บทที่ 1 ดร.ลู่ซือ
บทที่ 1
ดร.ลู่ซือ
“ดร. ลู่ ขยันอีกแล้วนะครับ”
คุณลุงพนักงานรักษาความปลอดภัยกล่าวทักทาย ดร. ลู่ หรือก็คือลู่ซือ หญิงสาวที่กำลังนั่งทำงานอย่างขมักขเม้นแม้จะเลยเวลาเลิกงานไปหลายชั่วโมงแล้ว
ลู่ซือเป็นเจ้าหน้าที่ในหน่วยงานของรัฐบาล ตำแหน่งงานถือว่าอยู่ในระดับสูง ทำหน้าที่คิดค้นและวิเคราะห์วงเวทเพื่อการใช้งานให้ได้ประโยช์และมีประสิทธิภาพสูงสุด เนื่องจากโลกที่เธออาศัยอยู่นั้นผู้คนสามารถใช้พลังธาตุได้
แต่ด้วยข้อจำกัดที่ร่างกายของแต่ละบุคคลมีเพียงแค่ธาตุเดียว จึงได้มีผู้คิดค้นการใช้วงเวทขึ้นมาเพื่อทดแทนพลังที่ตนไม่ได้ถือครอง วงเวทที่ว่าเป็นการใช้อุปกรณ์ดึงพลังที่เรียกว่า magic pen วาดลงไปในอากาศโดยมีรูปแบบเป็นวงอักขระเวท
โดยวงเวทแต่ละวงนั้นจะละเว้นตรงกลางเอาไว้เพื่อวางจุดกำเนิดของพลัง เรียกว่า มณีธาตุ เช่น ถ้าต้องการวาดวงเวทธาตุน้ำ มณีธาตุตรงกลางก็จะต้องเป็นมณีธาตุน้ำเช่นเดียวกัน
“เดี๋ยวก็กลับแล้วค่ะ” ลูซือตอบกลับด้วยยิ้มเป็นมิตร
“งั้นผมไม่กวนแล้วครับ”
“ค่ะ”
เมื่อคุณลุงพนักงานคล้อยหลังจากไป ลู่ซือจึงหันกลับมาสนใจงานตรงหน้าต่อ เธอเขียนงานต่ออีกพักใหญ่ ก่อนจะตัดสินใจลุกขึ้นเก็บกระเป๋าเตรียมตัวกลับบ้านเพื่อพักผ่อน
แต่ในขณะที่เธอกำลังลุกขึ้นจากเก้าอี้ก็ดันรู้สึกหน้ามืดวิงเวียนศีรษะก่อนจะหายใจไม่ออกแล้วหมดสติล้มลงไปกับพื้น
เฮือก
ลู่ซือสะดุ้งตื่นขึ้นมาหลังจากที่หมดสติไปก่อนหน้า กายบางผุดลุกนั่งทันทีด้วยความตกใจ เธอจำได้ว่าเธอไม่สบายแล้วหมดสติในที่ทำงาน แต่ว่าตอนนี้รอบกายของเธอค่อนข้างแปลกประหลาด เธอกำลังนั่งอยู่บนพื้นในห้องโทรม ๆ ห้องนึง ใต้ร่างของเธอมีผ้าที่ทั้งเก่าและบางปูรองอยู่ เฟอร์นิเจอร์ในห้องไม่มีสิ่งใดเลยนอกจากหมอนใบแข็งที่วางอยู่ใกล้ ๆ
เสื้อผ้าที่ลู่ซือสวมใส่ก็ไม่ใช่ชุดที่เธอสวมล่าสุดตอนออกไปทำงาน เสื้อผ้าชุดนี้คล้ายกับชุดในยุคโบราณ เนื้อผ้ามีความหยาบแข็งกระด้างและค่อนข้างเก่า แล้วมันมาอยู่บนร่างของเธอได้อย่างไรกัน
“โอ้ยยย”
จู่ ๆ ศีรษะของลู่ซือก็รู้สึกปวดขึ้นมาจนแทบทนไม่ไหว ก่อนที่ความทรงจำที่ไม่ใช่ของเธอจะหลั่งใหลเข้ามาในหัว นั่นทำให้ลู่ซือพอจะเข้าใจอะไรบางอย่างได้ลาง ๆ แม้ไม่อยากเชื่อแต่ก็คงต้องเชื่ออย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
บัดนี้เธอได้ทะลุมิติมาอยู่ในร่างของลู่ซือ ที่มีชื่อแซ่เดียวกันกับเธอ เด็กหญิงคนนี้อายุราว ๆ สิบสองหนาว อาศัยอยู่กับแม่ นาม ลู่ฟาง มีพี่ชายหนึ่งคน อายุสิบสามหนาว นาม ลู่เสียน และน้องชายอายุหกหนาว นามลู่จื้อ และลู่ชิง เป็นฝาแฝดกัน ส่วนพ่อนั้นเสียชีวิตไปเมื่อปีก่อน
ความเป็นอยู่หลังจากหัวหน้าครอบครัวจากไปนั้นค่อนข้างลำบาก เนื่องด้วยหมู่บ้านที่ครอบครัวของลู่ซืออาศัยอยู่ เป็นหมู่ติดชายแดน พื้นดินแห้งแล้งยากต่อการเพาะปลูก และยิ่งไม่มีภูเขาสูงให้เก็บของป่า
อาชีพหลักของคนที่นี่ส่วนมากจะพากันเดินเท้าเข้าไปหางานทำในเมือง หากเป็นชายหนุ่มฉกรรจ์ก็จะพากันออกไปเสี่ยงโชคในป่าอสูรเพื่อล่าสัตว์อสูร
แม้อาชีพที่ว่านี้จะทำเงินได้มากแต่ก็เสี่ยงต่อชีวิต พ่อของลู่ซือเองก็จากไปด้วยเหตุนี้ ห้าชีวิตที่เหลือจึงต้องดิ้นรนอย่างสุดกำลังเพื่อที่จะมีชีวิตอยู่ต่อ
ความเจ็บปวดค่อย ๆ บรรเทาลงหลังจากความทรงจำของลู่ซือ (เด็ก) ถูกถ่ายทอดสู่ลู่ซือ (ผู้ใหญ่) จนหมดสิ้น ลู่ซือนอนลงตามเดิมยกพลางแขนขึ้นก่ายหน้าผากอย่างคนหมดท่า
เวรกรรมอะไรของเธอถึงได้ส่งเธอมาอยู่ในที่กันดารแถมยังกลายเป็นเด็กหญิงตัวน้อย ลู่ซืออดที่จะรู้สึกเสียดายชีวิตในโลกก่อนไม่ได้ ชีวิตของเธอกำลังอยู่ในช่วงที่รุ่งโรจน์ที่สุดแล้วเชียว
“ซวย ซวย โคตรซวย เลยโว้ยยยย”
เมื่อได้ระบายความรู้สึกที่อัดอั้นลู่ซือจึงผุดลุกนั่งอีกครั้ง
“กระจก”
ริมฝีปากบางเอ่ยออกมาด้วยความเคยชิน ในโลกก่อน เธอมีแหวนมิติหนึ่งวง เพื่อใส่ของจำเป็นไว้ในนั้น ด้วยความที่เป็นคนขี้เกียจและชอบทำงานไม่เป็นเวลา
แหวนมิติวงนี้ของเธอจึงถูกใช้งานไม่ต่างจากตู้เก็บของและตู้เก็บอาหาร เพื่อให้ง่ายต่อการหยิบจับ ยิ่งแหวนมิติของเธอถูกอัพเกรดให้อยู่ในขั้นสูงสุดแล้วด้วย ทำให้เวลาในแหวนถูกหยุดเอาไว้ อาหารหรือสิ่งของที่หมดอายุได้เมื่ออยู่ในแหวนวงนี้จะไม่ต่างอะไรกับตอนที่หยิบใส่เข้าไป
กระจกสีขาวบานเล็กปรากฎขึ้นบนฝ่ามือ ลู่ซือยกมันขึ้นมาส่องเพื่อดูว่าเด็กลู่ซือคนนี้มีใบหน้าเช่นไร
“หน้าเหมือนเราตอนยังเด็กเลยนี่ อืม เหมือนมากจริง ๆ”
ลู่ซือพึมพำกับตัวเอง ก่อนที่จะนึกได้ว่าบนโลกใบนี้มีแหวนมิติของเธอด้วยหรือ ที่นิ้วมือของเธอก็ไม่ได้มีแหวนสักวง ลู่ซือไม่รอช้า รีบใช้จิตส่องดูสิ่งของภายในว่าสามารถทำได้หรือไม่
ห้องในมิติขนาด 25×25 ตารางเมตร ปรากฎในห้วงความคิด ข้าวของต่าง ๆ ที่เธอเคยใส่เอาไว้วางเรียงกันแน่นขนัดจนไม่มีทางให้เดิน เมื่อเห็นดังนั้นลู่ซือถึงได้ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก อย่างน้อยพระเจ้าก็ไม่ได้ใจร้ายกับเธอเกินไปนัก
“แล้วพลังธาตุของฉันล่ะ ยังอยู่ไหมนะ”
ลู่ซือไม่รอช้ารีบทดลองใช้พลัง ชั่วอึดใจ แสงสีเขียวเรืองรองจึงค่อย ๆ ปรากฎขึ้นเหนือฝ่ามือเล็ก ๆ ของเธอในทันที ลู่ซื้อยิ้มออกมาอย่างดีใจ ในเมื่อพลังธาตุใช้ได้ ต่อให้บ้านนี้จะยากจนแค่ไหนก็ไม่กลัว
ลู่ซือคนนี้พร้อมสู้ตาย!
แอ๊ดดด
“พี่รองตื่นแล้ว น้องสี่เจ้าอยู่ที่ใด รีบมาเร็ว”
ลู่ซือเงยหน้ามองขึ้นตามเสียง ตรงปากประตูมีเด็กชายหน้าตาหน้ารักคนหนึ่งกำลังยืนมองเธออยู่ ใบหน้าของเด็กน้อยแย้มยิ้มออกมาอย่างดีใจ ก่อนที่จะมีเด็กชายอีกคนที่หน้าตาเหมือนกันวิ่งมายืนอยู่ข้าง ๆ
เด็กชายฝาแฝดสองคนนี้คงเป็นน้องชายของลู่ซือไม่ผิดแน่
“อืม พี่ฟื้นแล้ว” ลู่ซือตอบกลับ แล้วยิ้มให้เด็กทั้งสอง
“ข้าจะเอาไปเอาข้าวต้มมาให้พี่รอง เจ้าอยู่เฝ้าพี่รองแล้วกัน”
ลู่จื้อบอกน้องชาย ส่วนตัวเองรีบวิ่งออกไปทันที
“มานั่งนี่สิ” ลู่ซือ กวักมือเรียกน้องชายคนเล็กให้มานั่งข้างกัน เด็กชายตัวน้อยจึงรีบวิ่งมานั่งอย่างเชื่อฟัง
“ข้านึกว่าพี่รองจะไม่ตื่นมาเล่นกับข้าแล้วซะอีก”
ลู่ชิงพูดกับพี่สาวด้วยท่าทางน่าสงสาร เขาเห็นว่าพี่สาวหลับไม่ตื่นมาหลายวันบางวันก็ตัวร้อนราวกับไฟ ที่บ้านไม่มีเงินมากพอจะตามหมอมาดูอาการ ได้แต่เช็ดตัวให้เท่านั้น
“พี่ไม่ทิ้งเจ้าไปไหนหรอก”
ลู่ซือลูบหัวปลอบน้องชายตัวน้อยที่ห่วงนางจนขอบตาแดงใกล้จะร้องไห้อยู่รอมร่อ
“มาแล้ว ข้าวต้มมาแล้ว”
เสียงลู่จื้อดังมาแต่ไกล ก่อนที่ร่างน้อย ๆ จะถือชามข้าวเดินเข้ามา
“กินเยอะ ๆ นะขอรับ”
“ใช่ ๆ พี่รองกินเยอะ ๆ เลย”
ลู่ซือมองชามข้าวที่แทบไม่มีเม็ดข้าว น้ำใสโหรงเหรงเช่นนี้ยังกล้าเรียกตัวเองว่าข้าวต้มอีกหรือ นางถอนหายใจออกมาอย่างปลงตก ครอบครัวนี้จนกว่าที่คิดเอาไว้เสียอีก
“พี่รองทำไมไม่กินล่ะ” ลู่ชิงถามขี้นเมื่อเห็นว่าพี่สาววางช้อนลง
“พวกเจ้าล่ะกินอะไรหรือยัง” นางสังเกตเห็นว่าเด็กทั้งสองจ้องชามข้าวต้ม (?) ตรงหน้าของนางตาเป็นมัน
“ยะ...” ลู่จื้อรีบหยิกแขนน้องชายเพื่อไม่ให้พูด จากนั้นก็รีบแย่งตอบก่อน
“กินแล้วขอรับพี่รอง”
“อ่า ใช่ขอรับพวกข้ากินกันแล้ว อิ่มมากเลย”
ลู่ซือมองการกระทำของน้องชายด้วยความซาบซึ้ง นางไม่ได้โง่จนดูไม่ออกว่าเด็กน้อยกำลังโกหก และเหตุผลที่โกหกก็เพื่อให้คนเป็นพี่สาวได้กินข้าวต้มชามนี้
แม้ลู่ซือจะซาบซึ้งใจเพียงใด แต่นางก็จะไม่มีวันกินข้าวต้มที่มีแต่น้ำชามนี้แน่นอน ยิ่งมองน้ำที่ใสไร้สารอาหารตรงหน้าลู่ซือก็พาลรู้สึกอารมณ์ไม่ดี ผู้ใหญ่ในร่างเด็กฉวยชามข้าวต้มเปิดหน้าต่างห้องแล้วสาดน้ำในชามทิ้งอย่างไม่ใยดี เด็กน้อยทั้งสองมองพี่สาวของตนด้วยความตกตะลึง
ข้าวต้มชามนี้เขาหามาอย่างยากลำบาก ลู่จื้อต้องวิ่งไปถึงบ้านของท่านปู่แล้วอ้อนวอนถึงขอมันมาได้
“ต่อไปนี้บ้านเราจะไม่กินของพรรค์นี้อีก”
“แต่พี่รอง...” ลู่ชิงพยายามคัดค้านหากไม่กินของเช่นนี้จะให้พวกเขากินอะไรล่ะ คงต้องปั้นดินปั้นทรายกลืนลงท้องแล้ว
“เอาล่ะ ๆ ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว พวกเรามากินของอร่อยกันดีกว่า” ลู่ซือนั่งลงที่เดิม
ลู่จื้อและลู่ชิงฟังคำสั่งพี่สาวไม่ได้พูดอะไรออกมาแม้แต่ครึ่งคำแต่แววตาแสดงออกมาอย่างชัดเจนว่ากำลังคาดหวังถึงของอร่อยที่พี่สาวบอก
“หลับตาสิ” เด็กแฝดหลับตาลงอย่างว่าง่าย
ลู่ซือจึงดึงซาลาเปาใส้หมูสับลูกใหญ่ออกมาจากมิติสามลูก นางมองมันอย่างพออกพอใจ ซาลาเปาเจ้าดังที่ต้องไปต่อคิวตั้งแต่ตีห้าถึงจะสามารถซื้อทัน และเพื่อไม่ให้เสียเที่ยว ในวันนั้นลู่ซือจึงซื้อมาเก็บไว้รวม ๆ แล้วเกือบห้าสิบลูก คละไส้กันทั้งหมด นางตั้งใจเอาว่าหลังจากซื้อครั้งนี้แล้วจะได้ไม่ต้องกลับมาซื้ออีกบ่อย ๆ
สิ่งที่ไม่เคยขาดแคลนในมิติของลู่ซือก็คือของกินต่าง ๆ ลู่ซือน่ะเป็นโรคจิต ชนิดชอบกักตุนอาหารเอาไว้เยอะ ๆ สิ่งของกว่าครึ่งในนั้นจึงเป็นสิ่งที่สามารถกินลงท้องได้ทั้งสิ้น
“ลืมตาได้” เด็กน้อย ๆ ค่อยลืมตาขึ้นมา
“นี่มัน...”
“ต้องเป็นซาลาเปาแน่ ๆ พี่สาม ข้าเคยเห็นต้าหวังถือมันเดินอวดรอบหมู่บ้าน” ลู่ชิงพูดอย่างตื่นเต้น
“ซาลาเปาของต้าหวัง จะสู้ซาลาเปาที่พี่ลองซื้อมาได้อย่างไร เจ้าดูสิ ลูกใหญ่กว่าฝ่ามือข้าอีก” ลู่จื้อรีบโอ้อวด
เมื่อมองมันจนหนำใจแล้ว เด็กทั้งสองจึงยื่นมือมารอรับซาลาเปา ลู่ซือที่เตรียมยื่นซาลาให้ถึงกับชะงัก เมื่อเห็นมือของน้องชายที่ทั้งดำและสกปรก นอกจากมือแล้วที่ใบหน้าและเสื้อผ้ายังมีคราบสีดำประปรายไปทั่ว
ใบหน้าที่กำลังยิ้มแย้มของลู่ซือสลดลงในทันที
“พวกเจ้าไปล้างมือก่อนนะ แล้วพี่จะให้ซาลาเปาเจ้า”
“พี่รองที่บ้านไม่มีน้ำแล้ว ต้องไปที่ลำธารท้ายหมู่บ้านถึงจะตักมาได้ แต่ท่านแม่บอกว่าพวกข้ายังเล็กห้ามไปที่ลำธารตามลำพัง”
ลู่ชิงกล่าวออกมาอย่างเสียใจ หากไม่ได้ล้างมือก็จะไม่ได้กินของอร่อย เช่นนั้นพวกเขาคงจะอดกินแล้ว
“เช็ดมือแทนได้หรือไม่พี่รอง” เมื่อเห็นน้องชายใกล้จะร้องไห้ ลู่จื้อจึงรีบหาทางออก
“เช่นนั้นก็ได้”
ลู่ซือไม่ได้อยากใจร้าย เมื่อเห็นเด็กทั้งสองขอบตาแดง ก็ไม่กล้าแย้งอะไรอีก เมื่อทั้งคู่เช็ดมือกันเรียบร้อย ก็ยื่นซาลาเปาลูกโตให้
ลูจื้อบิซาลาเปาออกเป็นสองส่วนแล้วยื่นให้น้องชาย ส่วนซาลาเปาอีกลูกทั้งสองใช้ผ้าที่สะอาดที่สุดที่หาได้ห่อเอาไว้
“นั่นพวกเจ้าทำอะไรน่ะ”
“พวกข้าขอเก็บไว้ให้ท่านแม่และพี่ใหญ่ได้หรือไม่ขอรับ”
ลู่ซือขอบตาแดงกล่ำจวนจะร้องไห้ซะเอง เด็กทั้งสองทั้งเฉลียวฉลาดและกตัญญูยิ่ง
“ไม่ต้องเก็บ ๆ พวกเจ้ากินให้อิ่มเถอะ ของท่านแม่และพี่ใหญ่ พี่รองเก็บไว้ให้แล้ว”
“จริงหรือขอรับ”
“จริงสิ พี่ยังมีอีกเยอะ หากไม่อิ่มพวกเจ้ามาเอาเพิ่มได้”
เด็กน้อยพยักหน้าด้วยความดีใจ ปากน้อย ๆ ค่อย ๆ ละเลียดชิมซาลาเปาทีละน้อย เพื่อที่จะรับรสชาติเอาไว้ให้นานที่สุด ใบหน้าเล็กของพวกเขาแต่งแต้มไปด้วยรอยยิ้มแห่งความสุข โดยไม่ได้สงสัยสักนิดว่าพี่รองที่นอนป่วยติดเตียงมาหลายวันนำซาลาเปามาจากที่ใด
“อิ่มหรือไม่” ลู่ซือถามน้องชายทั้งสองที่เช็ดไม้เช็ดมือเรียบร้อยหลังกินซาลาเปาจนหมดลูก
“อิ่มขอรับ” เด็กทั้งคู่ตอบขึ้นพร้อมกัน
“น้องสาม น้องสี่ ท่านแม่กับพี่ใหญ่ไปที่ใด รู้หรือไม่”
เด็กทั้งสองส่ายหน้า ท่านแม่กับพี่ใหญ่ไม่เคยบอกพวกเขา เพียงแต่สั่งว่าให้เขาคอยดูแลพี่รองให้ดี
ตัวลู่ซือเองก็พยายามค้นหาในความทรงจำว่าปกติแล้วทั้งสองคนมักจะไปที่ใด
อ่า เหมือนจะรู้แล้ว ท่านแม่และพี่ใหญ่ คงไม่พ้นเข้าเมืองไปหางานรับจ้างทำ คงอีกสักพักกว่าจะกลับมาถึงบ้าน
เมื่อเห็นว่ายังเหลือเวลาอีกพอสมควรลู่ซือจึงลุกขึ้นออกเดินสำรวจบ้านและบริเวณรอบ ๆ
บ้านเล็ก ๆ ของครอบครัวนาง เป็นบ้านดินขนาด 2 ห้องนอน 1 ห้องโถง ส่วนของครัวจะสร้างแยกออกมาทางด้านข้าง ใกล้กันนั้นมีบ่อไว้สำหรับตักน้ำ เมื่อเหลือบมองลงไป น้ำมีอยู่เพียงก้นบ่อไม่สามารถตักมาใช้งานได้
ลานหน้าบ้านก็เป็นเพียงลานดินเล็ก ๆ ส่วนด้านหลังบ้านจะเป็นที่ดินราว ๆ 1 หมู่ ไว้สำหรับปลูกพืชแต่ด้วยพื้นดินที่แห้งแล้งทำให้ไม่สามารถปลูกอะไรได้ แม้แต่วัชพืชยังแห้งตาย
ยังดีหน่อยที่รอบบ้านและที่ดินถูกล้อมรอบด้วยรั้วอิฐสูงราว ๆ 2 เมตร เกือบทุกบ้านในหมู่บ้านจะถูกล้อมรั้วสูงเช่นนี้เกือบทุกหลัง เนื่องจากในฤดูหนาวมักมีสัตว์อสูรออกเพ่นพ่านหากไม่ล้อมรั้วที่แข็งแรงรอบบ้าน คนทั้งบ้านอาจจะกลายเป็นอาหารสัตว์ที่กำลังหิวโหยได้
เมื่อสำรวจจนพอใจ ลู่ซือจึงเดินย้อนกลับมาที่ลานบ้าน ก็เห็นน้องชายทั้งสองกำลังนั่งเล่นกันที่มุมบ้านอย่างเงียบ ๆ ลู่ซือจึงเบาใจลงว่าเด็กทั้งสองไม่ได้ไปซนที่ไหน
แล้วจึงเดินไปที่บ่อน้ำ อย่างไรวันนี้ก็ต้องมีน้ำให้คนทั้งบ้านได้ใช้ แต่จะให้นางไปหาบน้ำที่ลำธารมาใส่บ่อนางไม่มีวันทำแน่ ต้องหาบกี่รอบกันล่ะน้ำถึงจะเต็ม แค่คิดก็รู้สึกปวดหลังจะแย่
“เรามาเติมน้ำฉบับ ดร.ลู่ กันดีกว่า ขั้นตอนแรกต้องเริ่มจาก”
ชั่วพริบตาปากกาเวทขนาดเหมาะมือด้ามหนึ่งก็ปรากฎขึ้นบนฝ่ามือเรียวเล็ก วงเวทที่ลู่ซือกำลังจะสร้างในขณะนี้เป็นวงเวทธาตุน้ำง่าย ๆ ไม่ได้ยุ่งยากอะไร
นางจับด้ามปากกาและเริ่มลงวงเวทที่เหนือบ่อน้ำด้วยความเชี่ยวชาญ ทุกที่ที่ปลายปากกาลากผ่านจะปรากฎเป็นเส้นสีขาวขึ้นมา ลู่ซือเติมรายละเอียดต่าง ๆ ลงในวงเวทจนครบถ้วน เมื่อไล่สายตาดูแล้วว่าไม่พบสิ่งผิดปกติอันใด ก็เรียกมณีธาตุน้ำระดับต่ำออกมาจากแหวน แล้วใส่ไว้ที่กึ่งกลางของวงเวท เมื่อใส่แหล่งกำเนิดพลังลงไปเรียบร้อย
วงจรเวทจึงเริ่มทำงาน เส้นสายสีขาวแปรเปลี่ยนเป็นสีฟ้าเรืองรองตามสีของมณีธาตุน้ำ ทันใดนั้นเอง ก็มีสายน้ำสะอาดใสไหลออกมาจากด้านใต้วงเวทแล้วตกลงสู่บ่อน้ำพอดิบพอดี
ระดับน้ำในบ่อเพิ่มสูงขึ้นด้วยความรวดเร็วจนเกินครึ่งบ่อก่อนความเร็วในการเพิ่มของน้ำจะช้า ก่อนจะกลายเป็นหยุดนิ่ง ลายเส้นของวงจรเวทแปรเปลี่ยนกลับเป็นสีขาวอีกครั้ง รวมทั้งมณีธาตุน้ำที่ถูกดูดพลังไปใช้จนหมด เปลี่ยนสีกลายเป็นมณีธรรมดาที่ไม่มีพลังธาตุ
“พลังของมณีระดับต่ำคงจะได้เพียงเท่านี้”
ลู่ซือเหลือบมองน้ำในบ่อที่เกือบจะเต็มก็พยักหน้าอย่างพึงพอใจในผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น
เด็กหญิงหยิบมณีสีใสกลางวงเวทกลับลงมิติตามด้วยปากกาเวท หลังจากนั้นจึงสลายวงเวทตรงหน้าทิ้งไป
