บทที่ 3 มารดาเธอหาพี่ชายให้ ด้วยซาลาเปาเพียงลูกเดียว
บทที่ 3
มารดาเธอหาพี่ชายให้
ด้วยซาลาเปาเพียงลูกเดียว
“ท่านแม่จะไปไหนเจ้าคะ” ลูซือสลึมสลือถามมารดา ฟ้าด้านนอกยังไม่สว่างแต่มารดานางกลับลุกขึ้นมาพับผ้าห่มเสียแล้ว
“แม่จะไปเตรียมข้าวเช้าให้ เจ้านอนต่ออีกหน่อยเถอะ” เมื่อได้ยินดังนั้นลูซือจึงดีดตัวลุกขึ้นตามมารดาในทันที
“จะรีบลุกทำไมกัน เจ้านอนต่อเถอะ แม่ทำคนเดียวก็พอ”
“ข้าไปด้วยเจ้าค่ะ รู้สึกว่าไม่ง่วงแล้ว”
“งั้นตามใจเจ้า”
หลังท่านพับผ้าห่มเสร็จเรียบร้อย นางก็เดินนำลู่ซือออกไปด้านนอก
ภายนอกห้องยังคงมืดสนิทไม่ต่างจากในห้องนอน เนื่องจากไฟจากตะเกียงไฟที่คอยให้แสงสว่างนั้นมอดดับไปนานแล้ว
“ซือซือเดินระวังนะลูก” ลู่ฟางเอ่ยเตือนบุตรสาวเพราะกลัวว่านางจะเดินไปสะดุดสิ่งใดเข้าจนล้มหัวร้างข้างแตก
“เดี๋ยวก่อนเจ้าค่ะ ท่านแม่”
ลู่ซือเห็นว่าหากยังคงเดินฝ่าความมืดออกไปอาจจะเกิดอันตรายขึ้นได้จริง ๆ นางจึงหยิบหินอัคคีออกมาจากในมิติ หินก้อนนี้มีขนาดเท่าไข่นกกระจอกเทศ ความพิเศษของมันคือหากอยู่ในที่ ๆ ไร้แสง หินอัคคีจะสามารถเรืองแสงขึ้นมาเองได้
ลู่ฟางมองไปยังหินประหลาดที่อยู่ในมือบุตรสาว แม้ประหลาดใจแต่ก็ไม่ได้เอ่ยถามอันใดออกมา ได้แต่คิดในใจว่าบุตรสาวคนนี้ตั้งแต่ฟื้นไข้ ก็ช่างขยันสร้างเรื่องที่ทำให้นางตกใจได้มากมายเหลือเกิน
“สว่างขึ้นหรือไม่เจ้าคะ”
“สว่างกว่าใช้ตะเกียงอีกลูก”
“นั่นแน่นอนอยู่แล้วเจ้าค่ะ แถมยังไม่ต้องสิ้นเปลืองน้ำมันตะเกียงอีกด้วย กลางวันก็แค่ตั้งเจ้าหินนี่ให้รับแสงอาทิตย์ กลางคืนหินก็จะเรืองแสงได้เอง ที่ข้ายังมีอีกหลายก้อนเลยเจ้าค่ะ”
ในโลกของลู่ซือนั้นแม้จะมีไฟฟ้าใช้ แต่วันใดที่นางทำงานล่วงเวลาจนเลยเวลาที่ตึกปิดไฟ นางก็ได้หินอัคคีนี่แหละเป็นตัวช่วยเสริม
ตอนนี้จึงกลายเป็นลู่ซือเสียเองที่เดินนำมารดาไปยังห้องครัว นางวางหินอัคคีไว้มุมนึงของห้อง แล้วเดินเลยไปที่ชั้นวางเครื่องปรุง
“ไม่มีอะไรเหลือแล้วล่ะลูก”
“ท่านแม่มาช่วยข้าหน่อยเจ้าค่ะ” ลู่ซือมองไหเครื่องปรุงตรงหน้าด้วยความสับสนว่าไหทั้งหมดนี้เคยใส่เครื่องปรุงใดเอาไว้บ้าง
“ช่วยอะไรหรือลูก”
“นี่น้ำตาล เกลือ แล้วก็ซอสปรุงรสเจ้าค่ะ นำทั้งหมดไปใส่ไหให้ข้าที”
ลู่ฟางรับถุงเครื่องปรุงมาจากลูกสาว ดวงตาของนางเบิกกว้างอย่างตกใจ ของเหล่านี้จินนึงราคาแพงกว่าเนื้อหมูเสียอีก แต่ลูกสาวกลับมีมันอย่างละ 1 โหลใหญ่ ๆ
“ข้านำมาจากอีกโลกเจ้าค่ะ ท่านแม่ไม่ต้องตกใจไป ของที่ข้านำมายังมีที่น่าตกใจยิ่งกว่านี้เสียอีก” ลู่ซือกล่าวติดตลก
“เจ้านี่จริง ๆ เลย ล้อแม่เล่นอีกแล้ว”
“ท่านแม่เจ้าคะ ข้ามีน้ำมันด้วย ต้องใส่ไว้ที่ใดหรือ”
“ไหทางด้านซ้ายของเจ้า”
เมื่อเก็บของเรียบร้อยงานในครัวจึงได้ว่างลงไม่มีสิ่งใดให้ทำอีก
“ซือซือเจ้ารอที่นี่แล้วกัน เดี๋ยวแม่ไปเก็บผักป่าก่อน จะได้รีบนำมาต้มให้พวกเจ้ากินกัน”
ลู่ซือชะงัก ผักป่าอีกแล้ว คนบ้านนี้นี่มันยังไงกันเอะอะก็พากันไปเก็บผักป่ามาต้มกิน
ข้าลู่ซือคนนี้ขอไม่ทน!
“ท่านแม่ ที่ข้ายังมีซาลาเปาเหลืออยู่ เรากินซาลาเปากันดีหรือไม่เจ้าคะ”
“ยังมีอีกหรือ เอาแบบนั้นก็ได้ เมื่อวานน้องเจ้ากับพี่ใหญ่ของเจ้าชอบกินมันมาก”
“เอ่อ ท่านแม่เจ้าคะ ท่านทำซุปสาหร่ายเป็นหรือไม่ ข้าคิดว่าหากมีน้ำซุปกินคู่ซาลาเปาคงจะดียิ่ง”
“แต่บ้านเราไม่มีสาหร่ายเลยนี่สิ”
“ข้ามีเจ้าค่ะ” ว่าแล้วนางก็ควักสาหร่ายแห้งออกมาแบ่งใส่จานครึ่งนึง แล้วเก็บที่เหลือลงมิติ
“ยังต้องใช้อะไรอีกหรือไม่เจ้าคะ”
“พอแล้วล่ะ ตะวันใกล้จะขึ้นแล้ว เจ้ารีบไปปลุกพี่กับน้องเจ้าเถอะ ตรงนี้แม่จัดการคนเดียวก็พอแล้ว”
“ได้เจ้าค่ะ”
หลังจากได้รับคำสั่ง ลู่ซือรีบเดินไปล้างหน้าแปรงฟันก่อนเป็นอันดับแรก แล้วถึงค่อยเดินกลับไปเรียกพี่ใหญ่และน้องชายฝาแฝดที่นอนอยู่ภายในบ้าน
“อาสะใภ้ น้องเสียน อยู่หรือไม่”
เป็นเสียงตะโกนที่ดังขึ้นมาจากทางหน้าบ้าน ลู่ซือที่กำลังเดินเข้าบ้านจึงหยุดชะงักเท้าแล้วหันหลังเดินไปยังทิศทางของประตูใหญ่แทน
“พี่ฉีมีอะไรหรือเจ้าคะ ถึงได้มาแต่เช้าเชียว”
ผู้ที่มาที่บ้าน คือ ลู่ฉี บุตรชายคนโตของท่านลุงใหญ่ลู่คง ปีนี้อายุย่างเข้า 15 หนาวแล้ว แต่ขนาดตัวกลับพอ ๆ กับพี่ใหญ่ของนาง แม้เขาจะมีอายุที่มากกว่าก็ตาม
จากในความทรงจำเก่าของลู่ซือ เขาไม่ใช่บุตรชายแท้ ๆ ของป้าสะใภ้ใหญ่คนปัจจุบัน ตัวของป้าสะใภ้ผู้นี้ไม่ม่ชอบใจการมีอยู่ของลูกเลี้ยงที่อายุมากว่าบุตรของตนนัก
ส่วนผู้เป็นพ่อก็ตั้งแง่รังเกียจ เนื่องจากมารดาแท้ ๆ ของลู่ฉีหนีหายไปกับชายชู้ ชีวิตความเป็นอยู่ในบ้านของลู่ฉีจึงค่อนข้างลำบาก มีเพียงแค่ท่านปู่เท่านั้นที่รักใคร่เพราะถือว่าเป็นหลานชายคนแรกของตระกูล
“น้องสาว ข้ามาหาท่านอาสะใภ้กับน้องเสียนน่ะ อยู่หรือไม่” ลู่ฉีถามอย่างมีมารยาท
“อยู่เจ้าค่ะ เชิญพี่ชายเข้ามาก่อน”
“ท่านแม่ พี่ฉีมาเจ้าค่ะ”
ลู่ซือพาลู่ฉีมานั่งรอที่โต๊ะ ในขณะที่เด็กหญิงกำลังจะเดินไปเรียกมารดา ผู้เป็นมารดากลับเดินถือหม้อซุปออกมาจากห้องครัวเสียก่อน เมื่อเห็นว่าทั้งคู่ได้เจอกันเรียบร้อยแล้ว ลู่ซือจึงหันหลังเดินกลับไปเรียกพี่ใหญ่และน้องชายทั้งสองแทน
“เสี่ยวฉี มาหาอาสะใภ้มีอะไรหรือ” ลู่ฟางวางหม้อน้ำซุปลงบนโต๊ะแล้วจึงค่อยเอ่ยถามหลานชายสามีอย่างใจดี
“ข้าจะมาถามว่าวันนี้ท่านจะเข้าไปในเมืองกันหรือไม่ขอรับ หากไปข้าจะขอไปด้วยขอรับ” เด็กชายเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่ไม่มั่นใจสักเท่าไร
“วันนี้อาไม่ได้ไปหรอก”
ลู่ฟางมองเด็กชายตรงหน้าด้วยความรู้สึกสงสาร พี่ใหญ่กับพี่สะใภ้ของนางใจร้ายนัก ถ้าไม่ให้อดข้าว ก็ทุบตีเสียหนัก ลู่ฉีอายุจะ 15 หนาวแล้ว แต่ขนาดตัวกลับไม่แตกต่างจากลูกชายของนางเลยแม้แต่น้อย
“ขอรับ งั้นข้ากลับก่อน ไม่รบกวนแล้ว” เมื่อได้คำตอบเด็กชายจึงรีบบอกลา เตรียมจากไปด้วยความรู้สึกผิดหวัง
“เจ้าอยู่กินข้าวด้วยกันก่อนสิ”
“ไม่รบกวนดีกว่าขอรับ”
ลู่ฉีกล่าวปฏิเสธอย่างมีมารยาท เขาทราบถึงฐานะทางบ้านของอาสะใภ้เป็นอย่างดี ว่าลำบากเพียงใด เมื่อวานนี้เขายังแอบท่านแม่นำข้าวต้มส่วนของตนใส่ชามมอบให้ลู่ชิงกลับไปอยู่เลย
เมื่อกล่าวลาเรียบร้อยเด็กชายจึงหันกายเพื่อมุ่งหน้ากลับไปยังบ้านของตน
“พี่ใหญ่ฉี” ยังเดินไปได้ไม่ไกลก็ถูกเด็กชายฝาแฝดที่เพิ่งเดินออกร้องทักเอาไว้เสียก่อน หลังรั้งญาติผู้พี่ไว้ได้สองเด็กชายก็รีบวิ่งไปหาพี่ชายลูกพี่ลูกน้องของตนในทันที
“พี่ฉี จะรีบไปไหนหรือขอรับ มากินข้าวด้วยกันก่อนสิ”
ลู่เสียนที่เพิ่งออกมา แม้จะงุนงงอยู่บ้างที่เห็นลู่ฉีแต่ก็ยังไม่ลืมเอ่ยชวนพี่ชายให้อยู่ร่วมกินข้าวด้วยกันก่อน
“น้องสาม น้องสี่ รีบพาพี่ฉีของพวกเจ้ามากินข้าวเร็วเข้า”
ลู่ซือเข้าใจว่าลู่ฉีคงเกรงใจ นางจึงรีบเอ่ยมัดมือชก ทำให้ลู่ฉีไม่อาจปฏิเสธน้ำใจของครอบครัวท่านอารองได้อีก
บนโต๊ะอาหารมีซาลาเปาลูกใหญ่นับสิบลูก กับซุปสาหร่ายที่ถูกตักลงถ้วยเล็ก ๆ วางอยู่ตรงหน้าทุกคน ลู่ฉีไม่เคยได้กินอะไรเช่นนี้มาก่อนจึงค่อย ๆ กินทีละน้อยไม่กล้ากินลงไปเยอะ ด้วยกลัวว่าจะเป็นการแย่งส่วนของน้อง ๆ ลู่ซือสังเกตอยู่นานแล้วจึงได้แต่ทำทีเลื่อนจานซาลาเปาไปอยู่ตรงหน้าของญาติผู้พี่
“พี่ฉีกินเยอะ ๆ หน่อยสิเจ้าคะ ท่านผอมกว่าพี่ใหญ่ของข้าเสียอีก”
เมื่อถูกน้องสาวพูดใส่เช่นนั้น ลู่ฉีจึงจำใจหยิบซาลาเปาอีกลูกหนึ่งเข้าปากอย่างเสียมิได้
“อาฉี หลังกินอิ่มแล้ว เอากลับไปฝากปู่เจ้าด้วยนะ” ลู่ฟางห่อซาลาเปากับผ้าสะอาดแล้วยื่นให้หลานชาย
“ได้ขอรับอาสะใภ้”
ไม่นานทั้งซาลาเปาและซุปสาหร่ายก็หมดลง เด็กน้อยทั้งสองต่างเลียริมฝีปากของตัวเองไปพร้อมกับลูบท้องกลม ๆ ด้วยความรู้สึกอิ่ม
“ข้ากลับก่อนนะขอรับ”
“พี่ฉี พวกข้าไปด้วย” ลู่จื้อรีบลุกขึ้นตาม
“ท่านแม่ข้ากับพี่สามขอไปหาท่านปู่นะขอรับ” ลู่ชิงเอ่ยขออนุญาตมารดาเช่นเดียวกัน ก่อนจะรีบวิ่งตามพี่ชายทั้งสองออกไป
เมื่อเด็กทั้งสามจากไป บริเวณลานบ้านจึงเหลือเพียงแค่ลู่ซือและลู่เสียน ส่วนมารดานั้นกำลังจัดการกับถ้วยชามอยู่ภายในครัว
“พี่ใหญ่ ในเมืองมีที่ให้เราขายมณีธาตุหรือไม่” ลู่ซือเอ่ยถามพี่ชายทำลายความเงียบ
“มีสิ สมัยก่อนยามท่านพ่อกลับมาจากป่าอสูรท่านจะมีพวกผลึกพลังธาตุกลับมา ท่านพ่อมักจะขายมันให้กับร้านหมื่นเมฆาเสมอ”
“งั้นเราเอามณีธาตุไปขายกันดีหรือไม่เจ้าคะ”
ลู่เสียนถึงกับแสดงสีหน้าตกใจกับคำชักชวนของน้องสาว มณีธาตุของน้องสาวเป็นของล้ำค่าและหายาก เขาไม่อยากเชื่อว่าน้องสาวของเขาจะตัดใจขายมันได้ลงคอ
“เจ้าล้อข้าเล่นแล้วน้องรอง”
“ข้าพูดจริง ๆ นะ”
นางมาอยู่ที่นี่ ต่อให้นางมีสิ่งของต่าง ๆ มากมายแต่ถ้าไม่มีเงินหลาย ๆ สิ่งก็จะไม่อาจหามาได้
“เจ้าไม่เสียดายหรือ”
“ข้ามีเป็นร้อยเป็นพันก้อนขายไปสองสามก้อนข้าไม่เสียดายหรอก” ลู่ซือกล่าวอย่างไม่ใส่ใจ
“งั้นก็ตามใจเจ้า”
“ขอบคุณเจ้าค่ะ จริงสิ พี่ใหญ่ตอนนี้ท่านฝึกฝนพลังอยู่ในระดับใดแล้วเจ้าคะ”
“ข้าอยู่ระดับควบคุมขั้นกลาง”
ในการฝึกฝนพลังธาตุจะมีระดับขั้นทั้งหมด 4 ระดับ ได้แก่ ระดับควบคุม แรกสร้าง ทะลวง และพิฆาต โดยในแต่ละระดับจะมี 3 ขั้นพลัง ได้แก่ ขั้นต่ำ ขั้นกลาง ขั้นสูง
พี่ใหญ่เพิ่งฝึกฝนพลังได้เพียงแค่ไม่กี่ปี นับจากเริ่มปลุกพลัง ด้วยทรัพยากรและอายุที่ยังน้อย หากเป็นธาตุอื่นจะถือว่าพลังระดับนี้นั่นไม่แย่ แต่ด้วยธาตุของพี่ใหญ่ซึ่งเป็นธาตุไฟการที่ติดอยู่เพียงแค่ระดับควบคุมที่เป็นระดับเริ่มต้นนั้นกลับไม่ใช่เรื่องดี
ในบรรดาพลังธาตุทั้งหมด ธาตุไฟมีพลังทำลายล้างสูงสุด แต่กลับด้อยที่สุดในระดับเริ่มต้น หากผู้ใช้ยังไม่สามารถสร้างไฟของตัวเองขึ้นมาได้ การควบคุมไฟธรรมชาติจึงค่อนข้างยากลำบากเนื่องจากไฟรอบตัวหาได้ยากว่าธาตุอื่นมากนัก
“นี่เจ้าค่ะ” ลู่ซือยื่นหินมณีธาตุไฟระดับต่ำให้พี่ชายหลาบสิบก้อน
“น้องรองเจ้าส่งให้ข้าทำไมกัน”
“มณีธาตุหากใช้ดูดซับร่วมกับการฝึกฝนจะช่วยให้เลื่อนขั้นไวขึ้นเจ้าค่ะ ยามนี้พลังของพี่ยังอยู่ในระดับควบคุม ร่างกายไม่อาจระดับมณีขั้นกลางได้ ใช้มณีขั้นต่ำพวกนี้ไปก่อนแล้วกันเจ้าค่ะ”
“มันมีค่ามากเกินไปข้ารับไว้มิได้”
“รับไว้เถอะเจ้าค่ะ ครอบครัวเดียวกัน หากพี่ใหญ่แข็งแกร่ง เด็กสาวอ่อนแอเช่นข้าจะได้มีที่พึ่งพิง”
ลู่ซือคิดเผื่อถึงวันข้างหน้า ในอนาคตนางมั่นใจว่าครอบครัวของนางจะต้องร่ำรวยและโดดเด่น ฉะนั้นผู้นำตระกูลในอนาคตอย่างพี่ใหญ่พลังจะอ่อนด้อยไม่ได้เป็นอันขาด
“ข้าจะตั้งใจฝึกฝนไม่ให้พวกเจ้าต้องผิดหวัง” ลู่เสียนกล่าวอย่างหนักแน่นถึงอายุเขาจะยังน้อยแต่ยามนี้ครอบครัวไม่มีท่านพ่อแล้ว เขาจะต้องทำหน้าที่แทนท่านพ่อให้ได้ดีที่สุด
“ดีเจ้าค่ะ”
ลู่เสียนรับมณีธาตุเอาไว้ด้วยมือสั่นเทา จากนั้นจึงรวบก้อนมณีทั้งหมดเข้าไว้กับอก ก่อนจะค่อย ๆ เดินประคองมณีไปเก็บไว้อย่างดีภายในห้อง
เมื่อเงาร่างพี่ชายลับหายไป ลู่ซือจึงหันกลับมาขบคิดวางแผนว่าจะนำมณีธาตุไปขายได้อย่างไรโดยไม่ให้ผู้อื่นสงสัย
“พี่ฮือ ๆ ๆ ฮึก ฮือ”
ลู่ชิงวิ่งร้องไห้เข้ามาในลานบ้าน สภาพของเด็กชายนั้นหน้าสงสารเป็นอย่างยิ่ง ผมเผ้าของเขายุ่งเหยิง ใบหน้ากลายเป็นสีแดงจัดและเต็มไปด้วยคราบน้ำตา เพราะเสียงร้องอันดังลั่นที่แว่วมา ทำให้ ลู่ฟาง และลู่เสียนต่างก็พากกันวิ่งออกมาดูด้วยความตกใจ
“เกิดอะไรขึ้น ใครทำอะไรเจ้า” ลู่ซือถามน้องชายพลางเช็ดน้ำตาบนใบหน้าออกให้
“พี่ฉีแย่แล้วขอรับ ฮือ”
“หยุดร้องไห้แล้วค่อย ๆ เล่าให้แม่ฟัง”
“พวกข้ากำลังนำซาลาเปาไปให้ท่านปู่ แต่ระหว่างทางเจอเมิ่งจิวเข้า เขาเห็นซาลาเปาก็ร้องจะกิน พวกเราไม่ยินยอม แล้วบอกกับเขาว่า ถ้าอยากกินให้ไปขอกับท่านปู่เอง แต่เมิ่งจิวไม่ยอมเขาเข้ามาแย่งซาลาเปาในมือพี่สาม พี่สามไม่ให้ เขาเลยผลักพี่สามจนล้ม ข้าโมโหเลยผลักเขาคืนไป
พี่เหวินเข้ามาเห็นก็หาว่าพวกเรารังแกน้องชายของเขา พี่เหวินจะทำร้ายพวกเรา พี่ฉีเอาตัวบังปกป้องพวกเรา ไม่ได้ตอบโต้กลับไปสักนิด ทำเพียงแค่ดันเขาออกเบา ๆ เท่านั้น ไม่รู้ว่าเมิ่งจิววิ่งไปฟ้องลุงใหญ่กับท่านป้าสะใภ้ใหญ่ตอนไหน
จึงเห็นตอนพี่ฉีดันพี่เหวินเข้าพอดี พวกเขาไม่ฟังข้ากับพี่สามอธิบายสักนิด มาถึงก็เอาแต่ทุบตีพี่ฉี ฮึก ฮือ ท่านแม่เราไปช่วยพี่ฉีกันนะขอรับ ไม่งั้นลุงใหญ่ตีพี่ฉีตายแน่ ๆ”
ลู่ชิงอธิบายไปร้องไห้ไปอย่างน่าสงสาร
“ไปบ้านใหญ่กันเถอะขอรับ ท่านแม่” ลู่เสียนพูดจบก็วิ่งนำออกไป ตามด้วยคนที่เหลือที่วิ่งตามกันไปด้วยความร้อนใจไม่ต่างกัน
เมื่อไปถึง ประตูใหญ่ถูกเปิดอ้าเอาไว้อยู่ก่อนแล้ว พวกเขาจึงเดินเข้าไปด้านในทันที
บัดนี้ข้าวของในลานบ้านกระจัดกระจาย ตรงกลางลานมีชายหนุ่มร่างสูงใหญ่กำลังใช้ไม้ท่อนหนาฟาดลงไปกลางลำตัวของลู่ฉีที่นอนขดตัวอย่างน่าสงสารอยู่บนพื้น ร่างกายของเด็กชายเต็มไปด้วยบาดแผลฟกช้ำและมีเลือดไหลออกมาหลายแห่ง
ไม่ไกลกันนั้นท่านปู่กำลังนั่งอยู่บนรถเข็นที่มีเด็กชายตัวเล็กลูกชายคนกลางของป้าสะใภ้ใหญ่คอยเข็นให้ ทั้งคู่พยายามตะโกนห้ามปรามไม่ให้ผู้เป็นบิดาทำร้ายบุตรชายของตนเองแเสียงของทั้งคู่ ไม่อาจจะหยุดโทสะของบุตรชายหรือบิดาของตนได้เลยแม้สักนิดเดียว
ส่วนสะใภ้ใหญ่และบุตรชายอีก 2 คนที่เหลือของนางต่างก็ยืนมองภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นราวกับภาพตรงหน้าเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นปกติ
ลู่จื้อเองที่เห็นว่าครอบครัวตนมาแล้วก็รีบวิ่งมาเขย่าเสื้อมารดาขอความช่วยเหลือในทันที
“พอได้แล้วพี่ใหญ่ ท่านจะตีลูกของท่านให้ตายเลยหรือเจ้าคะ” ลู่ฟางและลู่เสียนรีบวิ่งเข้าไปห้าม ลู่คงจึงได้หยุดมือลง
“นี่เป็นเรื่องในครอบครัวข้าใช่เรื่องคนนอกจะยุ่งได้หรือน้องสะใภ้รอง” สะใภ้ใหญ่เอ่ยขึ้นอย่างไม่ชอบใจ
“ครอบครัวอันใดถึงได้จะฆ่าจะแกงกันเช่นนี้” ท่านแม่หันไปพูดกับสะใภ้ใหญ่ด้วยความไม่พอใจเช่นกัน
“น้องสะใภ้กล่าวเกินไปแล้ว เขารังแกน้องชาย ข้าผู้เป็นบิดาย่อมต้องสั่งสอน”
“เรื่องราวยังไม่ทันได้ถามไถ่ท่านก็ลงไม้ลงมือก่อนแล้ว แบบนี้ถูกต้องหรือเจ้าคะ”
ท่านแม่จับไปตามเนื้อตัวของลู่ฉี นางมองร่ายกายที่มีแต่บาดแผลด้วยความสงสาร พี่ชายของสามีนางคนนี้เป็นผู้ใช้พลังธาตุดิน พละกำลังย่อมมากกว่าผู้อื่นเป็นธรรดา ต่อให้ลู่ฉีจะมีพลังธาตุดินเช่นเดียวกันแต่ก็อยู่ในขั้นต่ำจะสู้บิดาที่อยู่ในขั้นสูงได้อย่างไร
“จะต้องถามอะไรอีก พวกข้าเห็นอย่างชัดเจนว่าเขากำลังทำร้ายอาเหวิน ท่านพี่ถึงได้โมโหหนักเช่นนี้” สะไภ้ใหญ่กล่าว
'ลำเอียงนัก' ลู่ซือคิดในใจ สามี-ภรรยาคู่นี้ใจดำอำมหิตเกินไปแล้ว
“เจ้าว่าใครลำเอียง”
เสียงแหลมของป้าสะใภ้ตวาดดังลั่น ลู่ซือถึงได้รู้สึกตัว สงสัยจะคิดดังเกินไปหน่อย ร่างเล็กจึงค่อย ๆ ถอยหลังไปหลบอยู่หลังมารดาด้วยท่าทางน่าสงสาร
“ท่านปู่ไม่จริงนะขอรับ” ลู่ชิงไม่สนใจป้าสะใภ้ เขาหันไปหาท่านปู่ แล้วตะโกนขอความเป็นธรรมแทนพี่ชาย
“น้องสี่พูดถูก พี่เหวินต่างหากที่ทำร้ายพี่ฉี” ลู่จื้อเองก็ไม่ยอมให้ทุกคนเข้าใจลู่ฉีผิดเช่นกัน
“พวกเจ้ามันพวกเดียวกับไอ้เด็กกำพร้านั่น พวกเจ้าใส่ร้ายข้า ข้าจะไปทำร้ายพี่ใหญ่ทำไม” ลู่เหวินรีบแก้ตัว น้ำตาเอ่อคลออย่างน่าสงสาร
“จริงขอรับข้าเป็นพยานให้พี่ใหญ่ ข้าเองก็โดนพี่จื้อผลักจนล้มเช่นกัน” ลู่เมิ่งจิวรีบเป็นพยานให้พี่ใหญ่ตน
“ตอแหล”
“เจ้าว่าอันใดนะ” ลู่เหวินหันมาถลึงตาให้ลู่ซือ ลู่ซือเองก็ใช้แผนเดิมค่อย ๆ ขยับตัวหลบหลังแม่ตัวเองตามเดิม
“พอได้แล้ว ใช่เวลาที่พวกเจ้าจะมาเถียงกันหรือไง เจ้าใหญ่ยังไม่รีบตามหมอมารักษาลูกเจ้าอีก” ชายชราที่เงียบอยู่นานเอ่ยขึ้น
“ไม่ได้” สะใภ้ใหญ่ตะโกนแทรก เงินทุกอีแปะของบ้านอยู่ในกระเป๋านาง นางไม่มีวันยอมเสียเงินไปรักษาไอ้เด็กมารหัวขนนั่นหรอก
“ข้าไม่ให้รักษา เกิดมันหายแล้วมาทำร้ายอาเหวินของข้าอีกจะทำอย่างไร ไม่ยอม ยังไงข้าก็ไม่ยอม”
“เจ้าใหญ่!”
ชายชราแซ่ลู่เอ่ยเรียกกดดันบุตรชาย
ลู่คงนิ่งเงียบไม่ยอมเปิดปากแม้แต่ครึ่งคำ ถึงเขาจะเกรงกลัวบิดาอยู่บ้าง แต่เขาก็ไม่กล้าขัดใจภรรยา ยิ่งคิดลู่คงก็ยิ่งรู้สึกรังเกียจบุตรชายคนโตที่เป็นต้นเหตุให้เขาต้องผิดใจกับทั้งบิดาและภรรยา
“เอาสิ ถ้าหากยังดึงดันจะรักษามัน ข้าจะหย่า แล้วข้าจะพาลูก ๆ กลับบ้านแม่เสียให้หมด ท่านพี่เลือกมาจะเลือกข้ากับลูกหรือจะไล่มันออกไป” สะใภ้ใหญ่ขู่ โอกาสกำจัดเด็กคนนี้มาถึงแล้ว ทำไมนางจะไม่รีบคว้าเอาไว้
“พวกเจ้ามันใจดำอำมหิต”
พอได้ฟังคำพูดของสะใภ้และเห็นความไม่เอาไหนของบุตรชาย ชายชราก็รู้สึกอึ้งจนพูดไม่ออก ตั้งแต่เขาหกล้มเดินไม่ได้ ชีวิตความเป็นอยู่ของหลานชายก็ยิ่งย่ำแย่ ไม่อยากจะคิดว่าหากสิ้นเขาไปแล้ว ลู่ฉีจะเป็นเช่นไร
“หากไม่ต้องการเขาแล้ว ก็ยกให้ข้า” ลู่ฟางที่เงียบอยู่นานพูดขึ้น
ลู่ซือตกใจกับการตัดสินใจของมารดา ปกตินางเป็นคนเงียบ ๆ ไม่ค่อยมีปากมีเสียงเท่าใด แต่ครานี้กลับทำในสิ่งที่ตรงข้ามกับนิสัย ท่านแม่ช่างกล้าหาญเหลือเกิน
จะมีสตรีที่ไร้สามีข้างกายนางใดบ้าง ที่กล้าตัดสินใจอย่างเด็ดขาดด้วยตัวเองเช่นนี้
“เจ้าพูดอะไรของเจ้า”
“ยกให้เขาเป็นลูกชายของข้ากับอาเหลียนเถอะ ในเมื่อท่านไม่ต้องการเขาแล้ว” ลู่ฟางไม่สนใจคำพูดของสะใภ้ใหญ่ นางจ้องหน้าบิดาและพี่ชายของสามีนิ่งโดยไม่หลบสายตา
“โง่นัก เป็นแค่หญิงหม้ายไร้สามี ตัวเองก็ลำบากมากแท้ ๆ ยังจะกล้าหาภาระใส่ตัว”
“ถ้าไม่ใช่เพราะเจ้าเรื่องราวจะเลยเถิดเช่นนี้หรือ หากคิดคำพูดดี ๆ ไม่ได้ก็หุบปากเน่า ๆ ของเจ้าซะเดี๋ยวนี้” ชายชราตะคอกออกมาด้วยความโกรธ สะใภ้ใหญ่เองแม้จะไม่พอใจแต่ก็ยังคงเกรงกลัวพ่อสามีจึงทำได้แค่ปิดปากเงียบเอาไว้
“สะใภ้รองคิดดีแล้วใช่หรือไม่”
“คิดดีแล้วเจ้าค่ะ” เมื่อไม่เห็นความลังเลในดวงตาของสะใภ้รอง ชายชราก็เบาใจ
“เจ้าใหญ่”
“ขอรับ”
“ตั้งแต่วันนี้ อาฉีจะไม่ใช่ลูกชายบ้านใหญ่อีกต่อไป เขาจะเป็นลูกชายคนโตของเจ้ารองและสะใภ้รอง เจ้ามีอันใดคัดค้านหรือไม่”
ชายชราคิดไตร่ตรองอย่างละเอียด แม้จะเสียใจที่หลานคนโตจะกลายเป็นลูกบ้านรองแต่ก็ยังดีกว่าปล่อยให้เติบโตในบ้านหลังนี้ที่ไม่มีอะไรรับประกันความปลอดภัยได้เลยแม้แต่น้อย
“ไม่มีขอรับ” ลู่คงมองลูกชายที่ตัวเองไม่เคยฟูมฟักเป็นครั้งสุดท้ายแล้วเบือนหน้าหนีไม่อาจทนมองได้ต่อ
“ท่านพ่อไม่ต้องเป็นห่วง ข้าจะรักและดูแลอาฉีเป็นอย่างดีเจ้าค่ะ”
“ข้ากับน้อง ๆ ก็ด้วยขอรับ” ครอบครัวแซ่ลู่สายรองต่างก็ให้คำมั่นสัญญาด้วยกันอย่างหนักแน่น
