ตอนที่ 4 การต่อต้าน
“ไม่ค่ะ ฉันไม่แต่งงานกับเถ้าแก่หวังเด็ดขาด”
“อะไรนะ! แกกล้าดียังไงมาปฏิเสธ แกอย่าคิดว่าตัวเองมีสิทธิ์เลือกอะไรได้ ฉันเป็นแม่แกนะ” ซูหย่าตวาดลั่น ใบหน้าของเธอบิดเบี้ยวด้วยความโมโห
“ฉันมีคนรักแล้วค่ะ และเรากำลังจะแต่งงานกันในไม่ช้านี้” เจียงหมิ่นตอบสวนกลับอย่างใจเย็น เธอตัดสินใจแล้วว่าจะใช้เรื่องคนรักเป็นข้ออ้างเพื่อปฏิเสธการแต่งงานครั้งนี้
“คนรัก ใครกัน” แม่เลี้ยงถามเสียงแหลมสูงด้วยความอยากรู้
“เขายังไม่อยากให้ฉันเปิดเผยในตอนนี้ แต่เดี๋ยวคุณก็จะรู้เอง” เจียงหมิ่นยังไม่รู้ว่าจะอ้างชื่อใคร
ใบหน้าของนายเจียงก็เปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำด้วยความโกรธ เขาตบโต๊ะเสียงดังปัง จนถ้วยชาที่วางอยู่กระเด็นไปเล็กน้อย
“แกอย่างบอกนะว่าเป็นหลี่หมิงเหว่ย ไอ้คนไร้ค่าที่เขียนบทละครไม่ได้เรื่องนั่นน่ะ แกจะไปแต่งงานกับไอ้ขี้แพ้แบบนั้นได้อย่างไร” เขาตวาดลั่นด้วยความโมโห ผู้ชายคนเดียวที่สนิทกับลูกสาวจะมีใครอื่นไปได้
“ฮ่าๆ คิดว่าจะหาใครมาหลอกฉันได้เหรอ หลี่หมิงเหว่ยมันก็แค่คนตกอับ ไม่มีอะไรเลย แกจะเอาอะไรกิน” นางซูหัวเราะเยาะ
“ไม่ใช่เขา และฉันจะแต่งงานกับใครมันเรื่องของฉันค่ะ” เจียงหมิ่นเริ่มมีน้ำเสียงที่แข็งกระด้างขึ้น เธอไม่เคยถูกใครดูถูกเหยียดหยามเช่นนี้มาก่อนในชีวิต
“ไม่ได้ แกต้องแต่งงานกับเถ้าแก่หวังเท่านั้น เพราะฉันจะเอาเงินค่าสินสอดแปดพันหยวนนั่นไปเป็นค่าเล่าเรียนให้น้องชายแก แกไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธ” เจียงหย่งฉีลุกขึ้นยืนชี้หน้าเธอด้วยความโมโห
คำพูดของบิดาทำให้เจียงหมิ่นรู้สึกราวกับถูกน้ำเย็นสาดเข้าใส่ สิ้นหวังและเจ็บปวดไปพร้อมกัน ไม่แปลกใจเลยที่เจียงหมิ่นคนเดิมจะรู้สึกไร้ค่าและสิ้นหวังอยู่ตลอดเวลา เธอเป็นเพียงเครื่องมือสำหรับคนในครอบครัว ใช้เพื่อหาเงินมาให้น้องชายต่างแม่ที่พ่อรักใคร่เพียงลำพัง
หญิงสาวไม่ได้โต้เถียงอีก เธอหันหลังเดินกลับเข้าห้องส่วนตัวไปอย่างเงียบๆ ปิดประตูเสียงดังแล้วยืนพิงประตูด้วยความรู้สึกโมโหจนตัวสั่น
“คนพวกนี้มันบ้าไปแล้ว” เธอพึมพำกับตัวเอง กำมือแน่นจนเล็บจิกเข้าเนื้อ นี่คือชีวิตของเจียงหมิ่น ชีวิตที่ไร้ค่า ไร้ซึ่งความรัก และต้องถูกใช้เป็นเครื่องมือเพียงเพื่อเงินทอง
ความโกรธแค้นที่ปะทุขึ้นในใจ กลายเป็นแรงผลักดันมหาศาล จะไม่ยอมให้ใครหน้าไหนมาบงการชีวิตของเธออีกแล้ว เธอจะต้องกอบกู้สถานะของเจียงหมิ่นให้กลับมาผงาดในวงการบันเทิง และจะแสดงให้คนพวกนี้เห็นว่าใครกันแน่ คือผู้ที่สมควรได้รับความเคารพ
************************
ค่ำคืนนั้น หญิงสาวนอนไม่หลับ เธอพลิกตัวไปมาบนเตียงไม้เก่าๆ เสียงทะเลาะเบาะแว้งของบิดาและแม่เลี้ยงยังคงดังแว่วเข้ามาในความเงียบยามดึก
แปดพันหยวน... ตัวเลขนี้วนเวียนอยู่ในหัวของเธอราวกับฝันร้าย เธอจะต้องหาทางหลีกเลี่ยงการแต่งงานกับเถ้าแก่หวังให้ได้ ไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตาม
เช้าตรู่ของวันรุ่งขึ้น ก่อนที่พ่อและแม่เลี้ยงจะตื่น เจียงหมิ่นก็แอบย่องออกจากห้องพักอย่างเงียบเชียบ เธอเดินไปตามถนนที่ยังคงเงียบสงัด มุ่งหน้าไปยังบ้านพักของหลี่หมิงเหว่ย ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากที่พักของเธอมากนัก
เมื่อไปถึงบ้านของหลี่หมิงเหว่ย ซึ่งน่าจะเรียกว่าห้องพักเล็กๆ มากกว่า เจียงหมิ่นก็เคาะประตูไม้เก่าๆ เบาๆ สองสามครั้ง ไม่นานนักประตูก็เปิดออก เผยให้เห็นใบหน้าของหลี่หมิงเหว่ยที่ดูงัวเงียเล็กน้อย เขาสวมเสื้อยืดเก่าๆ และกางเกงนอน
“อาหมิ่น เธอมาทำอะไรแต่เช้าตรู่แบบนี้”
หลี่หมิงเหว่ยถามด้วยความประหลาดใจ ดวงตาของเขายังคงปรือๆ แต่ก็ฉายแววเป็นห่วงเมื่อเห็นสีหน้าเคร่งเครียดของเธอ เจียงหมิ่นไม่ได้พูดพร่ำทำเพลง เธอเดินตรงเข้าไปในบ้านของเขาอย่างถือวิสาสะ
“อาเหว่ย” เจียงหมิ่นเอ่ยขึ้นเสียงจริงจัง หันกลับไปมองเขาที่ยืนงงงวยอยู่ตรงหน้า
“ฉันต้องรีบย้ายออกแล้ว นายหาที่พักให้ฉันในอาคารนี้ได้หรือยัง หรือที่อื่นก็ได้ ฉันไม่อยากกลับไปแล้ว”
“เดี๋ยวนี้เลยเหรอ ทำไมถึงได้รีบร้อนขนาดนี้”
เจียงหมิ่นถอนหายใจออกมาเล็กน้อย เธอเล่าเรื่องที่ถูกแม่เลี้ยงบังคับให้แต่งงานกับเถ้าแก่หวังให้เขาฟังอย่างรวบรัด ใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยความขุ่นเคืองและความไม่พอใจ
“ฉันไม่มีทางยอมแต่งงานกับเถ้าแก่เฒ่าคนนั้นเด็ดขาด นายคือทางออกเดียวของฉันในตอนนี้” เจียงหมิ่นพูดเสียงหนักแน่น
หลี่หมิงเหว่ยฟังเรื่องราวของเธอด้วยสีหน้าเห็นใจ ความงัวเงียหายไปเป็นปลิดทิ้ง ใบหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำด้วยความโมโหแทนสหาย เขากำหมัดแน่นเมื่อได้ยินว่าเธอถูกบังคับให้แต่งงานเพื่อเงิน
“ฉันเข้าใจแล้ว” หลี่หมิงเหว่ยพยักหน้าอย่างจริงจัง แววตาของเขาเปลี่ยนเป็นมุ่งมั่น
“ว่าแต่เธอย้ายออกมาได้เหรอ”
“ไม่ได้ก็ต้องได้ ฉันจะหาข้ออ้างเอง” เธอบอกเขาถึงแผนการในอนาคตที่ยังไม่ได้คิดเอาไว้
************************
ตอนเย็นเมื่อกลับถึงสถานที่ที่เรียกว่าบ้าน บรรยากาศอันหนักอึ้งก็ปะทะเข้ากับเธอทันที
บิดาของเธอนั่งอ่านหนังสือพิมพ์ ข้างๆ กันมีแม่เลี้ยงที่นั่งเท้าคางอยู่บนเก้าอี้ไม้ตัวเก่าในห้องนั่งเล่น ใบหน้าของเธอบึ้งตึงกว่าเดิมหลายเท่า เมื่อเห็นลูกเลี้ยงเดินเข้ามา สายตาของเธอก็จ้องเขม็งราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ
“หายหัวไปไหนมาแต่เช้า” ซูหย่าตวาดขึ้นทันที น้ำเสียงของเธอแหลมสูงจนแสบแก้วหู
เจียงหมิ่นพยายามปรับสีหน้าให้ดูอ่อนล้าเล็กน้อย เพื่อให้สอดคล้องกับภาพลักษณ์ของเจียงหมิ่นคนเดิมที่มักจะยอมคน
“ฉัน... ฉันออกไปหางานทำค่ะ” เธอตอบเสียงเรียบ พยายามไม่สบตากับแม่เลี้ยงโดยตรง
คำตอบของเธอทำให้แม่เลี้ยงหัวเราะเยาะออกมาเสียงดัง
“ฮ่าๆ หางานทำงั้นเหรอ ไม่ต้องรีบร้อนขนาดนั้นหรอกน่า เพราะแกไม่ต้องไปทำงานอะไรแล้ว หน้าที่ของแกตอนนี้คือเตรียมตัวเป็นเจ้าสาว”
หัวใจของเจียงหมิ่นกระตุกวูบ เธอรู้ว่าแม่เลี้ยงกำลังพูดถึงการแต่งงานกับเถ้าแก่หวัง เธอพยายามกลั้นความรู้สึกโกรธเคืองไว้สุดความสามารถ
“ฉันไม่แต่งงานกับเถ้าแก่หวังค่ะ ฉันบอกไปแล้วว่าฉันมีคนรัก และเรากำลังจะแต่งงานกัน” เจียงหมิ่นเอ่ยเสียงเย็นชา เธอเงยหน้าขึ้นสบตาแม่เลี้ยงอย่างไม่เกรงกลัว
ซูหย่าได้ยินดังนั้นก็ลุกพรวดขึ้นยืน ดวงตาของหญิงอวบท้วมเบิกกว้างด้วยความโกรธเกรี้ยว
“แกยังจะปากแข็งอีกงั้นรึนังเด็กสารเลว อย่าคิดว่าจะมาหลอกฉันได้ แกไม่มีสิทธิ์เลือก ฉันตัดสินใจแล้วว่าแกจะต้องแต่งกับเถ้าแก่หวังเพื่อแลกกับเงินแปดพันหยวนนั่น”
“ไม่ว่าแม่จะบังคับยังไง ฉันก็ไม่แต่งค่ะ” เจียงหมิ่นตอบด้วยน้ำเสียงที่เด็ดเดี่ยว ไม่มีความลังเลแม้แต่น้อย
“ถ้าแม่ยังบีบบังคับฉันอีก... ฉันจะตายให้ดู”
คำพูดของเจียงหมิ่นทำให้ซูหย่าชะงักกึกทันที ใบหน้าของเธอซีดเผือดลงเล็กน้อย ดวงตาเต็มไปด้วยความตกตะลึง เธอจ้องมองเจียงหมิ่นด้วยแววตาที่ไม่เชื่อสายตาตัวเอง
เด็กสาวตรงหน้าไม่ใช่เจียงหมิ่นคนเดิมที่เคยอ่อนแอ ยอมคน และขี้ขลาดอีกต่อไปแล้ว แววตาของเธอเต็มไปด้วยความแข็งกร้าวและมีท่าทีต่อต้านที่ไม่เคยมีมาก่อน
“แก... แกกล้าขู่ฉันงั้นหรือนังเด็กไม่รู้จักคุณคน” แม่เลี้ยงพูดเสียงสั่นเทา เธอไม่เคยคิดว่าลูกเลี้ยงจะกล้าต่อต้านเธอถึงเพียงนี้
เจียงหย่งฉีที่นั่งเงียบฟังอยู่ตลอดเวลาก็ลุกขึ้นยืน เขามองเจียงหมิ่นด้วยสายตาเย็นชา
“แกพูดอะไร! คิดว่าฉันจะยอมให้แกทำอะไรโง่ๆ อย่างนั้นได้หรือไง เงินแปดพันหยวนนั่นฉันต้องเอาไปให้น้องชายแกเรียนหนังสือนะ” ประโยคเดิมๆ ที่เพิ่มเติมคือความเจ็บปวดในใจ
เจียงหมิ่นมองหน้าบิดาด้วยแววตาว่างเปล่า เธอรู้ดีว่าการพูดคุยด้วยเหตุผลกับคนทั้งสองนั้นไร้ประโยชน์ เธอตัดสินใจที่จะทำเหมือนทุกครั้งเหมือนอย่างที่เจ้าของร่างเดิมเคยทำ โดยการหันหลังเดินตรงเข้าห้องส่วนตัวไปอย่างเงียบๆ และปิดประตูลงกลอนจากด้านใน
ทิ้งให้แม่เลี้ยงยืนตัวแข็งทื่ออยู่กลางห้อง ความรู้สึกหลากหลายถาโถมเข้าใส่เธอ ทั้งความตกใจ ความโกรธ และความสงสัยในตัวลูกเลี้ยงที่ไม่เหมือนเดิม
“นังเด็กนี่มันเปลี่ยนไปแล้วนะ มันกล้าหือกับฉัน แถมยังกล้าขู่จะตายอีก” แม่เลี้ยงหันไปพูดกับสามีด้วยน้ำเสียงที่เจือความกังวล
“ช่างเถอะ เธอคงแค่พูดไปอย่างนั้นแหละ ยังไงก็ต้องแต่งงานกับเถ้าแก่หวังอยู่ดี เงินแปดพันหยวนนั่นเราต้องได้มา”เจียงหย่งฉีขมวดคิ้วแน่น สีหน้าของเขาเคร่งเครียด
แต่ลึกๆ แล้วในใจของแม่เลี้ยงกลับรู้สึกไม่สบายใจ เธอรู้ว่าเจียงหมิ่นคนนี้แตกต่างออกไปจริงๆ แววตาที่แข็งกร้าวและคำขู่นั้นทำให้เธอรู้สึกหวาดหวั่นอย่างประหลาด
“ไม่ นังเด็กนี่มันไม่เหมือนเดิมจริงๆ” แม่เลี้ยงพึมพำกับตัวเอง ใบหน้าของเธอฉายแววครุ่นคิดอย่างหนัก ก่อนที่รอยยิ้มร้ายกาจจะค่อยๆ ปรากฏขึ้นบนริมฝีปาก
‘ถ้าเธอไม่อยากแต่งดีๆ เราก็ต้องหาทางจับเธอแต่งให้ได้’ เธอเริ่มคิดแผนการชั่วร้ายในใจ เพื่อบีบบังคับให้ลูกเลี้ยงสาวยอมแต่งงานกับเถ้าแก่หวังให้ได้ ไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตาม
************************
