3
เวลาล่วงเลยมาจนถึงหนึ่งทุ่มห้าสิบห้า พริกหวานรีบอาบน้ำแต่งตัวแต่งหน้า พรมน้ำหอมกลิ่นโปรดจนหอมฟุ้ง วิ่งหน้าตั้งออกจากห้องตัวเอง มายืนหอบหายใจอยู่หน้าประตูห้องพักของคิมหันต์
ก่อนตรวจสอบและจัดแจงเสื้อผ้าหน้าผมอีกครั้ง ไม่นานจึงเริ่มลงมือเคาะส่งสัญญาณ แจ้งให้บุคคลด้านในรับรู้ ว่าเธอได้มาถึงตามเวลานัดแล้ว
เพียงไม่นานประตูที่ปิดสนิทก็เปิดออก พร้อมร่างสูงตระหง่านในชุดเสื้อยืดสีขาวสะอาด กับกางเกงยีนสีครีม ยืนส่งยิ้มต้อนรับให้
พริกหวานอยู่อีกฟากของประตู
“หวานแต่งตัวน่ารักจัง”
คิมหันต์กวาดสายตามองคนตัวเล็ก ไล่ระดับตั้งแต่ศีรษะจรดลงปลายเท้า ก่อนลากสายตากลับมามองหน้าเธออีกครั้ง ด้วยสายตากรุ้มกริ่มมีเลศนัย เล่นเอาพริกหวานร้อนวูบวาบไปทั่วทั้งพวงแก้ม
ช่วงหลังๆ มานี้ต้องยอมรับเลยว่าพริกหวานสวยขึ้นมาก เธอดูสะดุดสายตาตั้งแต่ถอดแว่นกรอบดำเลนส์หนาเตอะออก แล้วเปลี่ยนมาใส่คอนแทคเลนส์มีลวดลายแทน
อาทิตย์ต่อมาผมสีดำสนิท ถูกย้อมเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลคาราเมล มีดัดลอนเล็กน้อยบริเวณปลายผม ขับส่งให้ใบหน้าของพริกหวาน ดูสวยละมุนน่ามองยิ่งขึ้น
ไม่กี่วันถัดมาหลังจากนั้น สไตล์การแต่งตัวก็เริ่มค่อยๆ เปลี่ยน จากการสวมใส่เสื้อผ้าคุณป้า กลายเป็นแนวสาวเกาหลีน่ารัก ใบหน้ารูปไข่ที่ขาวจนซีด ถูกแต่งแต้มสีสันอ่อนๆ ให้ดูสดใสขึ้น จนคิมหันต์ที่ไม่เคยมองพริกหวานอยู่ในสายตา เริ่มหันมาให้ความสนใจ
ใช่ว่าไม่รู้ว่าผู้หญิงคนนี้แอบชอบเขาอยู่ อาการของพริกหวานที่แสดงออกมา เวลาบังเอิญเจอกันมันชัดเจนมาก ทั้งสีหน้า แววตา อากัปกิริยาต่างๆ ไม่มีปกปิดซ่อนเร้น
แม้กระทั่งการที่เธอมาปรากฏกาย ที่คอนโดชั้นเดียวกันในฐานะเพื่อนบ้านนั้น คิมหันต์ก็พอจะเดาได้ ว่าพริกหวานตั้งใจย้ายเข้ามาอยู่ใกล้ๆ แต่เขาเลือกที่จะไม่ใส่ใจ
การมีคนรักคนชอบดีกว่าถูกเกลียดเป็นไหนๆ อีกอย่างมันยิ่งทำให้เขารู้สึกได้ใจ ว่าแม้แต่ผู้หญิงเนิร์ดแสนขี้อาย ยังมาหลงเสน่ห์
“ขอบคุณนะ คิมก็แต่งตัวน่ารักเหมือนกัน”
คิมหันต์ก้มลงมองเสื้อผ้าตัวเองด้วยความแปลกใจ เพราะเสื้อผ้าที่เขาสวมใส่มันเป็นเพียงชุดลำลองปกติ ไม่ได้พิเศษหรือดูหวือหวาอะไรสักนิด
“เข้ามาสิ เราทำอาหารเสร็จพอดี”
เขาตอบรับคำชมนั้นด้วยรอยยิ้มเล็กๆ ก่อนดึงประตูเปิดออกให้กว้างขึ้น พร้อมเชื้อเชิญแขกสาวเข้าสู่พื้นที่ส่วนตัว
ขณะเดินเข้ามาด้านใน พริกหวานแอบชำเลืองสายตาสอดส่อง สังเกตดูรายละเอียดของห้องพัก การตกแต่งคลุมโทนเป็นสีขาวดำแม้กระทั่งเฟอร์นิเจอร์ ไม่มีสีอื่นแซมแทรกให้สะดุดสายตา
ห้องของคิมหันต์ดูเหมือนจะมีพื้นที่ใช้สอย กว้างกว่าห้องของพริกหวานพอสมควร มีประตูที่เป็นห้องแยกอยู่สองบาน บานสีขาวน่าจะเป็นห้องนอนของคิมหันต์ ส่วนสีดำต้องเป็นของเหมันต์ไม่ผิดแน่ นั่นคือสิ่งที่พริกหวานเข้าใจ
“เอ่อ... แล้วน้องชายฝาแฝดของคิมล่ะ?”
พริกหวานเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าห้องนี้ ไม่ได้มีแค่คิมหันต์ที่อาศัยอยู่ แต่ยังมีผู้ชายที่เธอเกลียดขี้หน้าอาศัยร่วมด้วย
คนตัวเล็กกวาดสายตามองหาบุคคลที่กำลังถามถึง แต่เท่าที่สังเกตดูเหมือนจะไร้เงาเขาอยู่ที่นี่
“เหมมันทำโอทีดึกน่ะ ไม่แน่คืนนี้อาจไม่กลับห้อง”
คนที่ยืนรออยู่ตรงเก้าอี้กล่าวตอบ คำตอบที่ได้รับ ทำให้พริกหวานพ่นลมหายใจด้วยความโล่งอก
ดีแล้วล่ะที่เขาไม่อยู่ด้วย ไม่อย่างนั้นเธอคงรู้สึกอึดอัดแย่ เผลอๆ แผนการที่วางเอาไว้อาจไม่สำเร็จ ความสัมพันธ์ของเธอกับคิมหันต์ อาจไม่มีโอกาสได้พัฒนาหากมีก้างขวางคอ
พริกหวานยิ้มรับขณะสาวเท้าเดินเข้าไปหาคิมหันต์ บนโต๊ะมี
สเต๊กหน้าตาน่ารับประทานอยู่สองที่ พร้อมขวดไวน์และแก้วอีกสองใบเชิงเทียนขนาดเล็กถูกชุดไฟสร้างบรรยากาศ กลิ่นหอมอ่อนๆ คล้ายกลิ่นดอกไม้ภายในห้อง ทำให้พริกหวานรู้สึกผ่อนคลาย
ดินเนอร์ในคืนนี้ช่างดูแสนโรแมนติก พริกหวานคิดเป็นอื่นไม่ได้จริงๆ นอกจากว่าคิมหันต์ตั้งใจจะใช้อาหารมื้อนี้ขอเธอเป็นแฟน
มือใหญ่เลื่อนเก้าอี้ออกเล็กน้อยเมื่อแขกสาวเดินเข้ามาใกล้
พริกหวานค่อยๆ หย่อนกายนั่งด้วยท่าทางเหนียมอาย ก่อนคิมหันต์จะเดินอ้อมไปอีกฝั่งของโต๊ะเพื่อนั่งลงตาม
“ไม่รู้ว่าจะถูกปากหวานหรือเปล่านะ ลองชิมดูสิ”
ขณะเชื้อเชิญแขกให้ชิมอาหาร คิมหันต์ก็ลงมือเทไวน์ใส่แก้วทรงสวยทั้งสองใบ
หลังได้ลิ้มรสเนื้อสันคอชั้นดี ที่ถูกย่างด้วยอุณหภูมิความร้อนพอเหมาะจนสุก พริกหวานถึงกับตาโตด้วยความตื่นตาตื่นใจในรสชาติ ราวกับว่ากำลังนั่งกินสเต๊กในร้านอาหารชั้นเลิศ
“โห~ อร่อยมากอ่ะคิม อย่างกับสั่งมาจากภัตตาคารเลย”
เธอเอ่ยชมเปาะพร้อมทั้งแสดงความรู้สึกนั้นทางสีหน้า หั่นสเต๊กชิ้นที่สองและสามตามเข้าปากไม่หยุด ลืมวางมาดห่วงสวยไปเสียสนิท
“ดีใจนะที่หวานชอบ ลองชิมไวน์ดูด้วยสิ รสชาติกำลังดีไม่บาดคอแน่นอน”
คิมหันต์ดันแก้วไวน์ที่ตัวเองเพิ่งเทให้พริกหวาน มือบางเอื้อมไปรับไว้ก่อนยกขึ้นจรดริมฝีปาก กลิ่นองุ่นหอมหวน เพียงแค่ดมก็รับรู้ได้ถึงรสชาติของไวน์
“ไม่บาดคออย่างที่คิมบอกจริงๆ ด้วย ปกติที่เราเคยดื่มมาเจอแต่แปร่งๆ ไวน์ขวดนี้คงราคาแพงมากสินะคะ? รู้สึกเกรงใจจัง”
พริกหวานยกแก้วไวน์ขึ้นพินิจดูด้วยความรู้สึกสงสัย ขณะกล่าวถาม
“ไม่ต้องไปกังวลเรื่องราคาหรอก แค่หวานชอบก็พอ”
ได้โอกาสคิมหันต์ไม่ลืมที่จะหยอดคำหวานใส่หญิงสาวตรงหน้า
การชวนพริกหวานมาทานมื้อค่ำในคืนนี้ แน่นอนว่าคิมหันต์มีแผนการบางอย่างภายในใจ การทำให้เธอประทับใจเพื่อให้ได้สิ่งที่ต้องการ เป็นเรื่องที่เขาย่อมต้องพยายามทำมันอย่างเต็มที่
แต่ดูไปดูมา บางทีเขาอาจไม่ต้องพยายามทำอะไรมากเลยก็ได้ เพราะเหยื่อคนนี้ดูพรั่งพร้อมถวายชีวิตให้เสียเหลือเกิน
“ขอบคุณมากนะ เราไม่รู้จะตอบแทนน้ำใจยังไงดี”
พริกหวานรู้สึกเขินอายกับถ้อยคำหวานๆ จึงก้มหน้างุด มือข้างหนึ่งยกขึ้นทัดผมที่ใบหูแก้เขิน
“แค่หวานมาทานมื้อค่ำกับเราทุกคืนก็พอแล้วล่ะ”
คิมหันต์ไม่พูดเปล่า เขาเอื้อมไปกุมมือบางที่วางเอาไว้บนโต๊ะแผ่วเบา
พริกหวานสะดุ้งเล็กน้อยด้วยความตกใจ เพราะไม่คาดคิดว่าจะถูกอีกฝ่ายสัมผัสร่างกาย แม้ภายในใจจะร่ำร้องถึงความใกล้ชิด แต่พอถูกสัมผัสเข้าจริงๆ เธอก็แอบประหม่าพอสมควร
แต่แล้วจังหวะเข้าด้ายเข้าเข็มนั้น ก็ถูกทำลายลงอีกครั้งด้วยคนๆ เดิมกับเมื่อเช้า พร้อมกับคำสบถอย่างหัวเสียรุนแรง
“ไอ้พวกฉิบหาย! งานง่ายๆ แต่เสือกทำให้ยุ่งยาก”
ประตูคอนโดที่ควรจะปิดสนิทถูกเปิดออก พร้อมกับเหมันต์ที่เดินหน้ามุ่ยเข้ามา เขามัวแต่ก้มหน้าก้มตาถอดรองเท้า จึงไม่ทันสังเกตเห็น ว่าด้านในมีคนอื่นอยู่ด้วยนอกเหนือจากพี่ชายตัวเอง
แต่เมื่อเงยหน้าขึ้นจึงพบเข้ากับพริกหวาน ซึ่งกำลังนั่งเอี้ยวตัวหันมามองเขาด้วยสายตาตื่นตกใจ ขณะที่คิมหันต์ แสดงความไม่สบอารมณ์ออกมาผ่านทางสีหน้าชัดเจน ก่อนตั้งคำถามใส่น้องชาย
“ไหนแกบอกต้องทำโอทีดึก?”
“อะไรอ่ะ ฉลองอะไรกันทำไมไม่ชวนฉันด้วย? อยากกินเป็นเหมือนกันนะสเต๊กกับไวน์เนี่ย”
เหมันต์ไม่สนใจคำถามนั้นเลยสักนิด เขาเดินจ้ำเข้ามาใกล้โต๊ะอาหาร หย่อนกายนั่งลงบนเก้าอี้ว่าง ก่อนหันไปหยิบสเต๊กชิ้นที่หั่นแล้ว ในจานของพริกหวานใส่เข้าปาก และตามด้วยการยกแก้วไวน์ ที่พริกหวานดื่มไปเพียงเล็กน้อยกลั้วคอตบท้าย
“นั่นมันแก้วของฉันนะ แล้วฉันก็กินไปแล้วด้วย”
พริกหวานร้องขึ้นด้วยความตกใจ จ้องมองแก้วที่พึ่งจรดริมฝีปากหยักได้รูป ของเหมันต์ไปหมาดๆ อย่างเหลือเชื่อ
“แล้วไง? นี่มันแก้วบ้านฉัน”
