บทที่ 2 ครอบครัวของเธอ ยังยากจนได้มากกว่านี้ไหม
บทที่ 2
ครอบครัวของเธอ
ยังยากจนได้มากกว่านี้ไหม
หลังจากจัดการเติมน้ำลงบ่อเรียบร้อย ลู่ซือจึงเลือกหันหลังเดินเข้าไปในครัว
“ไม่มีอะไรสักอย่าง” ลู่ซือถอนหายใจออกมาอย่างท้อแท้ ไม่แปลกใจเลยทำไมร่างกายของนางและน้องชายถึงได้แคระแกร็นเหมือนคนขาดสารอาหารเช่นนี้
“พี่รอง วันนี้พวกเราจะไปเก็บผักป่าหรือไม่ขอรับ” ลู่จื้อเมื่อเห็นพี่สาวเดินเข้ามาในห้องครัวก็คิดว่าพี่สาวจะทำอาหารเย็นจึงรีบวิ่งมาถาม
ผักป่า?
ลู่ซือเลยนึกขึ้นได้ว่าอาหารหลักของครอบครัวแซ่ลู่คือต้นหญ้าต้นผักที่เก็บได้ริมน้ำ นำมาต้มกับเกลือแล้วกินกับแผ่นแป้งแข็ง ๆ แต่แป้งที่ใช้ทำนั้นหมดไปหลายวันแล้ว ทั้งบ้านจึงได้กินแค่ต้มผักป่าประทังชีวิต
“ข้าพร้อมแล้วขอรับ” ลู่ชิงวิ่งตามมาทีหลัง บนหลังของเด็กน้อยสะพายตะกร้าไม่ไผ่ใบเล็กขนาดพอดีตัว
ลู่ซือแทบหลั่งน้ำตา ครอบครัวนี้ช่างขยันทำให้นางรู้สึกอนาถจิตอนาถใจเสียจริง
“น้องสาม น้องสี่ ฟังพี่รอง ตราบใดที่พี่สาวของเจ้าคนนี้ยังอยู่ที่นี่ ครอบครัวของพวกเราไม่ต้องกินผักป่าอีกแล้ว” ลู่ซือพูดช้า ๆ ให้น้องทั้งสองได้ยินชัด ๆ
“จริงหรือขอรับพี่รอง” ลู่ชิงตาเป็นประกาย ลู่จื้อเองก็เช่นกัน
“พี่รองเคยโกหกพวกเจ้าหรืออย่างไร”
อาหารเลิศรสในแหวนมิติของนางมีเยอะแยะจนกินได้เป็นปี ๆ เรื่องอะไรจะต้องมานั่งต้มผักป่ากินกันด้วยเล่า
“พี่รองสุดยอดเลย”
เมื่อเห็นท่าท่างมั่นอกมั่นใจของพี่สาว ลู่จื้ออดที่จะเอ่ยชมออกมามิได้ เมื่อกลางวันพี่รองบอกว่าจะมีของอร่อยให้กินก็ได้กินจริง ๆ เด็กทั้งสองจึงเชื่อพี่รองของพวกเขาหมดใจ
“พวกเจ้าอยากกินอะไรเป็นพิเศษหรือไม่”
“ข้าอยากกินซาลาเปา!” ลูชิงตอบอย่างไม่ลังเล รสชาติของซาลาเปาเมื่อตอนกลางวันยังติดอยู่ที่ปลายลิ้น เขายังอยากที่จะกินมันอีก!
“เนื้อหมูขอรับ ได้หรือไม่”
ลู่จื้อเอ่ยถามอย่างไม่แน่ใจ เขาเคยกินครั้งหนึ่งเมื่อตอนที่ท่านพ่อยังอยู่ จำได้ว่ารสชาติของมันอร่อยจนลืมไม่ลง จึงอยากจะลองกินดูอีกสักครั้ง
“ถ้าไม่ได้ไม่เป็นไรขอรับ ข้ากินซาลาเปาแบบน้องสามก็ได้” แต่เมื่อเด็กน้อยคิดได้ว่าเนื้อหมูอาจราคาแพงจนเกินไปก็รีบเปลี่ยนความตั้งใจในทันที
“ได้สิ ทำไมจะไม่ได้ล่ะ” ก็แค่อาหารจานหมูไม่กี่จานน้อง ๆ อยากกินนางจะไม่มีให้เชียวหรือ
“ไปอาบน้ำเถอะ พี่รองจะเตรียมอาหาร” ลู่ซือโบกมือไล่
เมื่อเด็กทั้งสองจากไปลู่ซือจึงเริ่มคิดเมนูอาหารเย็น
“เอาเป็น หมูทอดราดซอสเปรี้ยวหวาน สามชั้นผัดเต้าเจี้ยว ผัดถั่วงอกเต้าหู้หมูสับแล้วกัน มีข้าวสวยสักหน่อยน่าจะดี”
อาหารที่นางพูดออกมาเมื่อสักครู่ บัดนี้กลับปรากฎขึ้นอยู่เต็มโต๊ะ ลู่ซือไม่รอช้ารีบแกะอาหารทั้งหมดออกจากกล่องแล้วถ่ายลงจานเพื่อไม่ให้ผิดสังเกตุ
“อ่า เกือบลืมซาลาเปาของน้องเล็ก” ซาลาเปาอีกห้าลูกจึงถูกดึงออกมาจากแหวนมิติ
“แค่นี้ก็เรียบร้อย”
เมื่อเห็นว่าในครัวไม่มีสิ่งใดต้องทำอีก ลู่ซือจึงเดินไปตักน้ำในบ่อ แล้วถือถังไปที่ห้องอาบน้ำหลังบ้านเพื่ออาบน้ำเช่นเดียวกันกับน้องชายที่อาบเสร็จไปก่อนหน้า
สมาชิกทั้งสามของครองครัวแซ่ลู่นั่งเรียงกันอยู่ที่ลานบ้าน เพื่อรอสมาชิกคนที่เหลือที่ยังไม่กลับมา บัดนี้ท้องฟ้าแปรเปลี่ยนเป็นสีส้มแล้วแต่ก็ยังไร้วี่แววของท่านแม่และพี่ใหญ่
“หิวหรือยัง” ลู่ซือหันไปถามน้องชาย
“ยังขอรับ” ทั้งสองคนตอบพร้อมกัน ลู่ซือลูบหัวน้องทั้งสองและส่งยิ้มเอ็นดูให้
“พี่รอง พี่สาม ท่านแม่กับพี่ใหญ่กลับมาแล้ว” ลู่ชิงตะโกนดังลั่น ชี้ไม้ชี้มืออย่างดีอกดีใจ
หน้าประตูใหญ่ปรากฎเงาร่างชายหนึ่งหญิงหนึ่ง กำลังเดินเข้ามา สีหน้าของคนทั้งคู่เต็มไปด้วยความเหนื่อยล้า
ลู่ซืออดรู้สึกสงสารขึ้นมิได้ งานในเมืองก็ว่าหนักแล้ว หลังเลิกงานยังต้องพากันเดินกลับ ระยะทางระหว่างในเมืองกับหมูบ้านชายขอบแห่งนี้ก็ไม่ใช่ใกล้ ๆ ใช้เวลาเดินยาวนานกว่า 1 ชั่วยาม ไปกลับ ก็ 2 ชั่วยามเข้าไปแล้ว
“เอาน้ำเอาผ้าไปให้ท่านแม่กับพี่ใหญ่เร็ว”
ลู่จื้อรีบทำหน้าที่ประคองแก้วน้ำส่วนลู่ชิงถือผ้าสะอาดไปให้ คนทั้งคู่จะได้ดื่มน้ำแก้กระหายและใช้ผ้าซับเหงื่อ
เมื่อดื่มน้ำและซับเหงื่อจนเรียบร้อย ลู่ฟางก็รีบเดินตรงมาหาบุตรสาว ขอบตาของนางนั้นแดงก่ำ มือเรียวทั้งสองถูกยื่นไปจับตามเนื้อตัวของลู่ซือด้วยความอ่อนโยน
“เหตุใดจึงออกมานั่งตากลมเช่นนี้เล่า เจ้าไม่สบายอยู่ควรจะนอนพักให้หายดี”
ลู่ฟางมองดูบุตรสาวตัวน้อยของนาง แววตาเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด แม้แต่เงินตามหมอมารักษา นางยังหามาไม่ได้ นางช่างเป็นแม่ที่ไร้ประโยชน์ยิ่ง
“ท่านแม่พูดถูก น้องรองควรจะนอนพัก” ลู่เสียนเองก็เป็นห่วงและรู้สึกผิดต่อน้องสาวมากเช่นกัน
“ข้าไม่ได้เป็นอะไรมากแล้วเจ้าค่ะ ข้าหายดีแล้ว”
“ถึงอย่างนั้นก็เถอะ” ลู่ฟางก็ยังรู้สึกไม่ค่อยวางใจอยู่ดี
“เลิกพูดเรื่องนี้เถอะเจ้าค่ะ พวกท่านกลับมาเหนื่อย ๆ คงจะหิวแล้ว นั่งรอที่โต๊ะนะเจ้าคะ ข้าจะไปยกอาหารมา”
“ข้าจะกินหมูให้หมดเลย”
“ซาลาเปาแสนอร่อยของข้า”
ลู่เสียนสบตากับมารดา คำพูดของน้องสามและน้องสี่แปลกประหลาดนัก บ้านของเราจะมีเงินซื้อหมู ซื้อซาลาเปาได้อย่างไร วันนี้เขากับมารดาเดินหางานทั้งวัน แต่ไม่มีผู้ใดสนใจจ้างพวกเขาเลยแม้แต่คนเดียว ความหวังที่จะซื้อแป้งกลับมาที่บ้านเป็นอันต้องยกเลิกไป
คราแรกลู่เสียนคิดจะขัดคำพูดของน้องชายแต่เมื่อเห็นท่าทางอันมีความสุขของน้อง ๆ เด็กชายก็ทำไม่ลง
ลู่ซือเดินอย่างรวดเร็วกลับมาที่ครัว อาหารที่เตรียมไว้เย็นหมดแล้ว ลู่ซือไม่รอช้า รีบหยิบเครื่องอุ่นอาหารอัตโนมัติออกมาจากมิติ เครื่องอุ่นอาหารของนางมีลักษณะเป็นคอนโดเก็บอาหารที่เรียงกันเป็นชั้น ๆ ด้านบนบรรจุมณีธาตุไฟ เมื่อใส่อาหารเข้าไปเรียบร้อย ก็กดปุ่มเลือกอุณหภูมิ หลังจากนั้นเจ้าเครื่องนี้จะดึงพลังจากมณีไปใช้งาน ไม่ถึง 3 นาที เพียงเท่านี้อาหารทั้งหมดของนางก็จะมีอุณหภูมิพอเหมาะน่ารับประทาน
ลู่ซือค่อย ๆ ถืออาหารที่อุ่นเรียบร้อยไปจัดเรียงบนโต๊ะ ลู่เสียนอ้าปากค้างด้วยความตกใจ อาหารเหล่านี้คงมีขายแต่ในเหลาอาหารแพง ๆ เท่านั้น แล้วน้องสาวของเขาไปเอามาจากที่ใดกัน
“น้องรอง อาหารพวกนี้มันอย่างไรกัน”
“ท่านแม่กับพี่ใหญ่กินให้อิ่มท้องก่อนนะเจ้าคะ หลังจากนั้นข้าจะอธิบายทุกอย่างให้ฟังทีหลัง”
ลู่ซือกล่าวพลางคีบอาหารให้ท่านแม่และพี่ใหญ่ของตนอย่างเอาอกเอาใจ ทั้งหมดจึงเลิกคิดเรื่องอื่นและหันมาสนใจอาหารเลิศรสตรงหน้า
อาหารมื้อนี้ของครอบครัวแซ่ลู่ จึงเต็มไปด้วยความสุขและเสียงหัวเราะของเด็กแฝดทั้งสอง
” ท่านแม่และพี่ใหญ่คงกำลังสงสัยในตัวข้าใช่หรือไม่”
ลู่ซือเอ่ยเข้าเรื่องอย่างไม่อ้อมค้อม
“น้องรอง ข้าไม่ได้จะตำหนิอะไรเจ้า เพียงแต่อยากรู้ว่าเจ้านำอาหารมากมายพวกนี้มาจากที่ใดเท่านั้น ข้า ข้า ข้าแค่เป็นห่วงเจ้าเท่านั้น” ลู่เสียนรีบอธิบายจนลิ้นพันด้วยกลัวว่าน้องสาวจะเข้าใจตนผิด
“ข้ารู้ว่าพี่ใหญ่เป็นห่วงข้า ไม่ได้มีความคิดไม่ดีเจ้าค่ะ”
“ถูกแล้ว ๆ” ลู่เสียนโล่งใจเมื่อน้องสาวเข้าใจที่ตนต้องการสื่อ
“ท่านแม่ พี่ใหญ่ น้องสาม น้องสี่ พวกท่านก็รู้ว่าข้านอนป่วยมาหลายวัน ในยามที่ข้าไม่ได้สตินั้น ข้ารู้สึกว่าตัวเองไปอยู่ในที่ที่นึง ที่นั่นดียิ่ง ราวกับเป็นโลกในอนาคตเจ้าค่ะ”
ลู่ซือเริ่มเล่าเรื่องที่ตัวเองปรุงแต่งขึ้น มีทั้งจริงบ้างไม่จริงบ้างปะปนกันไป
“โลกในอนาคตหรือพี่รองอยู่ที่ใดกัน” ลู่ชิงเอ่ยถามอย่างตื่นเต้น
“พี่ก็ไม่รู้ว่าที่แห่งนั้นอยู่ที่ใด ข้าใช้ชีวิตอยู่ที่นั่นนานหลายปี จนได้ยินเสียงของทุกคนเรียก แม้ที่นั่นจะสุขสบายแต่ข้าอยากอยู่กับครอบครัวข้ามากกว่า ข้าถึงได้ตื่นขึ้นมา เดิมทีคิดว่าตัวข้าแค่ฝันไป แต่ว่า ของบางอย่างจากโลกนั้นกลับตามข้ามายังที่นี่ด้วย”
“ซาลาเปาใช่หรือไม่พี่รอง!”
“หรือว่า หมูนั่นก็ด้วย”
“สิ่งที่พวกเจ้าพูดมาไม่นับว่าผิด ของที่ตามข้ากลับมาเรียกว่ามิติเจ้าค่ะ”
“เหมือนกับแหวนมิติหรือไม่!” ลู่เสียนตะโกนถามออกมาด้วยความรู้สึกไม่อยากเชื่อ
“คล้ายอยู่บ้างเจ้าค่ะ ข้าจะแสดงให้ดู”
ลู่ซือหยิบของออกมาจากมิติแล้วใส่กลับเข้าไป นางทำเช่นนั้นอยู่หลายหนให้คนในครอบครัวได้ดู
ลู่เสียนและลูฟางเดิมที่ไม่อยากเชื่อสักเท่าไร แต่เมื่อเห็นลู่ซือเอาของออกมาจากอากาศและเก็บเข้าไปตามเดิม ก็ต้องยอมรับเรื่องที่นางเล่าออกมาอย่างไม่อาจโต้แย้งได้
“นอกจากของในมิติที่ข้าใส่เอาไว้ ยังมีนี่อีกเจ้าค่ะ” ฝ่ามือของลู่ซือปรากฎแสงสีเขียวเรืองรองขึ้นมาก่อนจะจางหายไป
“พลังธาตุใช่หรือไม่ แต่ว่าเป็นธาตุใดข้าไม่เคยเป็นมาก่อน ท่านแม่เคยเห็นหรือไม่ขอรับ” ลู่ฟางส่ายหน้า นางไม่เคยเห็นแสงสีเขียวแบบนี้มาก่อนในชีวิต
“มันคือพลังธาตุเจ้าค่ะ เรียกว่า ธาตุพฤกษา ธาตุของข้าจะเกี่ยวข้องกับพืชเจ้าค่ะ”
ลู่ซืออธิบาย ในโลกนี้ผู้คนก็มีพลังธาตุในตัวเช่นเดียวกันกับโลกที่นางจากมา แต่ในแคว้นจ้าวแห่งนี้ ผู้คนส่วนมากไม่มีธาตุพฤกษา มีเพียงแค่ 4 ธาตุหลัก ดิน น้ำ ลม ไฟ เท่านั้น
“ธาตุของพี่รองสุดยอดมากขอรับ”
“พี่ข้าใช้พลังธาตุได้ถึงสองคน ดียิ่ง”
เด็กชายทั้งสองกล่าวชื่นชม แม้ชีวิตนี้เขาจะไม่ได้ปลุกพลังธาตุ พวกเขาก็ไม่คิดเสียใจ มีพี่ชายและพี่สาวเช่นนี้ ผู้ใดจะกล้ารังแกพวกเขาอีก
เด็กน้อยทั้งสองนั้นต่างก็เข้าใจดีว่ายาปลุกพลังระดับต่ำมีราคาสูงกว่า 1 ตำลึงทอง ด้วยฐานะทางบ้านยามนี้ ทั้งสองจึงเลิกหวังที่จะปลุกพลังไปตั้งนานแล้ว
“เมื่อพวกเจ้ามีอายุสิบหนาว พวกเจ้าก็จะมีพลังเช่นกัน” ลู่ซือพูดขึ้น ราวกับรู้ความคิดในของใจน้องชาย
“จริงนะขอรับ”
แม้จะเลิกหวังไปแล้วแต่เมื่อมีคนจุดไฟ ความหวังที่เคยริบหรี่ก็ลุกโชนขึ้นมาอีกครั้ง นอกเหนือจากเด็กแฝดแล้วลู่เสียนและลู่ฟางเองก็พลอยตื่นเต้นตามไปด้วย
“แน่นอนสิ พี่รองไม่โกหกเจ้าหรอก”
ยาปลุกพลังหรือ นางมีอยู่ในมิติเป็นกระปุก ในโลกของลู่ซือ การปลุกพลังเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชนทุกคน เมื่อเด็กมีอายุครบกำหนด ยาปลุกพลังจะถูกแจกจ่ายให้เด็กทุกคนโดยไม่มีข้อยกเว้น นอกจากนี้ตามคลินิกหรือร้านขายยาก็มีขาย ราคาของมันถูกเสียยิ่งกว่าราคายาพาราเสียอีก
“ยังมีใครสงสัยอะไรอีกหรือไม่เจ้าคะ”
ลู่เสียนส่ายหน้าตอนนี้เขาเชื่อน้องสาวอย่างสนิทใจไม่คิดสงสัยอันใดอีกแล้ว
“แค่เจ้ากลับมาก็พอแล้ว” ลู่ฟางส่งยิ้มอ่อนโยนให้
ลู่ซือเองก็ค่อนข้างพอใจกับผลลัพธ์ที่ได้ ครอบครัวนี้พูดง่ายกว่าที่นางคิดไว้ ในเมื่อทุกคนเข้าใจทุกอย่างตรงกันแล้ว ต่อไปหากนางจะปฏิวัติบ้านหลังนี้ก็ไม่ใช่เรื่องยากแล้ว
“ข้าเกือบลืม พรุ่งนี้พวกท่านไม่ต้องเข้าไปในเมืองแล้วนะเจ้าคะ”
ทำงานในเมืองเหนื่อยเกินไป หักลบกับการเดินทางที่แสนลำบากแล้วอย่างไรก็ไม่คุ้ม
“ไม่ได้หรอกน้องรอง ที่บ้านไม่มีเงินเหลือแล้ว เช่นนั้นก็ให้ท่านแม่อยู่บ้านกับเจ้า ข้าเข้าเมืองไปคนเดียวได้” ลู่ฟางเมื่อได้ยินก็พยักหน้าเห็นด้วยกับบุตรชาย
“ไม่ต้องไปทั้งคู่นั่นแหละ เชื่อข้า อยู่บ้านช่วยงานข้าเถอะ ส่วนเรื่องเงินไม่ต้องกังวลเลยเจ้าค่ะ ข้ามีวิธี”
“พี่ใหญ่เชื่อพี่รองเถอะ พี่รองไม่โกหก”
“ใช่ ๆ พี่รองไม่โกหก”
เด็กแฝดทั้งสองเอ่ยสนับสนุนพี่สาว ในยามนี้เด็กทั้งคู่ได้เดินเข้าสู่ลัทธิลู่ซือเป็นที่เรียบร้อย ไม่ว่าพี่รองอยากจะทำอะไร พวกเขาล้วนสนับสนุนทั้งสิ้น
“เอาตามที่น้องเจ้าว่าเถอะ”
แม้แต่ท่านแม่ที่เห็นด้วยกับเขาในตอนแรกก็เป็นไปด้วย ลู่เสียนที่หัวเดียวกระเทียมลีบจึงต้องยอมรับอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
“งั้นก็ได้”
“แม่ว่าแยกย้ายไปพักผ่อนเถอะ ดึกมากแล้ว”
ทุกคนต่างลุกขึ้นเตรียมแยกย้ายอย่างที่ท่านแม่ว่า บ้านหลังนี้มีสองห้องนอน ท่านแม่นอนกับลู่ซือ ส่วนน้องชายฝาแฝดและพี่ใหญ่นั้นจะนอนด้วยกัน
“พี่ใหญ่ท่านจะไปที่ใดน่ะ”
ลู่ซือที่กำลังจะเดินเข้าห้องตะโกนถามขึ้นเมื่อเห็นว่าพี่ใหญ่เดินออกจากบ้านไป
“ข้าจะไปหาบน้ำ พรุ่งนี้จะได้มีอาบมีใช้กัน” ลู่เสียนกล่าวอย่างไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร
“ท่านหยุดอยู่ตรงนั้นเลยเจ้าค่ะ รอข้าก่อน”
“มีอะไรหรือ น้องรอง”
“ตามข้ามาเจ้าค่ะ”
ลู่ซือเดินนำพี่ชายไปที่บ่อน้ำ นอกจากลู่เสียนแล้ว สมาชิกคนอื่นในบ้านก็พากันเดินตามมาด้วยความอยากรู้เช่นกัน
“ต่อไปนี้ไม่ต้องไปหาบน้ำมาแล้วนะเจ้าคะ พี่ใหญ่อย่าเพิ่งขัดข้า ข้าจะอธิบายให้ฟัง”
ลู่ซือเรียกปากกาเวทออกมา แล้วลงมือวาดวงเวทขึ้นเหนือบ่อน้ำอีกครั้ง แต่คราวนี้วงเวทที่นางกำลังวาดมีความละเอียดมากกว่าเดิม ทำให้ใช้เวลาไปค่อนข้างมาก แต่ทุกคนก็ยังยืนดูนิ่งไม่จากไปไหน
“นี่เรียกว่าวงเวทเจ้าค่ะ เป็นการดึงเอาพลังธาตุออกมาใช้งานแม้ว่าผู้ใช้จะไม่ใช่เจ้าของธาตุ เมื่อวาดเสร็จเรียบร้อย จากนั้นก็จะต้องใส่เจ้านี่เข้าไปตรงกลางเจ้าค่ะ”
ลูซือวางมณีธาตุน้ำระดับกลางลงไป วงเวทเปลี่ยนสีอีกครั้ง น้ำในบ่อค่อย ๆ เพิ่มระดับขึ้นจนเต็มขอบบ่อแล้วหยุดนิ่งลง
“เห็นหรือไม่เจ้าคะ แม้ข้าจะไม่ได้มีธาตุน้ำ แต่ก็สามารถเรียกน้ำออกมาได้ ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะเจ้ามณีสีฟ้าตรงกลางวงเวท ที่ทำหน้าที่เป็นตัวจุดกำเนิดพลังให้เจ้าค่ะ”
“น่าอัศจรรย์เหลือเกินน้องรอง” ลูเซียนมองวงเวทเป็นสิ่งที่น่าเหลือเชื่อ ที่ที่น้องรองได้ไปจะต้องเป็นโลกที่สุดยอดมากแน่ ๆ
“น้ำเต็มบ่อแล้วพี่รอง” เด็กทั้งสองพากันตบไม้ตบมือดีใจ
“น้ำใสกว่าในลำธารอีกลูก”
ลู่ฟางเอ่ยพลางยิ้มอย่างปราบปลื้มให้กับความสามารถของบุตรสาว
“ข้าจะลองตักน้ำออกให้ดู”
ลู่ซือใช้ถังน้ำตักน้ำออกมาหนึ่งถัง เมื่อน้ำในบ่อลดลง กลไกของวงเวทก็เริ่มต้นทำงานอีกครั้ง ส่งผลให้น้ำในบ่อกลับมาเต็มบ่ออีก
“สุดยอดเลยขอรับ”
“น่าทึ่งมาก ๆ”
วงเวทในครั้งนี้ของนาง เป็นวงเวทระดับต่ำที่อยู่ในขั้นสูงกว่าวงเวทที่เคยวาดไปก่อนหน้าทำให้กลไกการทำงานซับซ้อนกว่าแบบแรกที่นางวาดขึ้นอยู่หลายส่วน การทำงานของมันค่อนข้างฉลาด มันจะคอยจับระดับน้ำในบ่อ เมื่อน้ำลดลงก็จะทำการเติมให้เต็ม
ส่วนมณีธาตุที่ใช้ก็เป็นมณีระดับกลางเช่นกัน พลังของมันมากกว่าระดับต่ำเป็น 10 เท่า หากใส่มันไว้ตรงกลางของวงเวท วงเวทก็จะสามารถใช้งานได้ราว ๆ 1 เดือนเป็นอย่างต่ำ
“น้องรองข้าขอดูหินสีฟ้าใกล้ ๆ ได้หรือไม่”
“ได้สิเจ้าคะ” ลู่เซียนหยิบมณีจากในมิติออกมาให้ลู่เสียนได้ดูใกล้ ๆ
“น้องรองนี่มัน หินพลังธาตุนี่” ลู่เสียนกล่าวออกมาด้วยความตื่นเต้น
“หินพลังธาตุคือสิ่งใดเจ้าคะ”
“เป็นหินที่มีพลังธาตุ เอาไว้ใช้ดูดซับพลังอย่างไรล่ะ พวกที่อยากเลื่อนระดับพลังโดยที่ไม่ต้องการฝึกฝนมักจะใช้หินพวกนี้เป็นทางลัด แต่ว่าพวกมันก็หายากมาก ที่หาได้ก็คุณภาพต่ำกว่าของเจ้าก้อนนี้เสียอีก”
“มีราคาหรือไม่เจ้าคะ”
ลูซือถามนัยน์ตาเป็นประกาย หลุดมาอยู่ในครอบครัวที่ยากจนเช่นนี้ หากมีทุนสักเล็กน้อยย่อมเป็นการดี
“แน่นอนน้องรอง มันแพงมาก ท่านพ่อเคยบอกว่า หินระดับต่ำราคาไม่ต่ำกว่าสิบตำลึงทอง ระดับกลางราคาสูงถึงห้าร้อยตำลึงทอง”
ลู่ซือฟังอย่างตั้งอกตั้งใจ ราคาสูงเสียจริง หากขายมณีธาตุสักก้อนสองก้อนคงรวยน่าดู มณีธาตุในมิติของนางมีเยอะแยะมากมาย ด้วยความที่เป็นคนค่อนข้างขี้เกียจ ไม่ชอบทำอะไรด้วยตัวเอง รวมกับเป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงที่ทำงานเกี่ยวข้องกับมณีธาตุโดยตรงแล้วด้วย ต่อให้เอามาใช้อย่างฟุ้มเฟือยยี่สิบปี ก็ยังใช้ไม่หมด
“ดีเลยเจ้าค่ะ”
“น้องรองแต่ว่าวงเวทพวกนี้ของเจ้าจะไม่สะดุดตาเกินไปหรือ” หากคนที่ไม่หวังดีมาพบเข้าอาจจะไม่ใช่เรื่องดีสักเท่าไร
“ก็จริงของพี่ใหญ่เจ้าค่ะ” หากปล่อยมันลอยอยู่ในอากาศเช่นนี้ต่อจะดูสะดุดตาเกินไปจริง ๆ ลู่ซือจึงจับด้ามปากกาอีกครั้งแล้วลากเส้นบางอย่างเพิ่มเติมลงไปในวงเวท
วงเวทที่เปล่งแสงสีฟ้าเรืองรองเหนือบ่อจึงน้ำค่อย ๆ จางหายไปในอากาศ
“เพียงเท่านี้ก็เรียบร้อย ข้าเพิ่มกลไกพลางตาลงไป มันจะไม่ปรากฎออกมาอีกจนกว่าพลังงานของมณีธาตุจะหมดลงเจ้าค่ะ ส่วนน้ำในบ่อนี้เกิดจากพลังธาตุมันเลยสะอาดและใสมากแต่ข้าไม่อนุญาตให้ดื่มหรอดนะเจ้าคะ”
“ทำไมล่ะขอรับ เราก็ดื่มในบ่อเช่นนี้มาโดยตลอดนี่”
“เจ้าอาจเห็นว่ามันสะอาดแต่ก้นบ่อนั่นมีสิ่งสกปรกมากมาย ดื่มไม่ได้ พวกท่านตามมาเจ้าค่ะ ต่อไปนี้เราจะดื่มน้ำจากเจ้านี่กัน”
ลู่ซือเดินนำไปที่ครัว แล้วหยิบถังไม้โอ๊คที่มีก๊อกอยู่ด้านข้างออกมาจากมิติ ลักษณะเรียบหรูและดูคลาสสิค มันไม่ใช่ถังไม้ธรรมดาเพราะเป็นถังที่มีการติดตั้งระบบกรองน้ำและระบบผลิตน้ำจากมณีธาตุน้ำไว้ในถัง
นี่เป็นสินค้าใหม่ล่าสุดที่ถูกผลิตขึ้นจากบริษัทผลิตเครื่องกรองน้ำชั้นนำของโลก ลู่ซือได้มีโอกาสให้คำปรึกษาทีมงานที่ทำหน้าที่วางระบบภายใน ถังโอ๊ครุ่นใหม่ล่าสุดนี้จึงถูกส่งมาให้นางทดลองใช้งานก่อน
“มันคือสิ่งใดหรือขอรับ”
“น้องสามไปหยิบแก้วน้ำมาสิ” ลู่จื้อหยิบแก้วใบเล็กส่งให้ ลู่ซือจึงเปิดก็อกแล้วรองน้ำใส่แก้ว ก่อนยื่นคืนให้น้องชายได้ลองดื่ม
“น้ำในถังนี้เท่านั้นถึงจะสามารถนำมากินและใช้ทำอาหารได้เจ้าค่ะ พวกท่านดูที่ตรงนี้ จะมีช่องสำหรับใส่มณีธาตุน้ำเช่นกัน”
“น้องรองเจ้าอัฉริยะเกินไปแล้ว”
ลู่เสียนชื่นชมน้องสาวไม่หยุด ลู่ซือยิ้มรับไม่ได้กล่าวอะไร แต่แอบนึกในใจคนเดียวว่า
'ข้าไม่ได้อัจฉริยะพี่ใหญ่ ข้าแค่ขี้เกียจ'
