บท
ตั้งค่า

บทที่ 4 เงินไม่ใช่ทุกอย่างในชีวิต 1

บทที่ 4

เงินไม่ใช่ทุกอย่างในชีวิต

“ท่านแม่ ข้าว่าพาพี่ฉีไปรักษาก่อนเถอะขอรับ” เมื่อเห็นว่าทุกอย่างเรียบร้อย ลู่เสียนจึงรีบเอ่ยบอกกับมารดาทันที

“ดี ๆ รักษาฉีเอ่อร์ก่อนเถอะ” ท่านปู่ที่ได้บุตรชายคนที่สามของท่านลุงใหญ่เข็นรถมาให้เอ่ยอย่างเห็นด้วยเช่นกัน

“อืม คงต้องตามหมอมาดูอาการก่อน ข้าจะจ้างเกวียนบุตรชายตาเฒ่าหว่างไปตามท่านหมอจากหมู่บ้านใกล้ ๆ มานะเจ้าคะ ฝากท่านพ่อดูอาฉีให้ข้าสักครู่” ลู่ฟางหันไปฝากฝังบุตรชายคนใหม่กับพ่อสามี

“ท่านแม่ ข้าว่าเราพาพี่ฉีไปโรงหมอในเมืองเลยไม่ดีกว่าหรือเจ้าคะ หากมีสิ่งใดขาดเหลือจะได้หาได้ทัน” ลู่ซือแย้ง

“เอาตามที่น้องรองว่าเถอะขอรับ หมอที่โรงหมอในเมืองย่อมดีกว่า” ลู่เสียนเห็นด้วยกับน้องสาว

“แต่ว่า...”

“ท่านแม่เชื่อข้า” ลู่ซือทราบว่ามารดากังวลในเรื่องใด แม้ใจจะเห็นด้วยกับบุตรชายและบุตนสาว แต่ตัวนางไม่ได้มีเงินมากพอจะจ่ายค่ารักษา ลู่ซือสบตามารดาแล้วจึงบีบมือนางเบา ๆ ให้เชื่อใจกัน

“เอาตามที่เจ้าว่าก็ได้ ข้าจะรีบไปจ้างเกวียน พวกเจ้าช่วยกันยกอาฉีมารอที่หน้าบ้านแล้วกัน” ลู่ฟางรีบวิ่งจากไปด้วยความรวดเร็ว

“ถึงกับต้องพาไปรักษาในเมืองหัวสูงเสียจริง”

สะใภ้ใหญ่ค่อนขอด

แต่กลับไม่มีผู้ใดสนใจเสียงของนาง หลังลู่ฟางเดินลับหายไป ลู่เสียนและลู่เจ๋อบุตรคนที่สามของลู่คงต่างช่วยกันยกลู่ฉีไปนอนรอเกวียนที่ด้านหน้าบ้าน

“ข้าฝากพี่ใหญ่ด้วยนะขอรับ” ลู่เจ๋อ หันไปกล่าวกับลู่เสียน นอกจากท่านปู่ก็เห็นจะมีเพียงลู่เจ๋อที่เห็นว่าลู่ฉีเป็นคนในครอบครัว

“ปู่ฝากเจ้าด้วยนะอาเสียน”

“ไม่ต้องห่วงขอรับ พวกข้าจะดูแลพี่ชายเป็นอย่างดี” ลู่เสียนให้คำมั่นสัญญา

“พี่ใหญ่ท่านแม่มาแล้ว” ลู่จื้อรีบบอกพี่ชายเมื่อเห็นท่านแม่นั่งอยู่บนเกวียนที่กำลังเคลื่อนเข้ามาใกล้

“พวกเราไปกันเถอะเจ้าค่ะ”

หลังจากนั้นทั้งหมู่บ้านจึงได้เห็นแม่ลูกแซ่ลู่นั่งเกวียนเข้าเมืองไปกันทั้งครอบครัว

เกวียนวัวคันใหญ่หยุดลงหน้าโรงหมอ ลู่เสียนและคนขับเกวียนต่างช่วยกันแบกลู่ฉีเข้าไปด้านใน

หลังลู่ฉีอยู่ในมือหมอเรียบร้อย ท่านแม่จึงได้จ่ายค่าเกวียนและกล่าวขอบบุตรชายตาเฒ่าหว่างไปหลายคำ ทั้งยังบอกให้เขากลับไปก่อนได้เลยไม่ต้องรอพวกตน

คนทั้งหมดเดินตามกันเข้าไปยังด้านใน ภายในนั้นมีท่านหมอที่ดูมีอายุผู้หนึ่งกำลังตรวจร่างกายลู่ฉีที่นอนอยู่บนเตียงคนไข้

“เด็กคนนี้กระดูกแขนซ้ายหัก อืม เป็นเด็กธาตุดินสินะ เช่นนั้นก็ไม่ต้องดามแขน อาการบาดเจ็บไม่ได้ร้ายแรงถึงชีวิต รักษาเพียงครึ่งเดือนก็กลับมาเป็นปกติแล้ว

นอกนั้นจะเป็นบาดแผลฟกช้ำทั้งหมด เอาล่ะ ข้าจะเขียนเทียบยาทั้งหมดให้ เจ้าก็นำไปยื่นให้หลงจู๊ที่ด้านหน้า ส่วนเด็กคนนี้ให้ข้าทำแผล แล้วนอนพัก 2 ชั่วยามก็กลับได้”

ท่านกล่าวหมอชี้แจงอาการบาดเจ็บของลู่ฉีหลังตรวจอาการเรียบร้อย

และเมื่อได้ยินว่าอาการของเด็กชายไม่เป็นอันตรายถึงชีวิตทั้งหมดจึงพากันถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก

“ท่านแม่ ข้ากับพี่ใหญ่จะนำของไปขายแล้วนำเงินมาจ่ายค่ารักษา ท่านแม่กับน้องน้อง ๆ รอข้าที่นี่นะเจ้าคะ”

“รีบไปรีบกลับล่ะ อาเสียนเจ้าดูแลน้องด้วย”

“ขอรับ”

“พี่ใหญ่เราไปที่ร้านหมื่นเมฆากันเถอะเจ้าค่ะ”

“ได้”

ลู่เสียนจึงเป็นผู้เดินนำลู่ซือออกมาจากโรงหมอแล้วเลี้ยวไปทางถนนทิศเหนือก่อนจะพากันเดินไปจนถึงสุดตรอก ๆ หนึ่ง

“ถึงแล้วล่ะ”

ร้านหมื่นเมฆาเป็นร้านขนาดใหญ่ 2 ชั้น กินพื้นที่หลายคูหา ที่ด้านหน้ามีชื่อร้านสลักไว้บนแผ่นไม้อย่างสวยงาม

“รับอะไรดีขอรับ”

คนงานที่ยืนต้อนรับลูกค้าอยู่หน้าร้านรีบออกมาทักทายทันทีที่เห็นเด็กทั้งสอง แม้ว่าลู่ซือและลู่เสียนจะเป็นเพียงเด็กและชุดที่สวมใส่ก็เป็นเพียงผ้าเนื้อที่ทั้งหยาบและเก่า แต่ชายคนงานชายผู้นี้ก็ยังคงต้อนรับเด็กทั้งสองอย่างนอบน้อมไม่ได้แสดงอาการดูถูกออกมาแต่อย่างใด

“ข้ามีของบางอย่างมาขาย ขอพบหลงจู๊ได้หรือไม่ขอรับ”

“รอสักครู่ขอรับคุณชาบ ข้าจะไปตามหลงจู๊มาให้”

ชายลูกจ้างเดินไปยังด้านหลังของร้าน ไม่นานก็กลับมาพร้อมชายร่างสูงที่ดูมีอายุคนหนึ่ง

“พวกเจ้าหรือที่บอกว่ามีของมาขาย ตามข้ามาสิ ไปคุยกันในห้องดีกว่า” หลงจู๊เดินนำเด็กทั้งสองไปยังห้องรับรอง

“เป็นสิ่งใดให้ข้าดูได้หรือไม่”

“นี่เจ้าค่ะ” ลู่ซือหยิบมณีธาตุไฟ ระดับกลางออกมา 3 ก้อน แล้ววางลงบนโต๊ะ โดยทำทีเป็นหยิบออกมาจากแขนเสื้อ

ทันทีที่ได้เห็นสิ่งของที่แม่หนูน้อยตรงหน้าหยิบออกมา นัยน์ตาของหลงจู๊ก็พลันเบิกกว้าง แววตาปรากฎอย่างชัดเจนว่าตกตะลึงจนไม่อยากเชื่อ เขาเป็นหลงจู๊ที่นี่มาหลายสิบปี เคยเห็นหินพลังธาตุระดับกลางเพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้น และหินพลังธาตุที่เห็นยังเป็นเพียงแค่ก้อนเล็ก ๆ ก้อนเดียวเท่านั้น

“ข้าขอจับมันได้หรือไม่”

“เชิญเจ้าค่ะ”

หลงจู๊หยิบหินพลังธาตุไฟขึ้นมาดูใกล้ ๆ สายตาเต็มไปด้วยความชื่นชม หินธาตุทั้ง 3 ก้อน ขนาดประมาณเท่าไข่ไก่ซึ่งถือว่าเป็นก้อนที่ใหญ่มาก พลังธาตุด้านในบริสุทธ์เต็ม 10 ส่วน ถือว่าเป็นหินพลังธาตุชั้นยอดที่สุดเท่าที่เขาเคยเจอมา

“พวกเจ้าไปได้มาจากที่ใด มีอีกหรือไม่”

“มีเพียงเท่านี้เจ้าค่ะ หินพลังธาตุเหล่านี้ท่านพ่อข้าได้มาจากป่าอสูร เดิมทีต้องการเก็บไว้ให้พี่ใหญ่ได้ฝึกฝน แต่ว่าพ่อข้าเสียชีวิต ครอบครัวเกิดปัญหาใหญ่ จำต้องใช้เงินมาก จึงต้องตัดใจนำออกมาขายเจ้าค่ะ”

ลู่ซือโกหกออกมาอย่างลื่นไหลด้วยเรื่องราวที่คิดว่าสมเหตุสมผลที่สุด

นางตกลงกับตัวเองว่า หลังจากได้เงินทุนก้อนนี้นางจะไม่มีวันนำมณีธาตุออกมาขายอีกเป็นอันขาด

หลงจู๊ผู้ดูแลร้านพยักหน้าอย่างเข้าใจ ของล้ำค่าเช่นนี้หากไม่ได้เกิดเรื่องร้ายแรงจริง ๆ เป็นเขาก็คงไม่มีทางนำมันออกมาขายเช่นกัน

“ข้าเข้าใจแล้วล่ะ”

“หินพลังธาตุ 3 ก่อนนี้ ท่านลุงหลงจู๊รับซื้อหรือไม่เจ้าคะ”

“ซื้อสิ ซื้อแน่นอน”

“ขอบคุณขอรับ” ลู่เสียนและลู่ซือหันมาสบตากันใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มดีใจ

“โดยปกติแล้วหินพลังธาตุระดับกลางราคาจะอยู่ที่ 500 ตำลึงทอง แต่หินที่พวกเจ้านำมามีความบริสุทธิ์สูง ข้าให้ก้อนละ 700 ตำลึงทอง พอใจหรือไม่”

ลู่ซือแอบสะกิดลู่เสียน นางไม่รู้เลยว่าราคาใดยุติธรรมไม่ยุติธรรมจึงต้องถามความเห็นพี่ชาย

“พอใจขอรับ” ลู่เสียนเลยเป็นคนตอบท่านลุงหลงจู๊แทนน้องสาว

“ทั้งหมดเป็นเงิน 2100 ตำลึงทอง ถูกหรือไม่”

“ถูกเจ้าค่ะ” หลงจู๊มองเด็กน้อยทั้งสองด้วยความเอ็นดู เด็กน้อยทั้งคู่ พูดจาฉะฉาน คิดเลขว่องไว ฉลาดเกินเด็กไวเดียวกันยิ่งนัก

“รับเป็นตั๋วแลกเงินหรือเงินตำลึงดีเล่า”

“ท่านลุงหลงจู๊ ข้าขอเป็นเงินตำลึง 2050 ตำลึงทอง กับ 500 ตำลึงเงินเจ้าค่ะ”

ลู่ซือไม่อยากได้เป็นตั๋วเงินเนื่องจากบ้านของนางอยู่ไกลเกินกว่าจะเดินทางมาในเมืองบ่อย ๆ สู้แลกเป็นเงินตำลึงเก็บไว้ในมิติย่อมใช้ได้สะดวกกว่า

“ได้ข้าจะเตรียมให้”

หลงจู๊เดินออกไปจากห้อง ไม่นานก็กลับพร้อมถุงผ้าถุงใหญ่หลายใบ

“เจ้านับดูเอาเถอะ”

“ข้าเชื่อใจท่านลุงเจ้าค่ะ”

“ว่าแต่เจ้าไม่เปลี่ยนใจหรือ เปลี่ยนเป็นตั๋วเงินยังทันนะ”

หลงจู๊ถามเด็กน้อยเมื่อเห็นกองตำลึงที่เยอะเกินกว่าเด็กสองคนจะถือไปกันไหว ลู่เสียนเองเมื่อเห็นเงินถุงใหญ่ก็จื่นเต้นจนเหงื่อซึมมือ

“ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ ข้ามีญาติมาด้วย”

ลู่ซือปฏิเสธ ทั้งสองจึงช่วยกันขนถุงเงินขนาดใหญ่ออกไปจากร้าน ก่อนจากกันท่านลุงหลงจู๊ยังกล่าวกับพวกนางด้วยว่าหากมีของอยากขายหรือต้องการความช่วยเหลือสามารถมาที่นี่ได้ทุกเมื่อ ลู่ซือยิ้มรับแล้วกล่าวขอบคุณอย่างมีมารยาท

เมื่อลับตาคนลู่ซือจึงน้ำเงินเกือบทั้งหมดโยนเข้ามิติ เหลือไว้เพียง 50 ตำลึงทองเท่านั้น

“ท่านเก็บไว้” ลู่ซือยื่นให้พี่ชาย 5 ตำลึงเงิน

“น้องรองข้าไม่เอา เจ้าเก็บไว้ที่เจ้าเถอะ” ลู่เสียนรีบปฏิเสธ

“เก็บไว้เถอะเจ้าค่ะ เผื่อท่านอยากได้สิ่งใดจะได้ซื้อได้เลย”

“ข้าไม่มีอะไรที่อยากได้หรอก”

“ข้าเห็นท่านใช้ไม้เขียนทรายกับอ่านตำราเล่มเดิมซ้ำไปซ้ำมา ท่านมีเงินแล้วสามารถซื้อกระดาษและพู่กันมาหัดเขียนและยังสามารถซื้อตำราฝึกฝนเล่มใหม่มาอ่านได้อีก ไม่เอาหรือเจ้าคะ”

“ข้าเอา ๆ” ลู่เสียนรีบรับเงินมาจากมือน้องสาวเก็บเข้าอกแล้วลูบไปมาบริเวณอกตัวเองอย่างทะนุถนอม

“กลับไปหาท่านแม่กันเถิดเจ้าค่ะ”

เด็กทั้งสองจึงพากันเดินไปที่โรงหมอด้วยใบหน้าที่แต่งแต้มไปด้วยร้อยยิ้มแห่งความสุข

“ท่านแม่พี่ใหญ่พี่รองกลับมาแล้วขอรับ” เด็กแฝดที่คอยมองประตูตลอดรีบบอกมารดาทันทีที่เห็นเงาร่างของพี่ชายพี่สาวเดินเข้ามา

“เหตุใดจึงไปนานนัก” เมื่อเห็นลูก ๆ กลับมาแล้วนางก็เบาใจลงได้ เด็กทั้งคู่หายไปนานจนนางแทบรอไม่ไหวอยากจะออกไปเดินตามหาให้รู้แล้วรู้รอด

“ร้านอยู่ไกลขอรับ” ลู่เสียนเป็นฝ่ายตอบ

“เป็นเช่นนี้เอง”

ค่ารักษารวมค่ายาของลู่ฉีเป็นเงินหมด 4 ตำลึง เงิน 120 อีแปะ ท่านแม่ถึงกับตาโตเมื่อรู้ราคาและยังแอบบ่นว่าแพงเกินไป เมื่อเทียบกับค่ารักษาของหมอชาวบ้านตามหมู่บ้านที่คิดราคาเพียงไม่กี่สิบอีแปะ

แต่ลู่ซือกลับคิดว่าเป็นราคาที่ยุติธรรม เนื่องจากตอนส่งเทียบยาหลงจู๊ถามว่าต้องการสมุนไพรชั้นดีหรือไม่ แน่นอนว่านางต้องการ ราคาจึงได้แพงกว่าเดิมหลายเท่านัก

“ท่านแม่เราไปซื้อของเข้าบ้านกันเถอะเจ้าค่ะ” ลู่ฉียังต้องนอนพักอยู่อีกนานเวลาระหว่างนี้น่าจะพอให้นางไปเดินเล่นในเมืองได้อีกพักใหญ่

“ท่านแม่ ข้าหิวแล้ว”

“ข้าก็ด้วยขอรับ”

ลู่ซือเห็นน้องชายทั้งสองมองท่านแม่ตาละห้อย มือน้อย ๆ ใช้ลูบท้องไปมาอย่างน่าสงสาร

“พี่รองจะเลี้ยงข้าวเจ้าเอง ไหนใครอยากกินอะไร บอกพี่รองมาพี่รองจะพาไป”

“ข้าอยากกินบะหมี่ขอรับ” ลู่ชิงชี้ไปที่ร้านบะหมี่ริมทางที่อยู่ฝั่งตรงข้ามโรงหมอ

“ข้าด้วย ๆ” ลู่จื้อเองก็เห็นด้วยกับน้องชาย เขาเองก็แอบมองร้านบะหมี่ร้านนี้อยู่นานแล้วเช่นกัน

“พี่ใหญ่เล่ามีสิ่งที่อยากกินหรือไม่” ลู่ซือหันไปถามพี่ใหญ่ของนาง

“ข้ากินเหมือนน้องสามน้องสี่ก็ได้”

“ท่านแม่เล่าเจ้าคะ”

ลู่ฟางลังเล ครอบครัวนางเพิ่งจ่ายค่ายาหมดไปราว 4 ตำลึง เป็นเงินที่มากที่สุดที่นางเคยใช้จ่าย และหากยังต้องมาจ่ายค่าอาหารนอกบ้านอีกนางเกรงว่าทั้งบ้านจะไม่มีเงินสักอีแปะ

“ท่านแม่เจ้าคะ นี่เป็นเงินส่วนน้อยที่ข้าขายมณีธาตุได้ ท่านแม่เก็บเอาไว้ใช้จ่ายนะเจ้าคะ”

ลู่ซือไม่ได้โง่เพียงแค่นางเห็นท่าทางลังเลของมารดาก็รู้ได้ทันทีว่ากำลังกังวลเรื่องอันใด นางจึงหยิบเงินออกมา 10 ตำลึงทองยื่นให้มารดา

ลู่ฟางมองเงินในมือบุตรสาวด้วยสายตาไม่อยากเชื่อ นางไม่เคยเห็นเงินตำลึงทองมากเท่านี้มาก่อน ในคราบุตรชาย อายุ 10 หนาว ก็เป็นเพียงแค่เงิน 1 ตำลึงทอง หากยังเป็น 1 ตำลึงทองที่สามีใช้เวลานานหลายปีเพียรเก็บออมขึ้นมาได้

“ซือซือเจ้าอย่าได้นำเงินออกมามากมายเช่นนี้อีก”

ลู่ฟางมองซ้ายมองขวา เมื่อเห็นว่าไม่มีใครสนใจ นางรีบนำเงิน 10 ตำลึงทอง เก็บลงกระเป๋าเงินแล้วยัดไว้ในอกเสื้อด้วยความรวดเร็ว โดยที่มือของนางยังคอยเอาแต่ลูบบริเวณที่ซ่อนเงินเอาไว้ครั้งแล้วครั้งเล่า

“ใยท่าทางท่านแม่ช่างเหมือนพี่ใหญ่นักเล่า” ลู่ซือพูดไปหัวเราะไปอย่างไม่รักษาอาการ

“น้องรองหุบปากเสีย” ลู่เสียนแสร้งตีหน้าขรึม ดุน้องสาวขัดกลับใบหูที่แดงแจ๋

ทั้งครอบครัวกินบะหมี่ด้วยความเอร็ดอร่อยจนอิ่มกันถ้วนหน้า บะหมี่ร้านนี้ราคาไม่แพงนักเพียงชามละ 7 อีแปะ ครอบครัวของลู่ซือ กินกันคนละ 1 ชาม หมดไป 35 อีแปะเท่านั้น แน่นอนว่าค่าอาหารมื้อนี้ลู่ซือเป็นผู้ควักจ่ายให้

“ไปที่ใดต่อดีขอรับ” ลู่เสียนหันไปถามมารดาและน้องสาว

“ไปซื้อของเข้าครัวกันเถอะเจ้าค่ะ” ลู่ซือเสนอ

“เอาตามที่น้องเจ้าว่าแล้วกัน”

“ขอรับ”

คนทั้งห้าจึงพากันเดินกันเข้าไปในตลาดที่อยู่ไม่ไกลเท่าใด เดินมาถึงด้านในตลาด ของที่วางขายเป็นพวกเนื้อสัตว์เสียส่วนใหญ่ ร้านผักมีให้เห็นเพียงประปราย ลู่ซือเมื่อทราบราคาผักที่ตั้งขายก็แอบตกใจเล็กน้อย เมื่อพบว่ามันราคาพอ ๆ กับเนื้อสัตว์เลยทีเดียว

“ท่านแม่เหตุใดผักเหล่านั้นราคาแพงนักเล่า”

“ที่นี่ผักปลูกยากน่ะลูก พื้นดินแห้งแล้ง น้ำก็น้อย หากอยากจะปลูกต้องใช้น้ำเยอะมากและต้องดูแลอย่างดี”

ลูซือพยักหน้าแล้วพยายามทำความเข้าใจ นึกถึงที่ดิน 1 หมู่หลังบ้านที่เขาเดินสำรวจเมื่อวาน ก็พอเข้าใจขึ้นมาได้บ้าง แบบนี้หากบ้านใดปลูกผักขายได้ก็คงจะรวยน่าดู

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel