ้าแก่หวังเด็ดขาด” เจียงหมิ่นตอบเสียงเรียบแต่หนักแน่น คำปฏิเสธของเธอทำให้สีหน้าของแม่เลี้ยงและพ่อเปลี่ยนไปทันที จากความพอใจกลายเป็นความโกรธเกรี้ยว

************************
ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel