ตอนที่ 10 ตัดขาดเสียที
น้ำเสียงตวาดกร้าวของผู้เป็นย่าเรียกร้องให้ตัดขาดจากหลานชายดังขึ้นจนทุกคนที่ยืนห้อมล้อมเหตุการณ์อยู่ได้ยินและรับรู้ถึงความใจดำของย่าที่มีต่อหลานชายได้อย่างชัดเจน
จางซิ่วอิงเหยียดยิ้มเมื่อสิ่งที่เธอต้องการนั้นได้หลุดออกมาจากปากของหญิงชราเห็นแก่ตัวอย่างง่ายดาย ก่อนจะหันไปสบตากับสามีอีกครั้ง
หยางซีห่าวสูดลมหายใจเข้าปอดอย่างอดกลั้น สถานการณ์ตรงหน้าไม่ได้กำลังตอกย้ำความสำคัญของเขาที่มีต่อครอบครัวนี้หรอกหรือ เมื่อหาเงินเขาบ้านไม่ได้แล้ว หลานชังอย่างเขานับเป็นตัวอะไรกัน
“จัดการตามที่ย่าว่าเถอะครับ ผมรบกวนด้วย”เสียงทุ้มกล่าวกับผู้นำหมู่บ้านในทันที ไม่จำเป็นต้องพิสูจน์อะไรอีกต่อไปแล้ว เท่านี้ก็ชัดเจนมากพอแล้ว
โจวเหวินมองชายหนุ่มที่เขาเห็นมาแต่เด็กด้วยแววตาเวทนาสงสาร เขาค่อนข้างสนิทกับพ่อของซีห่าว ฉะนั้นลูกของสหายก็ไม่ต่างจากลูกหลานที่เขาจะต้องให้ความช่วยเหลือเท่าที่พอจะทำได้
เขาสงสารซีห่าวไม่น้อยกับชะตาชีวิตในตอนนี้ แต่การเลือกตัดขาดจากครอบครัวที่คอยสูบเลือดสูบเนื้อมาตลอด โดยเฉพาะผู้เป็นย่าที่รักหลานลำเอียง ไม่แน่อนาคตของหลานชายคนนี้อาจจะสดใสกว่าที่เป็นอยู่ก็ได้
“ลุงจะจัดการให้เดี๋ยวนี้ แต่ตัดขาดแล้วเงินกองกลางก็ต้องแบ่งให้ซีห่าวด้วยอยู่ดี”ผู้นำหมู่บ้านตอบรับในทันทีที่หลานชายร้องขอ โดยไม่ลืมเรียกร้องส่วนที่หลานชายควรได้รับให้อีกด้วย
“ให้ย่าไปเถอะครับลุงโจวเหวิน ถือเป็นความกตัญญูครั้งสุดท้ายจากผม”
เขารู้ดีว่าเงินที่ย่าเก็บไปแล้วไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะถูกหยิบออกมา ฉะนั้นเพื่อให้เรื่องทั้งหมดจบลงโดยเร็ว เขาจะถือว่านั่นคือความกตัญญูจากหลานชังอย่างเขาก็แล้วกัน
“ได้ ส่วนเงินชดเชยนายต้องเก็บเอาไว้เพื่อรักษาตัว เข้าใจแล้วนะยายเฒ่าหยาง”โจวเหวินตอบรับในทันที ก่อนจะกล่าวสรุปด้วยน้ำเสียงน่าเกรงขาม โดยไม่ลืมส่งสายตาตำหนิไปให้ยายเฒ่าที่ยืนทำหน้าไม่พอใจอยู่ไม่ไกล
คนโลภหนอคนโลภ แม้แต่เงินชดเชยทหารบาดเจ็บก็ยังอยากได้งั้นเหรอ เลือดเนื้อก็ไม่ได้เสียไปกับเขา บาดแผลแม้แต่ปลายเล็บยิ่งไม่เคยได้รับ แต่ยังอยากได้เงินชดเชย ช่างน่ารังเกียจเกินไปแล้ว ผู้นำหมู่บ้านวัยกลางคนคิดในใจ
หลังจากนั้นสัญญาตัดขาดระหว่างหยางซีห่าวและตระกูลหยางก็เสร็จสิ้น โดยมีสายตาไม่พอใจของผู้เป็นย่านั้นมองอยู่ตลอด นางไม่ได้ไม่พอใจเรื่องตัดขาด ดีเสียอีกที่ได้ตัดขาดจากคนไร้ประโยชน์เช่นเด็กนั่น
แต่ทว่าเงินชดเชยอย่างไรคนเป็นย่าก็สมควรได้มิใช่หรือ แต่เมื่อหันมาสบตากับผู้นำหมู่บ้านเหยียนเพ่ยจำต้องกลืนความอยากได้นั้นลงท้องจนหมดสิ้น
“ขอบคุณที่เป็นธุระให้ผมกับภรรยานะครับ ขอบคุณพี่ด้วยนะ”หลังจากได้หนังสือตัดขาดที่ลงนามเรียบร้อยมาถือไว้ หยางซีห่าวไม่ลืมขอบคุณผู้นำหมู่บ้านและลูกชายที่มาเป็นธุระให้ในวันนี้ ซึ่งในวัยเด็กเขาและโจวเหยียนค่อนข้างสนิทกันไม่น้อยด้วยเพราะเติบโตมาด้วยกัน แต่หลังจากที่เขาต้องทำงานรับใช้คนในบ้านอย่างหนัก เลยทำให้การพบเจอและความสนิทสนมนั้นลดลงไปด้วย
“อืม มีอะไรให้ช่วยก็ไปหาลุงนะซีห่าว”สายตาของผู้นำหมู่บ้านเมื่อมองลูกชายของสหายนั้นอ่อนลงไม่น้อย แววตาของผู้ใหญ่ที่เปี่ยมไปด้วยความเมตตา คนรอบข้างล้วนรับรู้ได้
แต่ก่อนที่ทุกคนจะแยกย้ายกันไปนั้น เหยียนเพ่ยได้ยินเสียงกระซิบบางอย่างจากหลานชายคนโตก็แสยะยิ้มน่าเกลียดขึ้นมาในทันที ก่อนจะตะโกนไล่หลังอดีตหลานชายและผู้นำหมู่บ้านที่กำลังจะเดินจากไป
“เดี๋ยว!! ตัดขาดไปแล้ว แกคงไม่คิดว่าฉันจะให้แกอยู่บ้านหลังนั้นเปล่า ๆ หรอกนะ!!”อย่างน้อยบ้านเก่าตระกูลหยางก็พอมีประโยชน์อยู่บ้างในตอนนี้ แม้จะหลังเล็กและคงเรียกค่าเช่าได้ไม่กี่หยวน แต่นั้นก็เงินไม่ใช่หรือ…
จางซิ่วอิงได้ยินประโยคนั้นก็รู้สึกรังเกียจนางแก่นี่มากขึ้นไปอีก ดวงตาคู่เรียวมองขึ้นด้านบนกลอกกลิ้งลูกตาไปมาอย่างเบื่อหน่าย ก่อนจะหมุนตัวเดินกระแทกเท้ากลับไปหาร่างท้วมแก่ชรา พร้อมกับควักเงินสิบหยวนขึ้นมาปาไปที่หน้าอกของอดีตย่าของสามี
“เหอะ! นี่ค่าเช่าของเดือนนี้ค่ะ แล้วเดือนหน้าจะมาจ่ายใหม่นะคะ”
ท่าทีก้าวร้าวนี้แน่นอนว่าทุกคนต้องเห็น และจางซิ่วอิงไม่ได้สนใจอยู่แล้ว ถึงอย่างไรก็ตัดขาดกันเรียบร้อย ไม่มีอะไรต้องเกี่ยวข้องกัน และแค่นี้ยังน้อยไปด้วยซ้ำ หากเป็นลมหนาวในชาติก่อน ไม่แน่ว่าเงินสิบหยวนนี่อาจจะปาโดนหน้ายายแก่นี่ไปแล้วก็ได้
และสำหรับเธอเงินสิบหยวนนั้นไม่ได้ทำให้ขนหน้าแข้งเธอร่วงแม้แต่น้อย แต่ละวันเธอหาเงินได้มากกว่านี้หลายเท่า อีกอย่างเธอตั้งใจแล้วว่าจะซื้อบ้านในตัวอำเภอเร็ว ๆ นี้ ค่าเช่าหนึ่งเดือนที่จ่ายไปที่จริงเธอกับสามีอาจจะอยู่บ้านหลังนั้นไม่ถึงเดือนด้วยซ้ำ
“แก! แก! นางเด็กต่ำช้า”เหยียนเพ่ยกรีดร้องออกมากด้วยความโมโหที่ถูกเด็กคราวหลานทำกิริยาเช่นนี้ใส่ แววตาที่มองอดีตหลานสะไภ้เต็มไปด้วยความเคียดแค้นพลางก่นด่าด้วยถ้อยคำหยาบคาย
จางซิ่วอิ่งยังคงยืนเผชิญหน้ากับนางแก่น่ารังเกียจนี่อย่างไม่เกรงกลัว เธอยืนลอยหน้าลอยตาสองมือยกขึ้นท้าวเอว ก่อนจะกล่าวยั่วโมโหออกไปอีกครั้งด้วยถ้อยคำที่เจ็บแสบยิ่งกว่าจนคนฟังนั้นโกรธจนทำอะไรไม่ถูก
“อะไรหรอคะ? คุณย่าต่ำทราม ถ้าไม่มีอะไรจะพูดต่อ ฉันขอตัวนะคะ เสีย-เว-ลา-มาก-ค่ะ!!!!”
เหยียนเพ่ยได้แต่มองหน้าของอดีตหลานสะไภ้ตาปริบ ๆ ริมฝีปากขมุบขมิบพยายามสรรหาถ้อยคำเจ็บแสบมาโต้ตอบ ความกรุ่นโกรธที่อัดแน่นอยู่ในอกแสดงผ่านสีหน้าออกมาจนหมดสิ้น
“ชิ! นึกว่าจะแน่!”จางซิ่วอิงบิดยิ้มร้าย ก่อนจะมองนางแก่ตรงหน้าที่เอาแต่ยืนโกรธขึงจนแทบสิ้นใจตายด้วยแววตาดูแคลน
เธอไม่อยากจะสนใจคนแบบนี้เท่าไหร่นัก คนแบบนี้อาจจะไม่ได้แก่ไปมากกว่านี้หรอก เพราะอีกไม่นานก็คงตายเพราะนิสัยเห็นแก่ได้นั่นแหละ คิดได้ดังนั้นร่างบางจึงหมุนตัวเดินกลับมายังจุดที่สามีกับผู้นำหมู่บ้านยืนอยู่ ก่อนจะพูดกับพวกเขาเสียงหวาน กิริยาท่าทางมีมารยาทต่างจากเมื่อครู่ราวกับคนละคน
“ไปกันเถอะค่ะ ขอบคุณพี่ชายโจวกับพี่สะไภ้มากนะคะ”
“อะ เอ่อ! ครับ กลับบ้านเรากัน”หยางซีห่าวเหมือนพึ่งหาเสียงตัวเองเจอ ยอมรับว่าการกระทำของภรรยานั้นทำให้เขารู้สึกอึ้งไม่น้อย จากที่แปลกใจสงสัยในทีแรก ตอนนี้กลายเป็นคาดไม่ถึงในหลาย ๆ สิ่งจนรู้สึกมึนงงเลยก็ว่าได้
ด้านครอบครัวของผู้นำหมู่บ้านก็ไม่ต่างกัน โจวเหวินและโจวเหยียนนั้นรู้สึกอึ้งไม่ต่างจากซีห่าวนัก จางซิ่วอิงในความทรงจำของพวกเขาคือหญิงสาวขี้โรคที่ไม่สู้คนไม่ใช่หรือ ท่าทีขลาดเขลาในตอนนั้นหายไปไหนเสียแล้ว
กลับกันสะไภ้บ้านโจวอย่างว่านเจียหลินนั้นรู้สึกสะใจกับสิ่งที่จางซิ่วอิงทำเป็นอย่างมาก ครั้งหนึ่งเธอเห็นตอนที่จางซิ่วอิงนำเงินไปส่งบ้านหวัง ท่าทางดูขี้กลัว ไม่มีปากเสียง ไม่ว่าญาติสามีจะว่ากล่าวอย่างไรก็เอาแต่ก้มหน้ารับ ซึ่งว่านเจียหลินรู้สึกขัดใจกับท่าทางตอนนั้นของหล่อนมาก แต่เมื่อคิดได้ว่าไม่ใช่เรื่องของตนเธอจึงเดินเลี่ยงออกมาไม่ได้ให้การช่วยเหลือแต่อย่างใด
โจวเหยียนอาสาเข็นรถมาส่งสหายที่บ้านเพราะรู้สึกเห็นใจน้องสะไภ้ที่ดูอ่อนแอขี้โรค รถเข็นคันใหญ่ที่มีร่างของทหารบึกบึนนั่งอยู่ หากต้องเข็นขึ้นเนินเขาแม้ไม่ใช่เนินสูงอะไรแต่เขาก็รู้สึกเห็นใจสองสามีภรรยาคู่นี้อยู่ดี
ระหว่างทางจางซิ่วอิงไม่ได้พูดอะไรสักคำเดียว เธอได้แต่เดินตามไปเงียบ ๆ ฟังสามีและลูกชายผู้นำหมู่บ้านรำลึกความหลังกันไป ทั้งสามกลับมาถึงบ้านเก่าหลังน้อยในเวลาใกล้ค่ำแล้ว จางซิ่วอิงจึงเดินไปหยิบไข่สิบใบในครัวใส่ตะกร้าให้โจวเหยียนไป พร้อมทั้งกล่าวขอบคุณเขาและครอบครัวอยู่หลายครั้ง
“เฮ้อออ! จบสักที!”เสียงใสถอนหายใจอย่างหมดเรี่ยวแรง หลังจากปิดประตูบ้านเรียบร้อยแล้ว แต่เมื่อหันมาพบกับสามีที่มองเธอด้วยสายตาแบบนั้นก็ตระหนักได้ทันทีว่า…เรื่องยังไม่จบ
เอาล่ะ! ชาติที่แล้วไม่สมหวัง ชาตินี้คุณยายส่งเธอมาให้สมหวังมิใช่หรือ? แล้วยังต้องกลัวอะไรอีกลมหนาว ใจสู้หน่อย!! ไม่ว่าอย่างไรชาตินี้เธอต้องสมหวังสิ!
เธอพูดกับตนเองในใจเช่นนั้น ก่อนจะเดินเข้าไปยืนตรงหน้าสามี ใบหน้าเล็กคลี่ยิ้มกว้างส่งไป “คือ…คุณหิวหรือเปล่า?”
“ครับ”หยางซีห่าวตอบรับอย่างเก้อเขิน แต่เขาก็หิวจริง ๆ เพราะมื้อสุดท้ายที่ทานก็ตอนหกโมงเมื่อเช้า จนตอนนี้อาทิตย์ตกดินแล้ว แม้ร่างกายจะถูกฝึกมาให้อดทนต่อเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้ แต่ภรรยาถามมีหรือที่เขาจะกล้าโกหก
“งั้นรอเดี๋ยวนะคะ ฉันเข้าครัวสักครู่ ไม่นานค่ะ”หญิงสาวพยักหน้ารับ หัวใจของเธอเต้นแรงจนผิดปกติทุกครั้งที่สบกับนัยน์ตาคู่นั้นของสามี ชาติที่แล้วเธอกับซีห่าวเป็นแฟนกัน เรารักกันมากทีเดียว
แต่ชาตินี้เขาและเธอคือสามีภรรยาอย่างถูกต้อง กลับกันทั้งที่แต่งกันมานานกลับอยู่แบบไร้รักเสียได้ และคืนนี้จะต้องนอนร่วมเตียงกันแค่นึกถึงก็ใจสั่นแล้ว
“รบกวนคุณแล้วภรรยา”เสียงทุ้มกล่าวอย่างเกรงใจ เขาไม่รู้ว่าคำพูดของเขานั้นทำให้ภรรยาเขินอายได้มากขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่ที่มั่นใจเพราะใบหน้าแดงซ่านของเธอนั้นแน่ชัดแล้วว่ากำลังเขินเขาอยู่แน่ ๆ
“มะ ไม่รบกวนค่ะ เดี๋ยวฉันมา”มือเรียวยกขึ้นปัดไปมาเป็นพัลวัน ก่อนจะปลีกตัวออกจากตรงนั้นและหนีเข้าไปในห้องครัวทันที
ไม่ไหวแล้ว…เธอต้านทานความหล่อของเขาไม่ได้อีกแล้ว!!
ชาติก่อนหยางซีห่าวคือนักธุรกิจอนาคตไกล แม้ร่างกายจะไม่ได้ผอมบางแต่ก็ไม่ได้กำยำและเต็มไปด้วยกลิ่นอายของบุรุษเพศเช่นตอนนี้ ยิ่งตอนที่ได้เผชิญหน้าเขาใกล้ ๆ เธอยิ่งรู้สึกทำตัวไม่ถูกเสียดื้อ ๆ เขามีผลกระทบต่อจิตใจเธอมากเกินไปแล้ว
หยางซีห่าวที่มองตามหลังภรรยาก็รู้สึกเอ็นดูเธออย่างไม่เคยเป็นมาก่อน เขาไม่ได้คิดไปเองว่าบรรยากาศระหว่างเขาและภรรยานั้นเปลี่ยนไป เขาไม่ได้รู้สึกอึดอัดเหมือนเมื่อก่อน แถมยังสบายใจมากอีกด้วย หรือว่าเขาจะตกหลุมรักภรรยาตัวเองเข้าแล้ว
